แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 936 เริ่มเก็บงาน
พอได้ยินสืออวี้พูดแบบนั้น สองสามีภรรยาก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ เด็กคนนี้เจ้าเล่ห์เหลือเกิน ไม่ยอมเอามาทั้งเล่ม
“คนจ้างบอกว่า เขาจะเป็นผู้ค้ำประกันให้ แต่เขาขอหุ้นเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ แค่นี้เธอก็น่าจะรู้จักพอ”
“เหลือให้บ้านหนูแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์? หึหึ แบบนี้จะมาช่วยหรือจะมายึดทรัพย์บ้านหนูกันแน่? มิตรภาพสี่ปีของหนูมีค่าแค่นี้? หนูฉีกทิ้งดีกว่า!” สืออวี้ทำท่าจะฉีก
“อย่านะ! เดี๋ยวก่อน!” อาหวางพูดตามเสียงในโทรศัพท์ กำลังจะบ่นบางอย่างแต่สืออวี้แย่งโทรศัพท์ไปพูดเอง
“คุยเรื่องเงินกับฉัน”
“เจ้านายฉันบอกว่า มากสุดก็ให้ได้แค่อีกห้าเปอร์เซ็นต์ พอให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างมั่นคงไปตลอดชีวิต คิดให้ดีๆนะ นั่นก็แค่สมุดเล่มเดียว บ้านเธอกลายเป็นแบบนั้นแล้ว พ่อก็หนีไป ถ้าเธอยังไม่ยอมขายหุ้นอีกล่ะก็ เงินสักแดงก็ไม่ได้แถมยังต้องขึ้นศาลด้วย”
“เจ้านายเหรอ? แกมันก็แค่ลูกน้อง มีสิทธิ์อะไรมาคุยเรื่องกิจการใหญ่โตขนาดนั้น? เรียกเจ้านายแกมานี่”
“เป็นสาวเป็นนางอย่าพูดจาบ้าดีเดือดขนาดนั้น ถึงฉันจะเป็นแค่ลูกน้อง แต่ก็ตัดสินใจได้ เรื่องนี้ฉันได้รับมอบอำนาจมาทั้งหมด เอาแบบนี้ ฉันจะให้อีกสองเปอร์เซ็นต์ ไม่เอาก็ตามใจ! ไม่เอาก็ไปหาคนอื่นเลยไป ดูซิว่าใครมันจะกล้าเอาโรงงานหนี้บานแบบนั้นของบ้านเธอ!”
“สี่สิบเปอร์เซ็นต์ขาดตัว ฉันต้องมั่นใจชีวิตที่เหลือของฉัน อีกครึ่งชั่วโมงนัดเจอที่โรงแรมในเมืองแล้วกัน ยื่นหมูยื่นแมว พวกแกก็เอาทนายมาจัดการด้วย ถ้ากล้าเล่นตุกติกล่ะก็ฉันจะฉีกทิ้งซะ ตอนนี้ฉันไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น”
“ได้ ตามนั้น”
สืออวี้วางสาย แล้วยิ้มให้สองสามีภรรยา แต่สายตากลับเย็นชา
“ขอบคุณพวกคุณน้ามากนะคะที่ครั้งนี้ ‘ต้อนรับเป็นอย่างดี’ หนูจะจำไว้ค่ะ”
พูดจบก็ออกไปพร้อมกับสมุดบันทึกของประธานเชี่ยน
“จึ๊ๆ คิดว่าจะดีกับเฉินเสี่ยวเชี่ยนนั่นสักแค่ไหน” น้าหวางมองโซฟาที่ว่างเปล่าพลางพูด ความรู้สึกตอนที่เห็นสืออวี้นั่งต่อรองเรื่องเงินทำให้เธอนึกถึงพ่อของสืออวี้ พ่อเจ้าเล่ห์ ลูกก็ไม่เบา ถ้าที่บ้านไม่ได้ตกต่ำขนาดนี้ เด็กคนนี้ก็คงเป็นหมาป่าดีๆนี่เอง
“เด็กที่เกิดในครอบครัวแบบนี้มีสักกี่คนที่ไร้เดียงสา เมื่อเทียบกับเงิน มิตรภาพก็มีค่าแค่ไม่เท่าไร ความขัดแย้งของคนพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเรา พวกเรารอรับเงินก็พอแล้ว…”
ทางฝั่งที่ดูจากกล้องวงจรปิด ผู้ชายที่คุยกับสืออวี้ถามมู่ฮวาหลีที่อยู่ในชุดขาวตัวยาว
“หมอมู่ครับ หมอว่าท่าทางของเขาดูเป็นปกติไหมครับ? ทำไมเขาถึงได้กำหนดมาว่าอยากเจอเจ้านายผม หรือจะมีแผนอะไรหรือเปล่า?”
