แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 637
บทที่ 637 นี่เป็นการป้องกันตัวที่สมเหตุสมผล!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“งืมม…”
หมายเลข 1 ยังคงอยู่ในห้วงสลบไสล หลังปากถูกงัดเปิด มันก็ดิ้นขัดขืนตามสัญชาตญาณเพียงสองสามครั้ง จากนั้นก็แน่นิ่งไป
หลิงม่อนั่งลงตรงหน้ามัน เขาล้วงคริสตัลสีแดงกึ่งโปร่งใสออกมาจากกระเป๋าเสื้อหนึ่งก้อน จากนั้นก็เอาน้ำออกมาอีกหนึ่งขวด
“นางพญา?” หลี่ย่าหลินสูดจมูก ดวงตาพลันประกายวาววับ
“ชู่ว” หลิงม่อหันหลังไปมองสวี่ซูหาน พอเห็นเธอยังคงหลับตาอยู่ เขาก็หันกลับไปเอาคริสตัลก้อนนั้นใส่เข้าไปในน้ำ แล้วบอกเสียงเบาว่า “เอาเจ้านี่ไปลองดู”
หลี่ย่าหลินเองก็ทำท่าลับๆ ล่อๆ เลียนแบบหลิงม่อ จากนั้นก็กระซิบกระซาบถามเสียงเบา “ลองอะไร?”
ไม่ได้มีเพียงแค่เธอ เย่เลี่ยนกับซย่าน่าเองก็ทำหน้าสงสัยเช่นกัน
“รอดูเถอะ”
หลิงม่อเขย่าขวดน้ำช้าๆ จากนั้นก็ก้มหน้าดมตรงปากขวด “ได้แล้ว”
เขาเอาปากขวดไปจ่อปากใหญ่ๆ ที่กำลังอ้ากว้างของหมายเลข 1 อย่างระมัดระวัง และเทน้ำลงไปในปากของมันที่ความสูงประมาณสิบเซนติเมตร
หลังจากเทลงไปประมาณครึ่งขวด หมายเลขหนึ่งไอสำลักสองสามที แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ เกิดขึ้น
หลิงม่ออดทนรออย่างใจเย็นต่ออีกสิบกว่าวินาที แล้วจึงล้วงนางพญาอีกก้อนออกมา
ที่เขาออกมาครั้งนี้ กลับเป็นรางวัลจากการสู้กับซอมบี้เจ้าเมืองเมื่อไม่นานมานี้เอง
พอเอาก้อนไวรัสนางพญาของซอมบี้เจ้าเมืองใส่ลงไปในน้ำ กลิ่นเชื้อไวรัสก็โชยออกมาทันที
“ลองเจ้านี่ดูอีกที” หลิงม่อเขย่าขวดอีกครั้ง จากนั้นก็เอาน้ำที่เจือปนเชื้อไวรัสเทใส่ปากหมายเลข 1 อีกครั้ง
เมื่อกี้เขาใช้ไวรัสนางพญาของชนชั้นสูง แต่พอเอามาแช่น้ำแล้วดื่มกลับไม่ได้ผลอะไรเลย
ความจริงหากวัดกันแค่ระดับ ดูเหมือนหมายเลข 1 จะอยู่แค่ระดับซอมบี้กลายพันธุ์หรือไม่ก็ซอมบี้วิวัฒนาการเท่านั้น
ที่มันแข็งแกร่งขนาดนี้ อาจเป็นไปได้มากว่าเป็นเพราะเขาเป็นผู้มีความสามารถพิเสษมาก่อน
ทว่าจากมุมมองของหลิงม่อ ถึงแม้มันจะยังใช้ความสามารถพิเศษบางส่วนได้ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่สติเลอะเลือน มันไม่มีทางแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของพลังพิเศษได้
แต่เทียบกับผู้มีความสามารถพิเศษทั่วไป ความกล้าบ้าบิ่นไม่กลัวตายของมันกลับทำให้มันน่ากลัวกว่ามาก…
ส่วนระดับความเข้มข้นของเชื้อไวรัวในร่างกาย มันด้อยกว่าซอมบี้ระดับเจ้าเมืองอยู่หลายขุม แม้กระทั่งเปรียบเทียบกับซอมบี้ชนชั้นสูง ก็ยังห่างชั้นอีกไกล
