แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 625
บทที่ 625 ฝ่าวงล้อม
โดย
Ink Stone_Fantasy
เวลานี้ พวกหลิงม่อได้พุ่งตัวไปที่หน้าต่างแล้ว
ขณะเดียวกับที่ดอกไม้ไฟระเบิด พวกเขาก็มองเห็นเงาร่างที่ยืนอยู่ดาดฟ้า
ทว่าขณะที่เย่เลี่ยนยกปืนขึ้น คนคนนั้นก็ได้ดึงประตูดาดฟ้าปิดอย่างช้าๆ
มุมนี้สามารถบังร่างเขาได้ทั้งร่าง เย่เลี่ยนจึงทำได้เพียงลดแขนลงอย่างช่วยไม่ได้
สวี่ซูหานเองก็เช่นกัน แต่การเคลื่อนไหวของเธอช้ากว่าเย่เลี่ยนหนึ่งก้าว
สีหน้าเวลาเธอมองซย่าจื้อ แสดงออกถึงความสับสน ไม่เหมือนกับความโกรธขึ้งของมู่เฉิน
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ บานประตูที่กำลังปิดลงช้าๆ ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
ท่ามกลางสายตาของทุกคน มือข้างหนึ่งยื่นออกมานอกประตู จากนั้นก็โบกมาทางพวกหลิงม่อช้าๆ
“ชิบ!”
มู่เฉินพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างแรง พลางสบถด่าอย่างโมโห
“ปัง!”
ดอกไม้ไฟอีกลูกระเบิดได้เวลาเหมาะเจาะ และหลังจากประกายดอกไม้ไฟที่เจิดจ้าแยงตาจางหายไป บนดาดฟ้าก็ไร้เงาคนแล้ว
“แม่มันเถอะ!” มู่เฉินกัดฟันกรอดและสบถด่าหยาบคาย “มันยังกล้ากลับมาอีก!”
“ทำไมจะไม่กล้า? เขาเตรียมตัวมานานแล้ว และยังระวังตัวมากอีกด้วย” หลิงม่อหรี่ตามองดาดฟ้าตรงข้าม “พวกนายคงไม่ต้องพูดถึง เขาต้องรู้จักพวกนายดีมากอย่างแน่นอน และที่ผ่านมา เขาอยู่กับพวกเราตลอดเวลา อย่างน้อยเขาก็คงเดาสถานการณ์ได้บ้างล่ะ”
พูดไป จู่ๆ หลิงม่อก็ยื่นตัวออกไปข้างนอก แล้วเอื้อมมือไปดึงสายไฟหนาๆ เส้นหนึ่งมา แสงสว่างจากไฟทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าปลายสายอีกด้านของสายไฟห้อยลงไปบนพื้น
“แม้แต่ทางเดินสายไฟระหว่างอาคารสองหลัง เขาก็ยังตัดมันทิ้ง ดูท่าแล้วเขาไม่เพียงแต่ระวัง แต่ยังรอบคอบคิดมากด้วย”
ไม่ว่าจะเป็นหลิงม่อหรือว่าสามสาวซอมบี้ ล้วนสามารถปีนป่ายไปยังอาคารตรงข้ามโดยอาศัยสายไฟแบบนี้ วิธีนี้พวกเขาเคยใช้ตอนที่หลบเลี่ยงซอมบี้ แต่ในสถานการณ์คับขันอย่างนี้อีกฝ่ายกลับยังจำมันได้ขึ้นใจ บอกได้เลยว่าคนคนนี้ใจเย็นจนน่ากลัว
“เรื่องสุดท้าย” หลิงม่อหันกลับมา พลางแสยะยิ้มเย็นชา “ในเมื่อเขาตัดสินใจย้อนกลับมาฆ่าซ้ำสอง ก็แสดงว่าแผนการของเขาไม่ได้แค่ต้องการหลบหนี รวมถึงกำจัดพวกนายทิ้งเท่านั้น”
“แล้วเขาคิดจะทำอะไรอีก?” มู่เฉินถามพร้อมเบิกตากว้าง
หลิงม่อยกนิ้วชี้มาที่ตัวเอง แล้วบอกว่า “กำจัดฉัน”
“แต่ว่า…” สวี่ซูหานอ้าปากอย่างลังเล แล้วพูดเสียงเบาว่า “ไม่แน่ว่าเขาอาจแค่อยากหยุดพวกนายไว้?”
