แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 659
บทที่ 659 อุปกรณ์วางเพลิงต้องพกติดตัวไว้
โดย
Ink Stone_Fantasy
และในตอนนั้นเอง เสียงของมู่เฉินก็ดังมาจากนอกห้อง ฟังจากเสียงแล้วเหมือนเขาจะหาอะไรบางอย่างเจอ
หลังจากเห็นพวกเย่เลี่ยนไปช่วย หลิงม่อก็ก้มหน้ากลับมาอ่านสมุดเล่มนั้นใหม่อีกครั้งอย่างละเอียด
ดูจากวันที่ที่ถูกทำเครื่องหมายไว้ ร่องรอยที่เก่าที่สุดคือครึ่งปีก่อน
ในตอนนั้นหลิงม่อมีความเข้าใจเกี่ยวกับพลังจิตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่รายละเอียดที่เขียนถึงพลังจิตในบันทึกเล่มนี้กลับมีทฤษฎีที่เป็นระบบแล้ว
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของหลิงม่อมากที่สุดก็คือ ตัวอักษรเหล่านี้ล้วนถูกเขียนขึ้นโดยคนคนเดียว…
ไหนว่าการริเริ่มวิจัยหมายเลข 0 เริ่มจากคนเป็นกลุ่มไง?
แต่ไม่ว่ามีคนเข้าร่วมมากน้อยเท่าไหร่ ยิ่งอ่านหลิงม่อยิ่งรู้สึกชัดเจนขึ้นเรื่อย บุคคลสำคัญของเรื่องนี้ จะต้องเป็นเจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้อย่างแน่นอน
นอกเหนือจากการวิจัยเกี่ยวกับพลังจิต คนคนนี้ยังมักเขียนหมายเหตุที่ดูบ้าคลั่งมากอีกด้วย
“ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตไม่ใช่แค่สมองที่กลายพันธุ์ คนธรรมดาแม้ไม่อาจกลายเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ แต่หากนำพลังจิตของคนจำนวนมากมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว จะสู้ผู้มีความสามารถพิเศษไม่ได้เชียวหรือ? เรื่องนี้ควรค่าแก่การทดลองซักครั้ง”
หลิงม่ออ่านไปเพียงหนึ่งท่อน ในใจก็รู้แล้วว่าหมายเลข 0 ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร
เพียงคำว่า “ควรค่าแก่การทดลองซักครั้ง” นึกไม่ถึงว่าจะทำการทดลองนี้ขึ้นมาจริงๆ
ในกลุ่มนิพพาน คนคนนี้น่าจะมีตำแหน่งและชื่อเสียงในระดับหนึ่ง ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่มีอำนาจในการดำเนินการอย่างนี้
“ถึงแม้จะรวบรวมเป็นหนึ่งเดียวกันสำเร็จแล้ว แต่คนส่วนมากกลับสู้คนเพียงหนึ่งคนไม่ได้ ทำไมกัน? หากสามารถสกัดพลังจิตให้กลายเป็นพลังงานบริสุทธิ์ได้ แล้วจากนั้นก็ใส่พลังงานนั้นลงไปในสมองของคนคนหนึ่ง จะสามารถให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่าหมายเลข 0 หรือไม่?”
