แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 642
บทที่ 642 หนอนกัดคน เจ็บยิ่งกว่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
หายไปแล้ว!
ครั้งนี้มีคนหายตัวไปต่อหน้าต่อตาเขาอีกคนแล้วจริงๆ…
อีกสองคนหันกลับมามองตาม แล้วก็ต้องตะลึงไปเช่นเดียวกัน
เมื่อกี้แค่เพื่อนร่วมทีมหายตัวไปติดกันสองคน พวกเขาก็รู้สึกขนลุกแล้ว
คราวนี้ทั้งๆ ที่จับเงาร่างของศัตรูได้แล้วแท้ๆ แต่ทำไมเพียงพริบตาเดียวก็มีสมาชิกทีมหายตัวไปอีกคนแล้วล่ะ?
“เมื่อกี้หลัวอวี้หลงบอกว่าเขาอยู่ข้างหน้านี่…”
อ้ายเฟิงหันไปมองยังทิศทางที่เงาร่างปรากฏตัวอีกครั้ง ตอนนี้เงาร่างนั้นได้หายไปแล้ว แต่ทิศทางของมันกลับตรงกับที่หลัวอวี้หลงบอกไว้ก่อนหน้านี้พอดี
แต่มือปริศนาที่ยื่นมาจากข้างหลังพวกเขาอย่างต่อเนื่องนี่มันอะไรกัน?!
“แม่งเอ๊ย!”
อ้ายเฟิงผู้กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์โกรธจัดยกเท้าถีบเก้าอี้ข้างตัวจนพลิกคว่ำ เสียงเก้าอี้ล้ม “โครม” ดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้างฯ ขายเฟอร์นิเจอร์ แต่ไม่นานมันก็ถูกกลบด้วยเสียงคำรามด้วยความโมโหของอ้ายเฟิง “ออกมาสิวะ! อยากสู้? ฉันจะสู้เป็นเพื่อนแกเอง! เล่นวิธีสกปรกอย่างนี้ไม่แฟร์นี่หว่า!”
อ้ายเฟิงเหวี่ยงหมัดต่อยอากาศอย่างแรง แล้วหันกลับมาถีบเก้าอี้จนล้มไปอีกตัว
ส่วนสมาชิกทีมอีกสองคนที่เหลือซึ่งยืนอยู่ด้วยกัน กำลังกลอกลูกตาไปมา เพื่อสังเกตสถานการณ์รอบข้างอย่างระมัดระวัง
ได้ยินหัวหน้าตัวเองสบถด่าอย่างเกรี้ยวกราดขนาดนี้ พวกเขาก็อดมองหน้ากันไม่ได้
ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่วิธีการโจมตีอย่างนี้ทำให้คนรู้สึกทรมานได้มากกว่าจริงๆ…
หากโจมตีซึ่งหน้าพวกเขาอาจต้านได้ แต่การฉวยโอกาสลอบโจมตีอย่างนี้ ทั้งทำให้คนเจ็บและหวาดกลัวได้พร้อมๆ กัน
“นาย เดินไปข้างหน้า”
จู่ๆ อ้ายเฟิงก็หันมา แล้วชี้มาที่หนึ่งในสองคนนี้
ด่ากราดอย่างนี้ไม่อาจกระตุ้นให้อีกฝ่ายออกมาได้ อ้ายเฟิงจึงทำได้แค่คิดหาวิธีอื่นแทน
“ผม?” คนที่ถูกชี้สะดุ้งโหยง
“กลัวอะไรวะ! มีฉันคอยจ้องอยู่ทั้งคน!” อ้ายเฟิงถลึงตาจ้องเขา พร้อมด่าอย่างฉุนเฉียว
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากำลังกระตุกสั่น รอยแผลเป็นนั่นราวกับกำลังเลื้อยไล้ไปตามใบหน้าบูดบึ้งของเขาเหมือนจู่ๆ มันก็มีชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