“หึหึ” หลิงม่อเงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วบอกว่า “ดอกไม้ไฟทั้งสว่างและเสียงดังขนาดนั้น คิดว่ามีแค่ซอมบี้หรอที่จะถูกดึงดูดเข้ามา?”
พอเขาพูดคำนี้ออกไป บรรยากาศพลันเงียบกริบขึ้นมาทันที
สีหน้าของมู่เฉินช็อกหนักยิ่งกว่าเดิม ส่วนสวี่ซูหานก็ถอนหายใจ แล้วทำท่าคอตก
มีเพียงพวกเย่เลี่ยนที่ก้มหน้าลงไปมองเปลวเพลิงข้างล่าง รวมถึงดอกไม้ไฟที่ระเบิดลูกแล้วลูกเล่า
ถึงแม้ว่าในความทรงจำมนุษย์ พวกเธอต้องเคยเห็นดอกไม้ไฟมาแล้ว แต่พอได้มาเห็นภาพอย่างนี้อีกครั้งหลังจากกลายร่างแล้ว ความรู้สึกย่อมแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
เดาว่าเวลามนุษย์ปกติดูดอกไม้ไฟ คงจะไม่มองด้วยสายตากระหายการเข่นฆ่า แต่ซอมบี้เป็นอย่างนั้น…
สามสาวซอมบี้ผู้เต็มไปด้วยรังสีเข่นฆ่ายืนอยู่ตรงหน้าบานหน้าต่าง และกำลังเบิกตากว้างจ้องดอกไม้ไฟบนท้องฟ้ายามค่ำคืน…
“เขาบ้าไปแล้ว” ผ่านไปครู่ใหญ่กว่ามู่เฉินจะเค้นคำนี้ออกมาได้
“แค่กำจัดพวกนาย ทำให้เขาได้แค่การเลื่อนตำแหน่งในนิพพานสาขาย่อย แล้วยังมีปัญหาหลงเหลืออยู่อีก แต่ถ้าหากฆ่าฉันซะ ก็จะสามารถกำจัดต้นตอของปัญหา แล้วยังได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม พอคำนวณดูแล้ว ได้ผลประโยชน์มากกว่าอันตราย” หลิงม่อบอก
คำพูดของหลิงม่อทำให้มู่เฉินและสวี่ซูหานต่างเงียบไปทั้งคู่ ถึงแม้พวกเขาจะนึกเรื่องนี้ได้แล้ว แต่พอได้ยินหลิงม่อพูดออกมาจากปาก กลับยังคงรู้สึกมึนตึ๊บไปหมด
“รีบไปกันเถอะ ถ้ายังไม่ไปอีกก็คงจะไม่ทันแล้ว” หลิงม่อก้มหน้ามองข้างล่าง แล้วบอก
พวกมู่เฉินเองก็มองออกไปด้วย สีหน้าของพวกเขาดูย่ำแย่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เปลวไฟลุกโหมหนักขึ้นเรื่อยๆ ซอมบี้ที่วิ่งมาจากรอบทิศมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าซอมบี้พวกนี้จะยังตามหาพวกเขาไม่เจอ แต่พวกมันกลับถูกเปลวเพลิงดึงดูดให้เข้ามาใกล้บริเวณร้านกาแฟ
ทันทีที่พวกเขาโผล่หน้าออกไป สิ่งที่จะต้องเผชิญก็คือการล้อมโจมตีจากซอมบี้จำนวนมหาศาล
เหมือนเกมตีตัวตุ่นรอบใหม่ เพียงแต่พวกเขากลายไปเป็นตัวตุ่นผู้โชคร้ายเท่านั้นเอง และสิ่งที่ใช้ทุบพวกเขาไม่ใช่ค้อนธรรมดา แต่เป็นกรงเล็บอันแหลมคมของซอมบี้
“แต่ว่าซย่าจื้อ…” มู่เฉินขบกรามแล้วพูดเสียงลอดไรฟัน แม้ในสถานการณ์อย่างนี้ เขาก็ยังไม่อยากปล่อยซย่าจื้อให้ลอยนวลไป
โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าตัวเองต้องเอาตัวรอดอย่างยากลำบากอยู่ท่ามกลางวงล้อมซอมบี้ แต่ซย่าจื้อกลับหน้าระรื่นวิ่งกลับไปนิพพานสาขาย่อย เขาทำใจลืมความโกรธแค้นนี้ไม่ลงจริงๆ
ทว่าพอเขามองไปทางหลิงม่อ กลับค้นพบอย่างตกตะลึงว่าเจ้าหมอนั่นยังคงยิ้มหน้าบานได้อยู่อีก
สถานการณ์อย่างนี้ก็ยังยิ้มออกมาได้?!