“เยี่ยม เยี่ยมจริงๆ” มู่ฮวาหลีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อะไรนะครับ?” ผู้ชายคนนั้นอึ้ง
“สร้อยไม้จันทน์แดงบนข้อมือเขาเยี่ยมจริงๆ สวยได้รูป ความมันวาวกับรูปลักษณ์โดดเด่นมาก รู้เลยว่าเป็นของดี ผมก็มีแบบนั้นเหมือนกัน ถึงจะใหญ่กว่าของเขา แต่ข้อมือของผู้ชายกับผู้หญิงไม่เหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่ายิ่งใหญ่ยิ่งดี แต่ของที่เขาใส่อยู่มันเยี่ยมจริงๆ”
“…” อยากให้วิเคราะห์คน ใครอยากฟังเรื่องสร้อยข้อมือกัน?
ถ้าไม่เห็นแก่ที่มู่ฮวาหลีเก่งขนาดนี้ล่ะก็ เขาล้มโต๊ะไปนานแล้ว
“หมอมู่ครับ หมอคิดว่าเขา—”
“เกี่ยวอะไรกับผม? งานเราจบแล้วไม่ใช่เหรอ? ผมมีหน้าที่แค่สะกดจิต เรื่องหลังจากนี้มันเรื่องของพวกคุณแล้ว”
ผู้ชายคนนั้นเก็บความโมโหเอาไว้ นึกถึงเรื่องที่เจ้านายสั่งไว้ว่าให้ทำตัวมีมารยาทกับหมอมู่ ครั้นแล้วจึงส่งยิ้มให้ “หมอว่าวันนี้ท่าทางของเขาดูปกติไหมครับ? เกี่ยวกับที่หมอสะกดจิตเขาหรือเปล่า?”
“เกี่ยว และก็ไม่เกี่ยว จะบอกว่าเกี่ยวก็เกี่ยว ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว เกี่ยวหรือไม่เกี่ยว”
“…ช่วยพูดให้ผมเข้าใจหน่อยได้ไหมครับ?”
มู่ฮวาหลีใช้สร้อยที่เขาจับเล่นชี้ไปทางผู้ชายคนนั้น “ผมสะกดจิตเขาว่าไม่ให้ไว้ใจใครทั้งนั้นก็จริง ดังนั้นเขาจึงมีท่าทีระแวง ถ้าไม่ได้เจอเจ้านายคุณก็จะไม่ให้ของ ในทางทฤษฎีมันก็ปกตินั่นแหละ แต่ถ้าพิจารณาจากสร้อยที่อยู่บนข้อมือเขา เขากับเสี่ยวเชี่ยนอยู่ในสถานะที่ว่าถ้าไม่ดีต่อกันก็ร้ายต่อกันไปเลย ไม่มีกึ่งกลางแน่นอน ดังนั้นเรื่องนี้พูดยาก”
จิตแพทย์ขั้นเทพพูดจาซับซ้อนอะไรขนาดนี้วะเนี่ย?
ผู้ชายคนนั้นคิดอยู่นานก็ยังไม่เข้าใจความหมายของฮวาหลี เขาเข้าใจแค่ช่วงแรก ตอนนี้สืออวี้เหมือนลูกนกที่ถูกทำร้าย ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น
จ่ายเงินมาตั้งเยอะเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญมาช่วย คงไม่น่ามีปัญหามั้ง…
ผู้ชายคนนั้นลามู่ฮวาหลีอย่างมีมารยาท เตรียมจะเอาเงินไปแลกเปลี่ยนกับสืออวี้
มู่ฮวาหลีส่ายหน้าแล้วพึมพำกับอากาศ “ผลกระทบของจิตใต้สำนึกที่มีต่อจิตรู้สึกนึกคือสามหมื่นเท่า แต่สามหมื่นเท่านี้บางครั้งก็ไม่ค่อยพอ…ใส่สร้อยข้อมือลูกประคำ รู้วิธีทำลายสามหมื่นเท่านั่นได้ยังไง?”
