แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 733
บทที่ 733 เพื่อนร่วมทีมที่เก่งราวเทพเซียน
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิงม่อดวงตาเป็นประกาย!
ความน่าเชื่อถือของเหยื่อพิเศษชนิดนี้ไม่ต้องสงสัยกันเลย สิ่งที่ต้องพิจารณามีเพียงสองเรื่อง หนึ่งคือมันสามารถใช้ได้กี่ครั้ง สองคือมันมีผลในระยะพื้นที่เท่าใด!
ถ้าหากเป็นไปได้ หลิงม่ออยากได้วิธีการสร้างเหยื่อล่ออย่างนี้ได้เองด้วย ไม่เข้าใจหลักการก็ไม่เป็นไร ขอเพียงทำตามขั้นตอนจนเสร็จก็พอ…
พรึ่บ!
เผลอไปแวบเดียว เอกสารภารกิจแผ่นนี้ก็หลุดออกจากหนวดสัมผัสทันที
ตอนแรก เจ้าหน้าที่วิจัยคนนั้นกำลังจ้องกล้องจุลทรรศน์อย่างใจจดใจจ่อ พลางก้มลงจดบันทึกไปด้วย แต่พอได้ยินเสียงเบาๆ นี้ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ
เธอมองซ้ายมองขวา แล้วตวัดสายตามองไปทางแท่นพาเลททันที
หลิงม่อมองเธอเดินเข้ามาผ่านสายตาของหุ่นซอมบี้อย่างใจเย็น ขณะเดียวกันก็ควบคุมให้เจ้าแมงกะพรุนหดตัวกลับเข้าไปในเงามืดช้าๆ
ความจริงเขาไม่ได้กลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นอะไร ถึงแม้เอกสารรายงานพวกนี้จะถูกทำให้ดูไม่เป็นระเบียบเล็กน้อย แต่หากมันยังไม่ถึงขั้นที่ทำให้เธอรู้สึกสะดุดตา เธอก็จะไม่มีทางรู้ว่าเมื่อกี้มีคนแอบอ่านเอกสารเหล่านี้ใต้เปลือกตาตัวเองแน่นอน เรื่องที่ไม่มีแนวความคิดก็เท่ากับสิ่งที่เราไม่มีวันรู้ หากเธอไม่รู้วิธีและกลอุบายเหล่านี้ของหลิงม่อ และไม่มีประสบการณ์ทำนองเดียวกัน เธอก็จะกลายเป็นเหมือนคนตาบอด ที่มองไม่เห็นความจริงเลย…
เหมือนการควบคุมหุ่นซอมบี้ แนวความคิดที่ทุกคนมีต่อซอมบี้คือความบ้าคลั่ง โหดร้าย และศัตรูตัวฉกาจของมนุษย์ เมื่อมีภาพจำที่ฝังรากลึกอย่างนี้แล้ว ก็ยากที่จะมีใครคาดคิดได้ว่ามนุษย์จะอยู่ร่วมกับซอมบี้ เพราะนั่นมันแหกกฎแนวความคิดเดิม แม้แต่สวี่ซูหานที่ถึงจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเย่เลี่ยนแล้ว แต่เนื่องจากไม่มีร่องรอยที่พวกเย่เลี่ยนถูกควบคุมปรากฏให้เห็น เธอจึงไม่เคยคิดมาถึงด้านนี้เลย
แน่นอนที่เธอเข้าใจผิดอย่างนี้ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับตำแหน่งของหลิงม่อในสายตาเธอด้วย : ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต
แนวความคิดโดยรวมถือว่าไม่ผิด แต่ถ้าหากจำแนกอย่างละเอียด ความจริงหลิงม่อมีพลังประเภทควบคุมต่างหาก…
ดังนั้นถึงแม้จะสังเกตเห็นเงื่อนงำหรือข้อมูลไม่น้อยแล้ว แต่ถ้าหากทิศทางความคิดในตอนแรกผิดพลาด ผลที่ได้ก็จะห่างไกลจากความจริงไปมาก และหลิงม่อก็ยึดหลักจิตวิทยานี้มาใช้เสมอ ตอนนี้ที่เขาสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมกับเจ้าหน้าที่วิจัยหญิงคนนี้ได้ ก็เพราะหลักการเดียวกันนี้