พอเห็นมู่เฉินทำหน้าตกใจจนเบ้าตาแทบถลนออกมาจากเบ้า หลิงม่อกลับพูดเพียงว่า “เขาหนีไปไหนไม่รอดหรอก”
“…ไหนนายลองบอกซิว่าหยุดสถานการณ์นี้ได้อย่างไร? แค่จะเอาตัวรอดยังยากเลย…”
มู่เฉินเพิ่งจะอุทานในใจ แต่ไม่นานก็ได้ยินหลิงม่อพูดขึ้นมาว่า “เรื่องที่พวกนายวางแผนเล่นงานฉัน ฉันยังไม่ลืมหรอกนะ แต่ตอนนี้มาร่วมมือกันก่อน…”
“ค่อยคิดบัญชีหลังเรื่องจบเถอะ” สวี่ซูหานพูดแทรก เขาเงยหน้ามองหลิงม่อ แล้วบอกว่า “มีเงื่อนไขอะไร ถึงเวลานั้นขอแค่บอกมา อะไรก็ได้ที่นายพอใจ แต่ถ้าหากพวกเรามีชีวิตรอดไม่พ้นคืนนี้ พูดเรื่องพวกนี้ไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร”
หลังพูดจบ เธอไม่รอให้หลิงม่อตอบ แต่กลับเดินผ่านหลิงม่อไปเลย
เสี้ยววินาทีที่เดินเฉียดไหล่กัน หลิงม่อก็ได้ยินเสียงพูดเบาๆ “ฉันไม่ได้อยากฆ่านาย”
“อ่า…” หลิงม่อยกมือขึ้นลูบจมูกด้วยสีหน้าแปลกๆ จากนั้นก็หันไปมองแผ่นหลังของสวี่ซูหาน
สวี่ซูหานในตอนนี้ กับตอนที่เขาเพิ่งเจอเธอเหมือนจะมีอะไรแตกต่างกันมาก เสียงฝีเท้าที่ไม่ต่างอะไรจากเวลาปกติ ตอนนี้กลับดูเหมือนหนักอึ้งเหลือเกิน…
อาคารหลังนี้ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านกาแฟได้ถูกเปลวเพลิงและฝูงซอมบี้ห้อมล้อมไว้จนมิดแล้ว พวกหลิงม่อเพิ่งจะวิ่งลงไปถึงชั้นสอง ก็ถูกควันสีดำและซอมบี้อีกสามสี่ตัวต้อนให้ถอยกลับขึ้นไปดังเดิม
“ไปบนดาดฟ้า!” หลิงม่อนำทุกคนวิ่งกลับทางเดิม
แสงไฟฉายที่ส่ายไปส่ายมาไม่หยุดส่องไปยังช่องบันไดอันมืดมิด และตอนนี้ด้านนอกมีแต่เสียงดังวุ่นวายเต็มไปหมด
“ปุ้งง!”
เสียงสนั่นดังมาจากก้านหลัง ทำให้มู่เฉินที่วิ่งรั้งท้ายสุดก้มตัวลง แล้วยกมือขึ้นกุมหัวโดยสัญชาตญาณ ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นเกาะราวบันได “เชี่ยย!! เสียงอะไรวะ!”