เงินได้มาแล้ว เรื่องแก้แค้นแบบละครน้ำเน่านี่เดิมฮวาหลีก็ไม่ได้อยากดูเท่าไร
แต่ด้วยความที่อยากรู้ตอนจบของสามหมื่นเท่า มู่ฮวาหลีจึงตัดสินใจไปดูบทสรุปของเรื่องนี้ว่าจะเหมือนที่เขาคิดไว้หรือเปล่า อย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ว่างอยู่
…
ณ ร้านกาแฟ สืออวี้นั่งอยู่ตรงมุม เธอสั่งน้ำผลไม้แต่ไม่ได้ดื่ม เอาแต่มองสีสันที่สดใส
นึกถึงเรื่องวุ่นวายที่ประธานเชี่ยนทำเครื่องปั่นน้ำของเธอระเบิดในหอ นึกถึงช่วงเวลาบ้าๆที่เคยมีด้วยกัน
เธอนึกถึงกลอนรักที่ผุดขึ้นมาแบบไม่ถูกเวลา
อดีตที่ผ่านไป
ช่วงวัยอันอ่อนเยาว์
เวลาของสองเรา
สุขเศร้าปนกันไป
มิตรภาพกับความรักมักจะมีจุดที่เหมือนกัน ประธานเชี่ยนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเธอ ต่อจากนี้จะกลายเป็นเพียงอดีต ปีแล้วปีเล่า…
สืออวี้นึกแล้วก็น้ำตาคลอ เธอเหม่อมองน้ำผลไม้ ขนาดมีคนมานั่งอยู่ตรงข้ามแล้วเธอยังไม่รู้ตัว
“คุณหนูสือ”
ตรงข้ามเธอเป็นผู้ชายวัยกลางคนสวมชุดสูทรองเท้าหนัง ท่าทางเจ้าเล่ห์ ดูก็รู้ว่าฉลาดเป็นกรด เขาวางกระเป๋าเอกสารลงบนโต๊ะแล้วทำมือเชิญให้สืออวี้
“ไม่ต้องใช้ทนายเหรอ?” สืออวี้ถาม
ผู้ชายคนนั้นตบกระเป๋าแล้วยิ้มเห็นฟัน
“ผมนี่แหละครับทนาย เดี๋ยวจะมีเอกสารให้คุณหนูสือเซ็น แต่ก่อนอื่นคงไม่ถือสาใช่ไหมครับถ้าผมจะขอพิสูจน์สินค้าก่อน?”
สืออวี้ยื่นสมุดบันทึกให้ ผู้ชายคนนั้นใช้สองมือรับมาเปิดอย่างระมัดระวัง
“แล้วอีกครึ่งนึงล่ะครับ—เอ๊ะ? นี่มันอะไรกันครับ?”
ผู้ชายคนนั้นมองหน้าแรก เป็นเหมือนกับที่สืออวี้เคยเปิดให้ดู แต่พอดูต่อไปเรื่อยๆก็เริ่มตกใจ
มันเป็นเคสคนไข้จริงๆ แต่ถ้าดูให้ละเอียดแล้วไม่ได้เขียนจริงจังอะไรขนาดนั้น!
เป็นลายมือของเสี่ยวเชี่ยนจริง แต่เขียนอะไรไม่รู้ไร้สาระเต็มไปหมด
อย่างเช่น มีอยู่หน้าหนึ่งเธอให้คำปรึกษาเรื่องชีวิตคู่ เธอเขียนเอาไว้ว่า
คนชั้นต่ำคู่ควรกับหมาตราบชั่วฟ้าดินสลาย เนื้อย่างคู่กับเบียร์ ยิ่งกินยิ่งแซ่บ
แบบนี้มันเรียกเคสคนไข้เหรอ?