สายตาเฉียบขาดกดดันสมาชิกทีมคนนั้นจนหายใจไม่ออก เขามองหน้าอ้ายเฟิงอย่างหวาดกลัว แล้วเลื่อนมองลงไปที่มีดในมือของอ้ายเฟิง
“หัวหน้า อย่าเพิ่งวู่วามไป เขาทำอย่างนี้ก็เพื่อจะทำให้หัวหน้าโมโห…” สมาชิกทีมคนนี้พูดจาอย่างระมัดระวัง
“ไป!” อ้ายเฟิงตัดบทเขาอย่างเย็นชา
สมาชิกทีมคนนี้มองเห็นรังสีอำมหิตจากดวงตาของอ้ายเฟิง ซึ่งบ่งบอกว่าเขาถูกยั่วโมโหเข้าจริงๆ แล้ว
ตอนนี้ทำได้เพียงเลือกว่าจะเชื่อฟังคำสั่งแต่โดยดี หรือจะถูกฆ่าซะเดี๋ยวนี้
ที่อ้ายเฟิงสามารถไต่เต้ามาเป็นหัวหน้าของแผนกย่อยได้ นอกจากผลงานที่เขาทำให้แผนกย่อยมีหมายเลข 0 แล้ว ความเย็นชาโหดเหี้ยมนี้ก็เป็นส่วนสำคัญเหมือนกัน
ยามปกติเขาสามารถแสดงออกได้อย่างสงบนิ่ง แต่เมื่อใดที่ผลประโยชน์ส่วนตัวถูกคุกคาม เขาก็สามารถละทิ้งได้ทุกอย่าง
ความขุ่นเคืองฉายชัดออกมาจากดวงตาของสมาชิกทีมคนนี้ แต่เขากลับต้องหันกาย และเดินเข้าไปในความมืดอย่างช่วยไม่ได้
สมาชิกทีมอีกคนที่เงียบกริบไม่กล้าพูดออกมาซักคำถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาแอบถอยห่างจากสมาชิกทีมผู้โชคร้ายคนนั้นเงียบๆ
เขาหวังเพียงว่าสมาชิกทีมคนนี้จะสามารถล่อปีศาจร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ออกมาได้ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเดินตามรอยเขาไปอีกคน
ความจริง ตอนนี้วิธีที่ดีที่สุดคือถอยลงไปอยู่ข้างล่างตึก เฝ้าทางเข้าออกทุกทางอย่างแน่นหนา แล้วรอให้กำลังเสริมมาถึงก่อน
แต่พฤติกรรมเหมือนหมาไร้บ้านอย่างนั้น ถึงแม้อ้ายเฟิงจะคิดได้ แต่เขาก็ไม่มีทางทำแน่นอน
สมาชิกทีมคนนั้นพูดถูกแล้ว พฤติกรรมอย่างนี้ของอีกฝ่าย คือการท้าทายดีๆ นี่เอง
และอ้ายเฟิง ก็ถูกยั่วโมโหเข้าเต็มๆ
พวกเขาเคลื่อนไหวในห้างฯ ช้าๆ โดยคนหนึ่งเดินนำหน้า อีกสองคนเดินตามหลัง สมาชิกทีมคนแรกหวาดวิตกจนเหงื่อท่วมกาย
ตอนนี้ตัวเขาคือเหยื่อล่อที่อ้ายเฟิงใช้โต้กลับการท้าทายของอีกฝ่าย
อวดดีนักใช่ไหม? ก็เอาสิ! จัดการเหยื่อล่อที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาให้ได้ก่อนสิ ถึงจะถือว่าเจ๋งจริง!
อ้ายเฟิงคิดอย่างนี้จริงๆ ดวงตาแดงก่ำของเขาจับจ้องไปที่ร่างกายของสมาชิกทีมคนนั้นอย่างไม่ยอมละสายตา
“ออกมาสิ! ออกมาเดี๋ยวนี้!” อ้ายเฟิงสบถในใจ
ถึงจะนับรวมเจ้าหนูขี้ขลาดที่เอาแต่แอบอยู่ไกลๆ ตัวนั้นด้วย พวกนั้นก็ยังมีกันแค่สองคน…
เดี๋ยวก่อน!!