เจ้าหน้าที่วิจัยหญิงหยุดเดินอยู่ตรงหน้าแท่นพาเลท แล้วขมวดคิ้วหยิบเอกสารแผ่นบนสุดขึ้นมา
จากสายตาของเธอเดาได้ไม่ยากว่าเธอกำลังสงสัยอยู่
“วันนี้มันอะไรกันเนี่ย?” ประตูไม่ได้ปิด จู่ๆ แฟ้มเอกสารบนชั้นวางก็ตก แล้วยังมีเสียงที่ดังมาจากทางแท่นพาเลทนี้อีก เธอไม่ได้คิดว่ามีใครมาหยิบจับ แต่เสียงนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกันล่ะ…เจ้าหน้าที่วิจัยหญิงละสายตาออกไป จากนั้นก็มองไปรอบๆ เธอยื่นมือไปใต้โต๊ะวางเครื่องมือแล้วดึงลิ้นชักออก กรรไกรเล่มหนึ่งถูกหยิบขึ้นพร้อมกับสายตาที่ฉายแววเยือกเย็นของเธอ
พอเห็นท่าทางระมัดระวังตัวของเธอ หลิงม่อก็แอบผิดคาดเล็กน้อย
สมกับที่เป็นคนของสำนักงานใหญ่ เธอมีความระมัดระวังมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก…
ทว่าถึงอย่างไรเธอก็ไม่รู้ว่ามีพลังควบคุมอยู่ ระวังตัวไปก็เปล่าประโยชน์ เธอไม่มีทางรู้หรอกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังตอนนี้กำลังจ้องเธออย่างองอาจ…
“เอ๋? มุ่งมั่นเหมือนกันนะเนี่ย…”
หลิงม่อครุ่นคิด แล้วจู่ๆ เขาก็เลื่อนสายตามองไปที่ด้านหลังเจ้าหน้าที่วิจัยหญิง
แป๊ก!
ทันใดนั้น ห้องทั้งห้องก็มืดลง หลังจากที่โคมไฟที่เป็นแหล่งไฟเพียงหนึ่งเดียวดับลง ห้องที่แขวนผ้าม่านทึบแสงไว้แห่งนี้ก็มืดสนิททันที
ทว่าหลิงม่อที่ซ่อนตัวอยู่ในสมองของหุ่นซอมบี้กลับมองเห็นสถานการณ์ในห้องผ่านสายตาของซอมบี้ได้อย่างชัดเจน ฉวยโอกาสตอนที่หญิงสาวถอยกรูดไปชิดกำแพงด้วยความตกใจ หลิงม่อรีบใช้หนวดสัมผัสและดวงตาของซอมบี้กวาดมองบนชั้นวางทันที วิธีการควานหาของเขาคือดึงแฟ้มเอกสารแต่ละอันออกมาเล็กน้อย แล้วให้เจ้าหุ่นซอมบี้ยืนยันหัวข้อวิจัยที่เขียนติดไว้บนนั้น
โชคดีที่นิพพานจัดระเบียบและแยกแยะเอกสารไว้อย่างเป็นระเบียบ แฟ้มเอกสารทุกแฟ้มมีเครื่องหมายชัดเจน อ่านแวบแรกก็พอจะเข้าใจเนื้อหาคร่าวๆ ในนั้นแล้ว
“เป็นครั้งแรกที่อยากจะยกนิ้วให้ความเข้มงวดของนิพพาน ไม่สิ ยกนิ้วให้สามสิบสองครั้งเลย…”
หลิงม่อกวาดอ่านอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็สังเกตเจ้าหน้าที่วิจัยหญิงที่กำลังตื่นตระหนกไปด้วย
แต่สมกับเป็นนักวิจัยหญิงใจกล้าที่ใช้เครื่องซ็อตและขวานเป็น ถึงแม้เธอจะตื่นตระหนกและหวาดกลัวมาก แต่เธอกลับถือกรรไกรไว้แน่น และเดินลูบคลำไปทางโคมไฟช้าๆ
และในระหว่างนี้ เธอยังสามารถเดินไปโดยไม่ส่งเสียงออกมาซักแอะได้ด้วย
“ถ้าเป็นสวี่ซูหาน คงจะนั่งมุดหน้ากับเข่าแล้วกรี๊ดเสียงแหลมอยู่ในมุมห้องไปแล้ว…” หลิงม่อคิดอย่างขนลุก