“พลังจิตก็เป็นเหมือนพลังแห่งความมุ่งมั่นอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้เลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ขนาดนั้น สิ่งที่ไม่เหมือนกับผู้มีความสามารถพิเศษด้านอื่นก็คือ พวกเขาควบคุมร่างกายของตัวเอง แต่ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตควบคุมความคิดของตัวเอง ถ้าอย่างนั้นหากฝึกฝนความคิดของตัวเองไปด้วย ในระหว่างที่อัพเกรดระดับพลังจิตของตัวเองล่ะ? ทำอย่างนี้จะอัพเกรดได้เร็วขึ้นหรือเปล่า? วิธีการอัพเกรด…”
ลายมือหวัดๆ เขียนลงมาจนถึงข้างล่างสุด หลิงม่อจึงพลิกอ่านหน้าต่อไป
แต่สิ่งที่ขัดใจเขาคือ ส่วนบนของหน้าที่สองถูกเผาจนเป็นรอยสีเหลืองหมด อย่าว่าแต่จะอ่านตัวหนังสือที่เขียนไว้ในนี้เลย แค่เอามือลูบเบาๆ มันก็คงแตกเป็นผุยผงแล้ว
“ตกลงต้องอัพเกรดยังไงกันแน่?” หลิงม่อขมวดคิ้วครุ่นคิด
ถูกต้อง เขาให้ความสำคัญกับเรื่องการอัพเกรดระดับพลังจิตมาโดยตลอด แต่กลับไม่เคยใส่ใจเรื่องฝึกฝนความคิดเลย
ในขณะที่ใช้พลังจิต การควบคุมพลังงานทางจิตนั้น หลักๆ แล้วต้องอาศัยการเพ่งสมาธิอย่างสูงและการตอบสนองทางจิตอย่างรวดเร็ว และในการตอบสนองนี้ ก็หมายรวมถึงความคิดด้วยเช่นกัน
แต่ต้องฝึกฝนความคิดอย่างไรกันแน่ เรื่องนี้หลิงม่อยังนึกไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
วิธีที่ใช้กันโดยทั่วไปไม่น่าจะได้ผล แต่ในสมุดบันทึกกลับพูดถึงเรื่องนี้เพียงเท่านี้
หลิงม่อยังคงพลิกหน้ากระดาษอีกหลายหน้าอย่างคาดหวัง แต่กลับรู้สึกว่าเหมือนคนเขียนบันทึกไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก จนไม่ได้พูดถึงมันอีก
ทว่าคนที่สามารถสร้างหมายเลข 0 ขึ้นมาได้ จากความคิดที่แค่คิดเล่นๆ อย่างนี้ หลิงม่อรู้สึกสนใจในตัวเขาคนนี้ขึ้นมาทันที
ทฤษฎีและความรู้มาเต็ม ขณะเดียวกันคนคนนี้ยังมีความสามารถในการทำความคิดน่ากลัวเหล่านั้นให้เป็นจริงขึ้นมาได้ ถือได้ว่าเป็นบุคคลอันตรายในกลุ่มนิพพาน
และหากดูจากด้านนี้ คนคนนี้จะต้องมีบทบาทสำคัญในกลุ่มนักทดลองของนิพพานสำนักงานใหญ่อย่างแน่นอน…
น่าเสียดายที่หลังจากพลิกหน้ากระดาษดูหนึ่งรอบ เขากลับไม่เห็นชื่อเจ้าของสมุดบันทึกแต่อย่างใด หลิงม่อจึงทำได้เพียงปิดสมุดบันทึกอย่างนึกเสียดาย
“หัวหน้าทีม”
เสียงตะโกนเรียกของมู่เฉินดังมาจากนอกห้อง หลิงม่อขานรับ พลางยัดสมุดบันทึกเล่มนี้ใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง
“ฉันเจออาหารกระป๋องแล้วก็น้ำขวดเยอะเลย แล้วยังมีกระสุนอีกจำนวนหนึ่ง เอาให้แฟนสาวของนายคนนั้นหมดแล้ว” มู่เฉินเปิดประตู แล้วบอกเขา
เขาอดเหลือบมองไปทางตู้อบนั้นไม่ได้ พอเห็นก็ทำหน้าผวา แล้วจากนั้นก็มองหน้าหลิงม่ออย่างสงสัย
“ฉันขอดูขวดพวกนี้หน่อย” หลิงม่อยื่นมือออกไปคว้าขวดยาขวดหนึ่งมาโดยไม่บอกไม่กล่าว แล้วพูดขึ้น
“อ้อ ในนั้นมีของจำนวนมากที่เจ้าหน้าที่ห้องทดลองทิ้งไว้” มู่เฉินบอก
หลิงม่อทำหน้าตกตะลึง แล้วรีบเปิดขวดยาเพื่อดมกลิ่นของมัน
ขวดเหล่านี้มีกลิ่นประหลาดของยาติดอยู่ ทว่ามีอยู่สองขวดที่หลิงม่อได้กลิ่นอันคุ้นเคยดีจากมัน
เชื้อไวรัส!