ถ้าหากเอาก้อนไวรัสนางพญาของซอมบี้ชนชั้นสูงก้อนเมื่อกี้ยัดใส่ปากมันโดยตรง มันต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองแน่นอน แต่หากทำอย่างนั้นมันจะเป็นการสิ้นเปลืองสำหรับหลิงม่อ
“ครั้งนี้น่าจะได้ผลแล้วนะ”
หลังที่เทหมด หลิงม่อก็เริ่มสังเกตปฏิกิริยาของหมายเลข 1
ในฐานะซอมบี้ ผลกระทบที่มันได้รับจากเชื้อไวรัสแสดงอาการให้เห็นเร็วกว่าตอนที่คนทั่วไปติดเชื้อมาก
เพิ่งจะผ่านไปหนึ่งนาที จู่ๆ หมายเลข 1 ที่แน่นิ่งมาโดยตลอดพลันขดงอร่างกายท่อนบน มันเบิกดวงตาสีแดงเลือดกว้าง แล้วเปล่งเสียงคำรามแหบต่ำ
กล้ามเนื้อตึงเกร็งบนร่างกายของมันราวกับกำลังปูดโปนขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นกระดูกก็เคลื่อนดัง “กร๊อบๆ” อย่างต่อเนื่อง
“อ๊ากกก!”
มันเพิ่งจะกระโดดลุกขึ้นยืน ก็ต้องล้มลงไปอีกครั้ง เหมือนชนเข้ากับเชือกสายป่านที่มองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น
ไม่รอให้มันลุกขึ้นมาอีกครั้ง ปากของมันถูกบังคับให้อ้ากว้าง เลือดสีดำจำนวนหนึ่งทะลักออกมาจากคอหอยของมัน
หลังจากที่กระตุกสั่นอยู่ไม่กี่ครั้ง ร่างกายของหมายเลข 1 ก็แน่นิ่งไม่ไหวติงอีก
“โชคดีที่เตรียมตัวไว้แต่แรกแล้ว” หลิงม่อถอนหายใจแรงๆ หนึ่งที ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว แล้วพูดขึ้น
หลิงม่อเอาน้ำออกมาอีกหนึ่งขวด ก้อนไวรัสนางพญาของซอมบี้เจ้าเมืองถูกเขาเอาแช่น้ำอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาเขย่าแค่สองที ก็รีบเอาไวรัสนางพญาออกมาทันที จากนั้นก็ถือขวดน้ำเดินไปหาสวี่ซูหาน
“มา ลุกขึ้นมา” เขาประคองให้สวี่ซูหานลุกขึ้นนั่ง ผู้หญิงคนนี้เพียงขยับเปลือกตาขึ้น จากนั้นก็พยักหน้าอย่างอ่อนแรง
ดวงตาของเธอแทบจะแดงสนิทแล้ว สติก็เริ่มเลื่อนลอยมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างมากที่สุดก็ภายในสามนาทีนี้ เธอจะต้องถูกเชื้อไวรัสกัดกร่อนไปทั่วทุกส่วน และร่างกายก็จะเริ่มเน่าเปื่อย
และในระหว่างนั้น เธอกลับจะมีสติชัดเจนที่สุด
นี่มันน่ากลัวกว่าการกลายพันธุ์ทั่วไปมาก…
“ดื่มเจ้านี่ซะ” หลิงม่อส่งขวดน้ำไปไว้ใกล้ปากเธอ เธอขยับปากเล็กน้อย แต่เพิ่งจะกลืนลงไปอึกเดียว เธอก็เริ่มไออย่างรุนแรงขึ้นมาทันที
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” หลิงม่อถามอย่างร้อนรน
หลังจากที่ไอเสร็จ สวี่ซูหานก็พิงกลับเข้าไปในอ้อมกอดของหลิงม่ออย่างอ่อนแรงอีกครั้ง แล้วส่ายหน้าเบาๆ
แม้หลิงม่อจะไม่เคยผ่านขั้นตอนการกลายร่างโดยสมบูรณ์ แต่เขาก็เคยได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสมาเหมือนกัน
บางที ตอนนี้ร่างกายของสวี่ซูหานอาจกำลังได้รับบททดสอบที่แตกต่างกันสุดขั้วพร้อมกันก็ได้