หลิงม่อเดาว่าสายตาของเจ้าหน้าที่วิจัยหญิงคนนี้คงใกล้จะชินกับความมืดแล้ว หนวดสัมผัสของเขาชะงัก แล้วกดเปิดสวิตช์ดัง “แป๊ก” อีกครั้ง
มือของเจ้าหน้าที่หญิงเพิ่งจะยื่นไปทางโคมไฟ แต่ไม่คิดว่าเธอยังไม่ทันกด แสงไฟก็สว่างวาบขึ้นมาทันที
ครั้งนี้เธอไม่เพียงตกใจมาก แต่ถูกแสงไฟสาดกระทบดวงตาตรงๆ ด้วย
เธอถอยกรูดอย่างหวาดกลัว จนกระแทกชนเข้ากับโต๊ะด้านหลังดัง “โครม” หลิงม่อจึงรีบปิดไฟอีกครั้งอย่างไม่รีรอ
ฉวยโอกาสนี้ หลิงม่อรีบดึงแฟ้มเอกสารทั้งหมดข้างหลังออกมากวาดอ่านดูอย่างรวดเร็ว
“ฮั่ก…ฮั่ก…”
เจ้าหน้าที่วิจัยหญิงดูหวาดกลัวมาก ตอนนี้เธอมองเห็นเพียงดวงตาสีแดงก่ำหลายคู่กำลังจ้องมาทางตัวเอง
ทว่าไม่นานเธอก็ใจเย็นลง แล้วยื่นมือไปทางโคมไฟอีกครั้ง
แป๊ก…
แสงสว่างปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่บรรยากาศในห้อง กลับเงียบกริบ…
“เอ่อ…”
หญิงสาวอึ้งไปเล็กน้อย แต่หลังจากมองซ้ายมองขวา ก็พบว่าทั้งหน้าต่างและประตูต่างก็ถูกลงกลอนไว้อย่างดีแล้ว
“ไฟตกหรอ?” สุดท้ายเธอก็เลื่อนสายตาไปมองโคมไฟบนโต๊ะ
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เสียง “เกร๊ง” ก็ดังขึ้น ทำให้เธอสะดุ้งตกใจตามสัญชาตญาณอีกครั้ง
เธอหันขวับไปมองทางกรงขังอย่างสะพรึงกลัว
ซอมบี้สภาพสะบักสะบอมตัวหนึ่งกำลังจ้องเธอด้วยสายตาน่ากลัว หัวของมันแนบติดอยู่กับกรงขัง
“ฮู่ว…” เจ้าหน้าที่วิจัยหญิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น
เจ้าสัตว์ประหลาดนี่…จู่ๆ ก็มาทำให้เธอตกใจ…
แต่สิ่งที่เธอไม่ได้สังเกตคือ ด้านหลังเธอ ประตูห้องบานนั้นกำลังถูกเปิดออกอย่างเงียบๆ อีกครั้ง…
“แค่ห้องวิจัยห้องเดียว ก็ได้ข้อมูลมาเยอะขนาดนี้แล้ว!” ในอาคารหอพัก หลิงม่อกำลังยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก พร้อมกับเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
ถึงแม้ตอนหลังเขาจะหาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเหยื่อล่อพิเศษนั้นไม่เจอ แต่อย่างน้อยการได้ล่วงรู้เรื่องนี้ก่อน ก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับหลิงม่อ
“คิดถูกจริงๆ ที่มานิพพานสำนักงานใหญ่ แต่ไม่รู้ว่าร่างแม่ตัวนั้นอยู่ที่ไหน แล้วยังมีเจ้าของสมุดโน้ตเล่มนั้นอีก…”
ถึงอย่างไรก็เป็นตึกใหญ่ตึกหนึ่ง หลิงม่อเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะหาข้อมูลได้ครบภายในหนึ่งชั่วโมงนี้ แต่ในสองสามวันต่อจากนี้ เขาจะต้องพลิกแผ่นดินหาข้อมูลของกลุ่มวิจัยมาให้หมด
สำหรับหลิงม่อ ตัวทดลองเหล่านั้นที่กลุ่มวิจัยจับมาถือเป็น “ไส้ศึก” ที่ดีที่สุด และเป็นเหตุผลที่ทำให้หลิงม่อมั่นใจในการแฝงตัวเข้ามา!