“แค่เสียงกระจกระเบิด อาคารแบบนี้ไฟลุกลามเร็วมาก เร็วเข้า!” หลิงม่อเร่ง
“พวกนายรอฉันด้วยเซ่!” มู่เฉินยกมือขึ้นกุมท้อง พลางตะโกนเรียกด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว
ทว่าตะโกนก็ส่วนตะโกน แต่เขากลับไม่กล้าชะงักเท้าแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ว่าจะถูกซอมบี้กินหรือถูกไฟครอก ล้วนเป็นประสบการณ์ที่ฟังดูไม่น่ารื่นเริงเท่าไหร่
ประตูดาดฟ้าถูกเปิดทิ้งไว้ ทำให้พวกเขาประหยัดเวลาได้หน่อย ทว่าหลังจากที่ก้าวเท้าเหยียบเศษเสื้อผ้าที่อยู่บนพื้น หลิงม่อก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
เห็นชัดว่าที่นี่เคยเกิดเหตนองเลือดครั้งใหญ่มาแล้ว และสิ่งที่หลงเหลืออยู่นอกจากบานประตูพังๆ ก็มีเศษชิ้นส่วนน่าสงสัยที่ร่วงอยู่บนพื้นเหล่านี้
หากชักช้าอีก พวกเขาก็อาจกลายเป็นเศษชิ้นส่วนพวกนี้ก็ได้
กลิ่นไหม้เกรียมเริ่มลอยโชยมาตามอากาศ กลิ่นแรงจนแทบจะสำลัก ควันดำโขมงเริ่มทะลักขึ้นมา พร้อมกับเสียงระเบิดต่างๆ ที่ดังขึ้นมาเป็นระยะๆ
เสียงฝีเท้าซอมบี้วิ่งขึ้นบันไดดังมาไม่ขาดสาย เย่เลี่ยนปิดประตูเหล็กเก่าๆ บานนี้ดังปัง จากนั้นก็ยืนหันหลังชนประตูเพื่อยืนขวางไว้ชั่วคราว
“ทางนี้”
หลิงม่อใช้ไฟฉายสาดส่องไปทั่วดาดฟ้า จากนั้นก็เลือกตำแหน่งหนึ่ง แล้วหันหน้าไปถาม “พวกนายเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพ ถ้าต้องกระโดดไกลๆ หน่อยก็คงไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
มู่เฉินและสวี่ซูหานรีบวิ่งไปยืนข้างหลิงม่อ จากนั้นก็มองระยะห่างที่กว้างประมาณ 4 – 5 เมตรนั้น “ไม่มีปัญหา…คิดว่านะ”
อาคารสองหลังนี้ไม่เพียงห่างกันค่อนข้างไกล แต่ดาดฟ้าของอาคารอีกหลังกลับสูงกว่าดาดฟ้าของอาคารหลังนี้ประมาณ 1 – 2 เมตร ซึ่งนั่นหมายความว่าระดับความยากของการกระโดดจะเพิ่มขึ้นมาก
แต่ถ้าหากไม่กระโดดตอนนี้ ต่อไปแม้แต่โอกาสลองก็จะไม่มีอีกแล้ว
ประตูเหล็กด้านหลังเย่เลี่ยนกำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรง เสียงตึงตังๆๆ ดังอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งผนังก็ยังสะเทือนไปด้วย เศษฝุ่นผงถูกแรงสะเทือนทำให้ร่วงลงมามากมาย
เหล็กดัดตรงขอบประตูก็เริ่มหลุดจากโครงแล้ว หากเป็นอย่างนี้ไม่ว่าเย่เลี่ยนจะแรงเยอะอีกแค่ไหน ก็คงจะยื้อได้อีกไม่นาน
ประตูก็หลุดแล้วยังจะขวางอะไรได้อีก?
“เร็วเข้า!” หลิงม่อเร่งเร้า
หลี่ย่าหลินและซย่าน่าเดินไปอยู่ข้างดาดฟ้า พวกเธอกำลังโจมตีซอมบี้ที่กำลังปีนขึ้นมาตามท่อระบายน้ำ พร้อมกับร่างท่วมไฟอย่างรุนแรง
ซอมบี้พวกนั้นกรีดร้องคำรามเสียงดังจากการถูกเปลวเพลิงห่อหุ้ม พวกมันพยายามยื่นมือที่เต็มไปด้วยฟองเลือด และถลอกปอกเปิกจากการถูกไฟครอกมาทางพวกเธอ
“เธอก่อน” หลิงม่อมองสวี่ซูหาน แล้วพูดขึ้น
—————————————————————————–