อีกอย่าง มันยังเป็นสิ่งที่ได้จากการเจือจางเชื้อไวรัสซอมบี้แล้วด้วย…
ดูเหมือนว่านิพพานก็ใช้วิธีเจือจางเชื้อไวรัส แล้วนำมันมาเพิ่มความแกร่งให้ร่างกายมนุษย์เหมือนกัน แต่เดาว่าเชื้อไวรัสเหล่านี้ คงจะมีไว้เพื่อฉีดเข้าร่างภาชนะของหมายเลข 0
ถึงอย่างไรพลังจิตของเด็กทารกคนหนึ่งก็มีจำกัด ถึงแม้สามารถจำกัดขอบเขตให้หมายเลข 0 ได้ แต่ก็กักขังพลังของหมายเลข 0 ไว้ด้วยเช่นกัน
แต่หากมียาประเภทนี้ เรื่องก็จะต่างออกไป…
มันสามารถกระตุ้นความสามารถที่แอบแฝงอยู่ในร่างกายเล็กๆ นี้ให้แสดงออกมาจนถึงที่สุด ผ่านการใช้ยากระตุ้นมันอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้อาจสามารถทำให้ศักยภาพร่างกายเปลี่ยนไปทีละนิดๆ ได้ด้วย
ทว่าตอนนี้ร่างนั้นได้กลายเป็นศพไปแล้ว ดังนั้นหลิงม่อจึงไม่อาจรู้ได้ว่ามันมีหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลง และหากมี การเปลี่ยนแปลงนั้นได้ดำเนินไปจนถึงระดับไหนแล้ว
ตอนนี้ ยาประเภทนี้ไม่ได้ใช้อีกแล้ว แต่มันกลับมีประโยชน์กับสวี่ซูหานพอดี มันจึงถูกหลิงม่อยัดใส่กระเป๋าเป้ทันที
ภาพนั้นถูกมู่เฉินเห็นเข้าแล้ว เขาอดพึมพำในใจไม่ได้ : หลิงม่อจะเอาของอย่างนี้ไปทำอะไรน่ะ?
พอเห็นว่าในห้องทดลองไม่มีอะไรให้หยิบอีก หลิงม่อก็ยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณว่าให้ไปได้แล้ว
ก่อนจะออกจากอาคาร หลิงม่อได้ล้วงขวดเล็กๆ ขวดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ สาดของเหลวในขวดใส่ประตูไม้หลายๆ บาน จากนั้นก็ทิ้งไม่ขีดไฟที่จุดแล้วตามลงไป
พรึ่บ!
ประกายไฟลุกพรึ่บ เปลวเพลิงได้ลุกลามประตูไม้แห้งๆ เหล่านี้จนกลายเป็นเหมือนกำแพงไฟในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
แสงสว่างจากเปลวเพลิงส่องวูบวาบอยู่บนใบหน้า สีหน้าของมู่เฉินดูสับสนขึ้นมาชั่วขณะ
เปลวเพลิงนี้ เหมือนกำลังเผาอดีตที่ผ่านมาของเขาให้ไหม้หายไปจนหมด…
“แต่ว่า ไม่คิดเลยว่านายจะพกอุปกรณ์วางเพลิงติดตัวไว้ด้วย…” มู่เฉินแอบขนลุกเล็กๆ
พวกเย่เลี่ยนเองก็จ้องเปลวเพลิงนั่นอยู่เหมือนกัน แต่กลับไม่รู้เลยว่าพวกเธอคิดอะไรอยู่
แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่า ความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองของพวกเธอในตอนนี้ ไม่เหมือนความคิดของมู่เฉินอย่างแน่นอน
สายตาของเย่เลี่ยนดูเหม่อลอย เธอรู้สึกได้เลือนรางว่าภาพที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกตาวูบผ่านเขามาในสมองของเธอ
ภาพนั้นมีเปลวไฟเหมือนกัน แต่สถานที่ที่ตัวเธออยู่กลับเป็นห้องเล็กแคบห้องหนึ่ง ในมือของเธอยังถือช้อนคนน้ำซุป และกำลังค่อยๆ คนน้ำซุปอยู่
“เด็กโง่ ฉันจะหิวตายอยู่แล้ว” เสียงคุ้นเคยดังลอดเข้ามาจากข้างนอก
“จะเสร็จแล้ว ทนอีกนิดนะ พี่เนี่ยนะ ใครบอกให้ลืมทำกับข้าวกันล่ะ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปอาจหิวตายจริงๆ ได้เลยนะ…”
เสียงตำหนิเบาลงเรื่อยๆ และฟังดูเลือนรางมากขึ้น
“เด็กโง่?”
จู่ๆ เสียงที่ชัดเจนกว่าก็ดังอยู่ข้างหู เย่เลี่ยนม่านตาหดตัว พลันหันสายตาไปมองทางหลิงม่อ
หลิงม่อมองเย่เลี่ยนอย่างสงสัยเล็กน้อย แล้วถาม “เป็นอะไรไป?”