“ประธานเชี่ยนมีนิสัยอยู่อย่าง เขาชอบเขียนความคิดเห็นตัวเองลงไปในสมุดบันทึก เขาเคยบอกฉันว่า เวลาทำงานเขาจะคุยกับคนไข้ไปตามความเป็นจริง แต่นอกเวลางาน เธอเป็นพวกมีความคิดพิเรนทร์”
โลกในใจของประธานเชี่ยนมีสีสันกว่าที่เธอแสดงออกเยอะ
เธอมักจะชอบเขียนแฉ อะไรที่เกี่ยวกับเรื่องงานเธอจะแค่เขียนสั้นๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องระบายความในใจล่ะก็ ยาวเป็นหางว่าว
ผู้ชายคนนั้นถึงขนาดอ่านไปเจอตรงหน้าของผู้ป่วยติดเซ็กซ์ ผู้ชายของฉันรักฉันเหลือเกิน คืนหนึ่งตั้งหลายครั้ง ทำไงดี?
แล้วด้านหลังก็เขียนคำตอบไว้ ‘ก็ต้องยอมน่ะสิ!!!’
ใส่เครื่องหมายตกใจถึงสามอัน
ผู้ชายคนนั้นมุมปากกระตุก
“ไม่ได้หยิบผิดนะ?”
“นี่แหละสมุดโน้ตของเขา”
“ทำไมหน้าแรกเขียนอย่างเป็นทางการขนาดนั้น? แถมยังมีแค่หน้าแรกที่มีช่องทางติดต่อคนไข้? ด้านหลังมีแต่อะไรไม่รู้ไร้สาระ? คุณหยิบเล่มปลอมมาหรือเปล่า?”
“อาจเพราะเมื่อสองปีก่อนเขาห้าวเป้งไปหน่อย ครึ่งเล่มหลังคุณจะต้องสนใจแน่นอน”
“แล้วอีกครึ่งอยู่ไหน?”
“อยู่นี่”
ผู้ชายคนนั้นอยากจะไปหยิบมา แต่พบว่ามันแปลกๆ สืออวี้นั่งอยู่ตรงข้ามเขาไม่พูดอะไร งั้นเสียงเมื่อกี้คือ—
เขาหันไป ในมือเสี่ยวเชี่ยนมีครึ่งหลังของสมุดโน้ต ซ้ายมือมีหลิวเหมยยืนอยู่ ด้านขวาเป็นฉิวฉิว ไป๋จิ่นกำลังใช้กล้องดิจิตอลถ่ายรูปแชะๆ
สมกับเป็นนักข่าวอาชีพ หามุมได้ดีจริงๆ
ไป๋จิ่นเดินเข้าไปพยักหน้าให้สืออวี้ สืออวี้จึงถอดสร้อยข้อมือให้เธอ ไป๋จิ่นปลดล็อคตะขอสร้อย จากนั้นก็มีกล้องขนาดจิ๋วหลุดออกมา
“ประธานเชี่ยน อันนี้ให้ฉันได้จริงๆเหรอ?” ไป๋จิ่นถือกล้องจิ๋วพลางถาม
“แน่นอน ของแบบนี้อาข่ามีเยอะแยะ”
เสี่ยวเชี่ยนโบกมือให้ผู้ชายคนนั้นที่ตัวแข็งทื่อไปแล้ว ทางนั้นอยากทำเป็นเท่ห์โค่นเธอให้พินาศแต่กลับถูกจับได้ ไง ยังสบายดีไหม?
สืออวี้เห็นเสี่ยวเชี่ยนมาแล้วจึงยิ้มให้ “ฉันแสดงเก่งไหม? เทคนิคดีกว่าตอนเรียนเปล่า?ล่องูออกจากถ้าพอได้ใช่ไหม?
เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้าอย่างชื่นชม “เธอแสดงบทสายลับได้สุดยอดมาก กลับไปเดี๋ยวเพิ่มน่องไก่ให้ชิ้นนึง”
ในที่สุดผู้ชายคนนั้นก็ได้สติ เขาชี้หน้าเสี่ยวเชี่ยนกับสืออวี้ด้วยความตกใจ “แก พวกแก พวกแกรวมหัวกันเหรอ?!”