ด้านหนึ่งคือเลือดในกายที่กำลังเดือดพล่าน อีกด้านคือเรี่ยวแรงที่แห้งเหือด จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้…
หลังทรมานอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดสวี่ซูหานก็ดื่มน้ำเข้าไปจนหมด แต่ทว่าคำสุดท้ายยังไม่ทันได้กลืนถึงท้อง จู่ๆ เธอก็เบิกตากว้าง
“กรี๊ดดด…”
เธอกรีดร้องเสียงแหลมออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ มือสองข้างขยุ้มโซฟาแน่น ร่างกายโก่งงอขึ้นข้างบน
ในดวงตาที่เบิกกว้างคู่นั้นเต็มไปด้วยเส้นเลือดเล็กๆ และท่ามกลางการสังเกตการณ์ของหลิงม่อ ดวงแสงแห่งจิตของเธอก็กำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
มู่เฉินที่เฝ้าอยู่ข้างนอกหันกลับไปมองหลายครั้ง และสุดท้ายเขาก็อดกลั้นเอาไว้ได้
สถานการณ์ในตอนนี้ เขาช่วยอะไรไม่ได้เลยจริงๆ…
“เป็นอะไรไป?” ซย่าน่าถาม
หลิงม่อจ้องสวี่ซูหานเขม็ง แล้วตอบว่า “เชื้อไวรัสกำลังต่อสู้กันอยู่ในร่างกายของเธอ”
“สู้กัน?” เย่เลี่ยนพูดทวนอย่างสงสัย
“อื้ม” หลิงม่อพยักหน้า “ยังจำได้ไหมที่บอกว่าเชื้อไวรัสเกิดจากแหล่งเดียวกัน? ตอนนี้ในร่างกายของเธอมีเชื้อไวรัสอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามชนิด ถึงแม้มาจากแหล่งเดียวกัน แต่ทิศทางวิวัฒนาการกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เห็นชัดว่าเชื้อไวรัสส่วนที่ทำให้เธอกลายเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ ไม่สามารถต้านทานเชื้อไวรัสของหมายเลข 1 ได้ แต่เชื้อไวรัสของหมายเลข 1 ก็กำลังจะถูกเชื้อไวรัสของซอมบี้ระดับเจ้าเมืองเข้าข่มเหมือนกัน อย่างนี้ถือว่าเป็นการต่อสู้ภายใน…แน่นอน ทิศทางวิวัฒนาการของซอมบี้เจ้าเมืองนั้นออกจะพิสดารหน่อย ทว่าหลังจากผ่านการเจือจาง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก…”
“ทำไมฟังดูยุ่งยากจัง…ถ้าอย่างนั้น พี่ก็อยากให้เชื้อไวรัสสามชนิดนี้หาจุดสมดุลให้ได้อย่างนั้นหรอ?” ซย่าน่าเข้าใจประเด็นสำคัญอย่างรวดเร็ว
หลิงม่อมองหน้าเธอ แล้วบอกว่า “ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ความจริงฉันเองก็เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องร่างสมบูรณ์ เชื้อไวรัสพลังพิเศษ และเชื้อไวรัสซอมบี้ในตัวฉันคงจะอยู่ในจุดสมดุลแล้วสินะ? ถึงแม้จะไม่เท่าเทียมกัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นกดข่มโดยสมบูรณ์ ฉันก็เลยยังมีสติชัดเจนอยู่อย่างนี้ แล้วยังสามารถทำให้ศักยภาพร่างกายพัฒนาขึ้นอีกด้วย แต่กรณีของฉันเกิดจากการดูดกลืนในปริมาณน้อยมาเป็นเวลานาน ซึ่งใช้ไม่ได้กับเธอ”
“แล้วพนายคิดจะทำอะไรกันแน่?” หลี่ย่าหลินเองก็ยื่นหน้าเข้ามาถามอย่างสงสัยเช่นกัน