อ้ายเฟิงดึงสติทันที ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเองมองข้ามอะไรบางอย่างไป
ใช่แล้ว พวกเขามีกันสองคนตั้งแต่แรก!
จนถึงก่อนที่หลัวอวี้หลงจะหายตัวไป เขาก็ไม่เคยพูดถึงหนอนไร้ค่าตัวนั้นเลยซักนิด แต่ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจถูกเจ้าหนอนตัวนั้นฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ ไปแล้วก็ได้
“ใช่แล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เข้าใจได้แล้ว ให้ใครคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าและทำให้พวกเราไขว้เขว เบี่ยงเบนความสนใจ ส่วนอีกคนที่ทำตัวเหมือนหนูไร้ค่าเอาแต่ซ่อนตัว ความจริงเขาคนนั้นกำลังซุ่มและมองหาจังหวะเพื่อลอบโจมตีพวกเราต่างหาก…คนแข็งแกร่งเป็นเหยื่อล่อ ส่วนคนอ่อนแอกลับวิ่งมาลอบโจมตี ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ…”
ยิ่งคิด อ้ายเฟิงก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องเป็นอย่างนี้แน่ๆ
อีกฝ่ายไม่ปิดบังตัวตนของตัวเองเลยแม้แต่น้อย แต่ก็เพราะเหตุนี้พวกเขาถึงได้มองข้ามเจ้าหนอนไร้ค่าตัวนั้นไป
แต่ใครจะไปรู้ว่าหนอนก็กัดคนได้เหมือนกัน?
“แถมฝีมือยังไม่เลวอีกต่างหาก…ทั้งหมดเป็นเพราะข้อมูลไม่พอแท้ๆ!” ความรู้สึกถูกปั่นหัวทำให้อ้ายเฟิงเดือดหนักกว่าเดิม ในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมายทันที
เขารู้สึกว่าเบื้องหลัง จะต้องมีอะไรที่เขามองไม่เห็นอยู่อีกแน่นอน…
“ไม่ได้การ” ความรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นนำในที่สุด อ้ายเฟิงตะโกนเรียกเหยื่อล่อที่เดินอยู่ข้างหน้า “ตรงนั้นคนเดียวเอาไม่อยู่ ถ้าเกิดพวกนั้นเล่นวิธีสร้างเสียงลวงทิศจะแย่เอา”
เหยื่อล่อที่เดินอยู่ข้างหน้ารีบหันหน้ากลับไป ในที่สุดหัวใจที่ตกไปอยู่ตรงตาตุ่มก็คืนสู่ตำแหน่งเดิม เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที
แต่ในขณะที่อ้ายเฟิงและสมาชิกทีมอีกคนหันไปมองทางประตู เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งก็ดังมาจากประตูบานนั้นทันที
“แม่งเอ๊ย! เป็นอย่างที่คิดจริงๆ!” อ้ายเฟิงก้าวเท้า หมายจะวิ่งเข้าไป
สมาชิกทีมที่ทำหน้าที่เหยื่อล่อรีบตะโกนห้าม “อย่าเข้าไป อาจเป็นกับดักก็ได้!”