เย่เลี่ยนเบิกตากว้างมองหน้าหลิงม่อ จากนั้นก็ส่ายหน้าเบาๆ แต่กลับไม่พูดอะไร
“เอาล่ะอย่าดูอีกเลย รีบไปเถอะ ก่อนจะไปสำนักงานใหญ่ ต้องไปชุ่ยหูอีกนะ” หลิงม่อบอก
“ที่แท้นายก็ยังไม่ลืมชุ่ยหู…” มู่เฉินพูดอย่างผิดหวัง
ทว่าเห็นได้ชัดว่าความคิดเห็นของเขาถูกเมินอีกครั้ง เพราะไม่มีการตอบสนองใดๆ ตอบกลับมาเลย…
เมื่อพวกหลิงม่อหมุนกายเดินจาไป ตึกโรงพยาบาลสภาพเก่าทรุดโทรมแห่งนี้ก็ถูกทะเลเพลิงกลืนกินอย่างรวดเร็ว และเมืองตงหมิงแห่งนี้ก็ได้กลายสภาพเป็นเหมือนเมืองร้างไปในพริบตา…
พวกหลิงม่อเพิ่งจะไปจากเมืองตงหมิงได้ไม่นาน ในเวลาต่อมาก็ได้มีรถออฟโรดคันหนึ่งขับเข้ามาในเมืองแห่งนี้
ก่อนจะถึงด่านเก็บค่าผ่านทาง รถคันนั้นหักเลี้ยวอย่างแรง จากนั้นก็เหยียบเบรกดังเอี๊ยด แล้วจอดรถไว้ข้างซากรถยนต์มากมายเหล่านั้น
เมื่อประตูรถเปิด ก็มีเท้าคู่หนึ่งซึ่งสวมรองเท้าผ้าใบกันลื่นสีขาวก้าวลงมาจากรถ ต่อมาก็ปรากฏเงาร่างของใครคนหนึ่งที่ค่อนข้างผอมบาง
เธอยกปีกหมวกแก๊ปขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปยุดตรงหน้ากองเลือดที่ยังถือว่าสดใหม่อยู่ แล้วนั่งลงไปเอามือลูบๆ ดู
“เป็นไงบ้าง?”
มีใครอีกคนยื่นหน้าออกมาจากรถ แล้วถามขึ้น
“จากกลิ่น ไม่น่าจะเกินสองวัน” เธอตอบ
“สัมผัสรู้ต่อได้อีกไหม?” คนในรถถามอีกครั้ง
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีซอมบี้โผล่ขึ้นมาด้านหลังซากรถคันหนึ่ง มันกระโดดขึ้นสูง แล้วพุ่งเข้าใส่ผู้หญิงคนนั้นจากกลางอากาศ
แต่เด็กสาวสีหน้าคงเดิม นึกไม่ถึงว่าร่างกายเธอโฉบไหวเพียงครั้งเดียว ก็พุ่งเข้าไปปะทะหน้ากับซอมบี้ตัวนั้นแล้ว ประกายของมีคมในมือส่องวาบ ทันใดนั้น หยาดเลือดมากมายพุ่งกระฉูดออกจากหน้าอกของซอมบี้ที่ยังคงลอยตัวอยู่กลางอากาศ
“พลั่ก!”
ซอมบี้ตัวนั้นร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง แต่แขนของมันยังคงยื่นไปทางเด็กสาวอย่างไม่ลดละ
แต่เด็กสาวเหมือนได้เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว เธอไม่เพียงกระโดดขึ้นสูง แต่ยังทิ้งตัวลงบนแผ่นหลังของซอมบี้ตัวนี้ แขนถูกง้างขึ้นสูง เสี้ยววินาทีถัดมามีดได้ปักลงบนต้นคอของซอมบี้ที่กำลังดิ้นขัดขืนอยู่
คนในรถยื่นมืออกมาปรบมือให้เธอ “ฝีมือพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ”
เด็กสาวกลับยังคงสีหน้าไร้อารมณ์ เธอพลิกมือเก็บมีดไว้ที่เอวเหมือนเดิม แล้วเดินไปทางรถออฟโรด “ไปเถอะ ไปตามหากันต่อ”
“เฮ้อ ยุ่งยากจริงๆ เลย…” ชายหนุ่มพูดขึ้น
“ไม่ต้องพูดมาก รีบไปเถอะ” เด็กสาวพูดขึ้นอย่างเอือมระอา
เมื่อรถออฟโรดเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นภายใต้หมวกแก๊ปของเด็กสาวกลับจับจ้องไปที่เลือดกองนั้น
หลิงม่อ เคยปรากฏตัวที่นี่มาก่อน…
—————————————————————————–