“แค่ฝืนทำให้เชื้อไวรัสของหมายเลข 1 และเชื้อไวรัสของซอมบี้เจ้าเมืองสมดุลกันก็พอแล้ว หากทำได้เธอก็น่าจะประคับประคองอาการให้อยู่…ในระหว่างติดเชื้อและไม่ติดเชื้อได้” หลิงม่อพูดพร้อมบีบคาง
ซย่าน่าครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ “เหมือนกับฉันตอนนั้น…”
“อื่ม ประมาณนั้น” หลิงม่อพยักหน้า
ทว่าตอนนั้นเขาไม่ได้คิดรอบคอบขนาดนี้ ขั้นตอนก็เปลี่ยนไปจากเดิมมาก
พอคิดถึงตรงนี้ หลิงม่อก็มองซย่าน่าอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
ใครจะรู้ว่าซย่าน่าเองก็กำลังมองเขาเหมือนกัน ทั้งสองสบตากัน ซย่าน่านิ่งอึ้ง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา
“แค่กๆ…”
หลิงม่อหันไปมองสวี่ซูหาน เห็นชัดว่าตอนนี้เธอไม่ได้ยินที่คนรอบข้างคุยกันเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอได้เข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งเต็มตัวแล้ว
แค่ดูจากเล็บที่จิกลึกเข้าไปในเนื้อโซฟา ก็ดูออกแล้ว
ทว่าร่างกายของเธอยังไม่ปรากฏร่องรอยของการเน่าเปื่อย ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องดี
“กรี๊ดดด!
เธอร้องเสียงแหลมไม่หยุด ร่างกายดิ้นพล่านอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่ามีบางอย่างต้องการมุดออกมาจากร่างกายของเธออย่างสุดชีวิต
ระหว่างนั้น หลิงม่อได้เทน้ำเจือปนเชื้อไวรัสให้เธอดื่มอีกสองอึก หลังจากที่ทรมานอยู่ห้านาทีเต็มๆ ในที่สุดเธอก็หมดแรง และล้มตัวลงนอนบนโซฟา
“สำเร็จแล้ว?” หลิงม่อกระเถิบเข้าไปดูอย่างระมัดระวัง เขายื่นมือออกไปจับไหล่สวี่ซูหานแล้วลองเขย่าสองสามที
สวี่ซูหานที่เบิกตากว้างอยู่ในตอนนี้ร่างกายเปียกโชกไปด้วยเหงื่อทั้งตัว เส้นผมแนบติดอยู่กับพวงแก้ม บนเนินอกที่โผล่พ้นเนื้อผ้าออกมาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อมากมาย
ใต้เสื้อคลุมชั้นนอกคือเสื้อยืดบางๆ ที่แนบติดอยู่กับผิวหนัง จนเผยให้เห็นเค้าโครงของเสื้อชั้นในอย่างเด่นชัด
และในระหว่างที่เธอดิ้นพล่านเมื่อกี้ เสื้อตัวนอกของเธอก็ถูกทำให้อยู่ผิดที่ผิดทางไปหมด แม้แต่ไหล่กลมมนก็โผล่พ้นออกมาอยู่ด้านนอก
“อา…” สวี่ซูหานขยับกลีบปากเล็กๆ เปล่งเสียงแห้งแหบออกมาจากลำคอ
“มีสติอยู่ไหม?” หลิงม่อโบกมือไปมาตรงหน้าสวี่ซูหาน
ดวงตาสีแดงจางๆ ของสวี่ซูหานกลอกมองไปมาตามนิ้วมือของหลิงม่อ จากนั้นก็ค่อยๆ หันมามองเขา “อา…เนื้อ…”
พูดไปเธอก็คว้าข้อมือหลิงม่อหมับ แล้วดึงเข้าลงไปอย่างแรง
ถึงแม้หลิงม่อจะเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว แต่เขาคาดไม่ถึงว่าเธอจะมีแรงมากขนาดนี้ เขาเพียงร้อง “โอ๊ย” เสียงเดียว ใบหน้าของเขาก็กระแทกเข้ากับภูเขานุ่มนิ่มสองลูกที่รองรับอยู่ด้านล่างแล้ว
“เดี๋ยวก่อน!”