สมาชิกทีมอีกคนชะงักฝีเท้าทันที เขามองหน้าอ้ายเฟิงอย่างลังเลเล็กน้อย
อ้ายเฟิงกัดฟันกรอด แม้ไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ แต่มันก็มีความเป็นไปได้จริงๆ
การลอบทำร้ายติดต่อกันหลายครั้งของอีกฝ่าย ได้ทำให้พวกเขากลายเป็นคนห่วงหน้าพะวงหลังไปเสียแล้ว…
จู่ๆ อ้ายเฟิงก็พบว่า สิทธิ์ของผู้กระทำได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของอีกฝ่ายจนสิ้นแล้ว
ทุกการตัดสินใจของเขา ล้วนช้ากว่าการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายไปหนึ่งก้าวเสมอ
ไม่ว่าเขาคิดจะทำอะไร ก็เหมือนกับว่ากำลังกระโดดเข้าไปในกับดักของอีกฝ่ายด้วยตัวเองทุกครั้ง
“เสียงอะไรน่ะ?” เสียงตะโกนเลือนรางดังมาจากด้านนอก
อ้ายเฟิงนิ่งไป กำลังคิดจะอ้าปากตะโกนเรียก ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังสวนมาอีกครั้ง
ต่อมา เสียง “ขลุกขลักๆๆ” ก็ดังตามมา ทั้งสามคนยืนอยู่กับที่ ราวกับว่าพวกเขามองเห็นศพกลิ้งลงไปตามขั้นบันไดกับตาตัวเอง
เมื่อเสียง “โครม” ดังขึ้นเป็นเสียงสุดท้าย สีหน้าของพวกเขาทั้งสามก็ตึงเครียดถึงขีดสุด
เมื่อกี้นี้ ต้องเป็นเสียงร้องของสมาชิกกลุ่มนิพพานแน่ๆ และที่อีกฝ่ายทำอย่างนี้ ก็เป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายมองว่าพวกเขาทุกคนเป็นเหยื่อล่อ…
อ้ายเฟิงจ้องเข้าไปในความมืดด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม จู่ๆ เขาก็ยกมือขึ้น แล้วกดหว่างคิ้วตัวเอง
“ตอนแรกกะจะให้หมายเลข 0 มีส่วนร่วมก็พอ แต่ตอนนี้ คงจำเป็นจะต้องให้หมายเลข 0 ออกโรงจริงๆ แล้วล่ะ…”
ดวงตาอ้ายเฟิงประกายวูบวาบ เขาเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “คิดว่าเป็นผู้มีพลังจิตแล้วเก่งนักหรือไง? ฉันจะทำให้แกเห็นเองว่าอะไรคือผู้มีพลังจิตที่แท้จริง!”
“หัวหน้า กฎมีอยู่ว่าห้ามให้หมายเลข 0 เข้าร่วมการต่อสู้โดยตรง…” สมาชิกทีมอีกคนหมายจะพูดบางอย่าง แต่กลับถูกสมาชิกทีมที่ทำหน้าที่เหยื่อล่อห้ามไว้ก่อน
“ฉันขอเตือนว่าตอนนี้นายควรหุบปากซะ” เจ้าเหยื่อล่อพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ขณะเดียวกันนั้น ณ ห้องทดลองใต้ดินแห่งหนึ่งของเมืองตงหมิง ในห้องที่เปิดไฟสว่างจ้าทุกดวง จู่ๆ เสียงร้องวอแวแหลมๆ ของเด็กทารกก็ดังขึ้น
เสียงร้องนี้แหลมขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายกลายเป็นเหมือนเสียงกรีดร้อง ที่ดังก้องไปทั่วทั้งห้อง
ส่วนอ้ายเฟิงที่กำลังยืนอยู่ในห้างฯ ขายเฟอร์นิเจอร์แห่งนี้ จู่ๆ ก็เบิกตากว้าง ดวงตาคู่นั้นของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ
เขาหอบหายใจถี่ระรัว และจิกทึ้งหนังศีรษะตัวเองอย่างทรมาน ร่างกายกระตุกสั่นอย่างต่อเนื่อง
ขมับของเขาเต้นตุบตับอย่างรุนแรงเหมือนมีอะไรบางอย่างมุดเข้าไปในสมองเขา และสถานการณ์อย่างนี้ก็ได้ทำให้อีกสองคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจอย่างหนัก
พวกเขาไม่เคยเจอสถานการณ์อย่างนี้มาก่อน
เมื่อกี้ยังพูดเรื่องหมายเลข 0 อยู่เลยไม่ใช่หรอ? จู่ๆ ก็เกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมาล่ะ…
“อุแว๊!”