ก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อสิ่งที่กลุ่มวิจัยไม่ขาดแคลนก็คือ ซอมบี้…
“พะ…พี่หลิง” เสียงของมู่เฉินดังเข้ามาจากนอกห้อง
เมื่อกี้หลิงม่อใช้พลังจิตไปมาก เขาจึงเตรียมตัวจะพักผ่อนอยู่พอดี พอได้ยินเสียงเรียกเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเปิดประตู
“ฉันจะถามว่า…เอ๋ สีหน้านายดูไม่ค่อยดีเลยนะ” ตอนแรกสีหน้าของมู่เฉินเหมือนคนที่อดทนไม่ไหวแล้ว แต่ปรากฏว่าพอเห็นหลิงม่อเขาก็นิ่งไป
เขายังกังวลว่าหลิงม่อจะหาทางไม่ได้ กำลังคิดว่าจะบอกให้หลิงม่อเลิกหาทางเอง แล้วลองออกไปเดินสำรวจกับเขาดีไหม แต่ไม่คิดว่าจะเห็นหลิงม่อในสภาพนี้ เขาคุ้นเคยกับสีหน้าอย่างนี้ของหลิงม่อดี หลังจากที่ใช้พลังจิตเจ้าหมอนี่จะมีสภาพอย่างนี้ทุกครั้ง เส้นเลือดในดวงตาเขาจะแดงขึ้น เหมือนคนที่อดหลับมาครึ่งคืน
“นายพูดเข้าประเด็นเลยเถอะ” หลิงม่อนวดขมับ พลางยืนพิงกำแพงแล้วพูดขึ้น
มู่เฉินกลืนน้ำลาย กระพริบตาปริบๆ แล้วถามว่า “นายคงไม่ได้…เริ่ม…ไปแล้วหรอกนะ?”
ความจริงมันเป็นคำถามที่โง่มาก หลิงม่อเป็นถึงขนาดนี้แล้ว คงไม่ใช่เพราะเขากำลังลองทำอะไรที่ก้ำกึ่งอยู่แน่นอน เรื่องนี้มู่เฉินก็พอจะรู้อยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์ที่รู้คำตอบดีอยู่แล้วอย่างนี้ เขาก็ยังคงอดถามออกมาไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้จะเชื่อเลยทั้งที่ไม่ได้ถามได้อย่างไร…
“ก็ใช่น่ะสิ” หลิงม่อพยักหน้า
“…” มู่เฉินเบิกตากว้างจ้องหลิงม่อ เรื่องที่ยากขนาดนี้เขากลับสามารถทำสำเร็จได้โดยที่ไม่ก้าวเท้าออกนอกห้องเลยได้อย่างไร แล้วยังมาทำหน้าของมันแน่อยู่แล้วอย่างนั้นอีก! น้ำเสียงเรียบๆ อย่างนี้มันหมายความว่าไงกัน ถ่อมตัวหน่อยจะตายไหม หา!