สวี่ซูหานอ้าปาก แต่เธอกลับไม่ได้งับเขา เพราะหนวดสัมผัสสองเส้นได้ดึงเธอไว้ก่อนแล้ว
หลิงม่อรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่ปรากฏว่าระหว่างนั้นฝ่ามือของเขาดันไปกดทับหนึ่งในสองภูเขานั้นอย่างจัง
และนั่นกลับทำให้สวี่ซูหานมีปฏิกิริยาตอบสนอง เธอกรีดร้องเสียงแหลมโดยอัตโนมัติ เบิกตาสีแดงอ่อนๆ กว้าง แล้วตะโกนเสียงแหบแห้ง “ทำ…ทำอะไรน่ะ!”
“ที่แท้ก็อ่อนไหวกับเรื่องอย่างนี้เป็นพิเศษ…” หลิงม่อรีบยกมือขึ้นเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจอย่างรวดเร็ว แต่ปากกลับอดพึมพำออกมาไม่ได้
ด้านหลังกลับแว่วเสียงสนทนาของเหล่าซอมบี้สาวลอยมา—
“อะไรคือเรื่องอย่างนี้?”
“ก็ถูกข่มขืนไง…”
“หรือไม่ก็ถูกทำอย่างนั้นอย่างนี้ล่ะมั้ง…”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละ!” หลิงม่อหันกลับไปคำรามใส่ “มันคือการป้องกันตัวที่สมเหตุสมผลเท่านั้น!”
ทว่าความเจ็บปวดที่จู่โจมสมองอย่างรุนแรงทำให้สวี่ซูหานละความสนใจออกจากมนุษย์ผู้นี้ เธอเบิกตากว้าง ท่าทางเลื่อนลอยไร้สติอีกครั้ง
“ตกลงว่าสภาพเธอตอนนี้…ถือว่าติดเชื้อโดยสมบูรณ์แล้วหรือยัง?” ซย่าน่ากระเถิบเข้าไปดู แล้วถาม
“รออีกพักหนึ่งก็จะรู้เอง แต่ถึงยังไงก็ไม่น่าจะอดทนได้นาน ช้าเร็วอย่างไรเธอก็ต้องสูญเสียสติรู้คิด” หลิงม่อยื่นมือออกไป แล้วจัดเสื้อนอกที่ยุ่งเหยิงของเธอให้เข้าที่เงียบๆ
“แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ?” หลี่ย่าหลินถามอย่างสงสัย
เธอไม่ได้เป็นห่วงความปลอดภัยของชีวิตสวี่ซูหาน แต่เกิดจากความสนใจที่มีต่อเรื่องนี้ล้วนๆ
กลับเป็นปฏิกิริยาของซย่าน่า ที่ทำให้หลิงม่อรู้สึกว่า เหมือนเธอจะเข้าใจหัวอกสวี่ซูหาน…แต่เดาว่าตัวเธอคงไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้
หลิงม่อล้วงมือถือที่ได้มาจากศพของเฉินเล่อ กดเปิดเครื่อง ปากก็พูดว่า “ก็สำนักงานใหญ่ของนิพพานมีกลุ่มนักทดลองอยู่ไม่ใช่หรอ?”
—————————————————————————–