เสียงตะโกนของอ้ายเฟิง ทำให้สองคนนี้ตกใจอีกครั้ง
เสียงนี้ ทำไมเหมือนเสียงร้องวอแวของเด็กทารกเลยล่ะ…
หลังผ่านไปหลายวินาที ในที่สุดอ้ายเฟิงก็นิ่งลง เขาค่อยๆ ยืดตัวตรง และลืมตาขึ้นช้าๆ
พอถูกสายตาของอ้ายเฟิงจ้อง สองคนนี้ถึงกับตัวสั่นงันงก
ในดวงตาลึกล้ำคู่นั้น เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม แล้วยังมีความสับสนยุ่งเหยิงบางอย่างอยู่ด้วย…
“หัวหน้า?” หนึ่งในสองคนนั้นลองเรียกเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
อ้ายเฟิงเหลือบมองเขา จากนั้นก็บิดคอไปมา แล้วจู่ๆ ก็ฉีกยิ้ม “หึหึ”
และเสียงหัวเราะนี้ ก็ทำให้ทั้งสองคนขนลุกซู่อีกครั้ง
ทำไมหัวหน้าเหมือนกลายเป็นคนละคนไปแล้วล่ะ…
“ออก…มาซะเถอะ…ฉันเห็นแกแล้ว…” ทันใดนั้นอ้ายเฟิงตวัดตามองไปทางหนึ่ง แล้วเขาก็พูดติดๆ ขัดๆ ขึ้นมา
“ลูกไม้อย่างนี้ไม่ได้ผลหรอกมั้ง?” สมาชิกทีมคนหนึ่งอดพูดขึ้นไม่ได้
สมาชิกอีกคนพยักหน้าตาม ลูกไม้ตื้นๆ อย่างนี้จะได้ผลได้อย่างไร…
แต่สิ่งที่ทำให้สองคนนี้ตกตะลึงก็คือ ในมุมมืดนั้น มีเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจริงๆ
จากเลือนรางเสียงฝีเท้านั้นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ขาข้างหนึ่งก้าวออกมาจากด้านหลังตู้ก่อน ตามมาด้วยเงาร่างของใครคนหนึ่ง
อาศัยแสงสว่างอันน้อยนิดที่ส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง สมาชิกทีมทั้งสองคนได้มองเห็นใบหน้าที่ทำให้พวกเขาทั้งเกลียดและกลัวอย่างชัดเจน ในหัวเต็มไปด้วยความคิดที่อยากจะกรีดใบหน้านั้นให้เละคามือ
แต่การตอบสนองแรกของพวกเขากลับเป็น ทำไมถึงเป็นคนนี้ไปได้ล่ะ?!
คนคนนี้ยังหนุ่ม ดวงตาเปล่งประกาย มุมปากกระดกขึ้นเล็กน้อย
และหลังจากที่เดินออกมา เขายังโบกมือทัก ราวกับเจอคนรู้จักข้างทาง “ยินดีที่ได้เจอนะ”
…
ทั้งสองอึ้งค้าง
และหลังจากที่ได้สติกลับคืนมา ในใจของสองคนนี้ก็เต็มไปด้วยคำสบถด่าหยาบคายมากมาย!
“ยินดีกับผีน่ะสิ! ไม่ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยเลยล่ะ!”
“เป็นศัตรูกันแท้ๆ จะมาทำท่าทีสนิทสนมขนาดนี้เพื่อ! ความโกรธที่สะสมเมื่อกี้หายไปในพริบตาเลย!”
อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของเจ้าหนุ่มคนนี้เหนือความคาดหมายของพวกเขาไปมาก พวกเขาสองคนถึงขนาดไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไรดี
“กร๊อบแกร๊บๆ…”
อ้ายเฟิงหันหน้าไปอีกทาง แล้วจ้องมองหนุ่มน้อยคนนี้จากองศาคอแปลกๆ เขาอ้าปากพูดอย่างยากลำบาก “ฉัน…รู้จัก…”
“ขอแนะนำตัวหน่อยละกัน หลิงม่อ”
หลิงม่อมองอ้ายเฟิงอย่างสนอกสนใจ แล้วบอกว่า “แต่ฉันควรเรียกนายว่าอ้ายเฟิง หรือหมายเลข 0 ดีล่ะ?”
—————————————————————————–