“โรคจิตขนานแท้…” มู่เฉินยังคงจ้องหน้าหลิงม่ออย่างไม่ละสายตา
จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าการดูลาดเลาของตัวเองไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ความจริงแล้วเขากำลังเฝ้าดูว่าเมื่อไหร่หลิงม่อจะกระโดดลงจากห้องพักซักที…
ถ้าจะเงียบกริบขนาดนี้แล้วเขาจะดูลาดเลาไปเพื่ออะไร! ที่แท้เขาก็เป็นได้แค่โล่กันธนูเท่านั้นสินะ
มู่เฉินพูดไม่ออก เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพราะเขาไม่ได้เรื่อง แต่เป็นเพราะเขามีเพื่อนร่วมทีมที่เก่งราวเทพเซียนต่างหาก
แต่สำหรับเขา หลิงม่อเป็นเหมือนเทพแห่งหายนะมากกว่า!
“นายยังไม่กลับไปอีก?” หลิงม่อทำทีเป็นเห็นใจ “ไม่แน่อีกเดี๋ยวนายอาจถูกตามไปแสดงละครฉากสองก็ได้นะ ถ้าหากผู้บริหารระดับสูงของนิพพานร้ายกาจมาก นายอาจต้องแสดงละครฉากสามฉากสี่ด้วยก็ได้ ยิ่งพูดหลายรอบ ความน่าเชื่อถือก็ยิ่งเพิ่มขึ้นนี่นะ โดยเฉพาะในตอนที่นายกำลังเหน็ดเหนื่อยสุดขีดอย่างนี้”
“นี่! ลงเรือลำเดียวกันแล้วแท้ๆ นายไม่เห็นต้องมาชอบใจกับความทุกข์ของฉันเลยนะ!” มู่เฉินโวยวาย “ถึงยังไงเรื่องที่ฉันเล่าก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด”
เขาพูดเกินจริงไปเล็กน้อย สิ่งที่เขาเล่าถือเป็น “เรื่องจริงส่วนมาก” ถึงจะให้ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตมาตรวจจับว่าเขาโกหกหรือไม่ ก็ยากจะถูกจับได้ อะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด เรื่องพวกนี้พวกเขาได้ถกเถียงกันอย่างละเอียดระหว่างทางที่มาเมืองเฮยสุ่ยแล้ว
ถึงแม้สำนักงานใหญ่จะนึกสงสัยอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ต้องเดินทางไปยืนยันถึงเมืองตงหมิง ดังนั้นทั้งสองจึงไม่จำเป็นต้องกลัว
“อ้อ ใช่สิ นายบอกฉันได้ไหมว่า…นายทำได้ยังไง?” ครั้งนี้มู่เฉินไม่หลงกลตกลงไปในหลุมที่หลิงม่อขุดไว้ ไม่นานเขาก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้าตัวเองกำลังสงสัยเรื่องอะไรอยู่ จึงรีบดึงเรื่องกลับมาที่หัวข้อเดิม
“บอกไม่ได้” หลิงม่อให้คำตอบเขาภายในหนึ่งวินาที
“นายคิดดูอีกทีเถอะ อย่างไรเราก็ลงเรื่อลำเดีย…”
“ปัง!”
มู่เฉินจ้องบานประตูที่ปิดใส่หน้าเขาอย่างหงุดหงิด
“เชี่ย!” หลังจากสบถอย่างอารมณ์เสีย เขาก็สะบัดหน้าเดินจากไป
ทว่าขณะเดียวกับที่เขาหมุนตัวเดินออกไป ในใจกลับอดคิดไม่ได้ว่า เจ้าหลิงม่อนี่ร้ายกาจมากจริงๆ…
เดิมทีเขาไม่ค่อยเห็นด้วยกับภารกิจในครั้งนี้ แต่ตอนนี้จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่า ไม่แน่พวกเขาอาจทำสำเร็จจริงๆ ก็ได้…
“ซอมบี้…สามารถรักษาความเป็นคนไว้ได้จริงๆ หรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าเรียกว่าซอมบี้แล้วสิ? เรียกว่าอะไรดีล่ะ…”
—————————————————————————