แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 749
บทที่ 749 คุณทำฉันซวย!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพราะเป็นถึงหัวใจสำคัญของนิพพานสำนักงานใหญ่ บรรยากาศในนี้จึงเต็มไปด้วยกลิ่นอายประหลาดทุกซอกทุกมุม
ตอนแรก หลิงม่อนึกว่าห้องแยกเหล่านั้นมีไว้เพื่อเก็บกองเอกสาร หรือไม่ก็มีไว้เพื่อทำงาน แต่พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เขากลับพบว่ากำแพงด้านในทุกฝั่งถูกขีดเขียนข้อมูลเอาไว้มากมาย
ทั้งรูปภาพมากมาย และตัวหนังสืออธิบายประกอบอันแน่นขนัด หลิงม่อถึงขั้นเห็นศพของซอมบี้ที่ยังสดใหม่อยู่ในห้องห้องหนึ่ง โดยที่ยังมีมีดผ่าตัดเสียบคาอยู่บริเวณลำคอ
สิ่งที่สะดุดตามากที่สุด คือกระดาษเลอะคราบเลือดที่ถูกมีดผ่าตัดปักติดไว้ “หมายเหตุ : ยังไม่เสร็จรอผ่าตัดต่อ”
หลิงม่อมุมปากกระตุก นี่มันไม่เหมือนการเขียนเอกสารที่จะวางปากกาลงบนกระดาษเมื่อยังเขียนไม่เสร็จนะ!
“เขาชื่อแจ็คหรอ?” หลิงม่ออดถามไม่ได้
หลันหลันส่ายหน้า แล้วตอบอย่างประหลาดใจ “ไม่ใช่อยู่แล้วสิ…”
ทั้งสองเดินลัดเลาะอย่างระมัดระวังอยู่สองนาทีเต็มๆ กว่าจะมาถึงด้านหน้าประตูนิรภัยบานหนึ่ง
“ประตูนี้เปิดจากด้านนอกไม่ได้…” หลันหลันพูดอย่างระวัง “ดังนั้นจึงต้องให้เขา…”
เธอยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นมือข้างหนึ่งยื่นผ่านหน้าตัวเองไปเคาะประตูบานนั้นต่อหน้าต่อตา
“ก๊อกๆๆ!”
พอเสียงเคาะดัง หลันหลันก็รู้สึกเหมือนตัวเองใกล้จะบ้าเต็มทีแล้ว
นี่มันเป็นซอมบี้จริงๆ ใช่หม้ายย?!
ช่วยเปิดโอกาสให้เธอได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมหน่อยได้ไหม! เมื่อกี้เธอผิดเองที่ประมาท แต่ช่วยให้โอกาสเธอได้แก้ตัวหน่อยไม่ได้หรอ!
สิ่งที่ทำให้หลันหลันหงุดหงิดมากที่สุดก็คือ หลิงม่อมักจะจับประเด็นสำคัญจากคำพูดของเธอได้เสมอ…นี่มันไม่ใช่แนวความคิดที่ซอมบี้ควรจะมีเลยนี่นา!
แต่ถึงจะตกใจอีกแค่ไหน หลันหลันก็ไม่ได้สงสัยในตัวตนของหลิงม่อเลยซักนิด
เพราะถึงอย่างไรหากดูจากภายนอก เขาก็เป็นซอมบี้ตัวหนึ่งไม่ผิดแน่ หากจะหาเหตุผลมาอธิบายให้ได้ ก็คงต้องบอกว่าวิวัฒนาการการกลายพันธุ์ส่วนสมองของเขาน่าทึ่งมาก…
“ก๊อก…”
พอเห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจากข้างใน แถมหลิงม่อก็ยังทำท่าจะเคาะต่อ หลันหลันเลยอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “คือว่า…เขาน่าจะยังโกรธฉันอยู่ ดังนั้น…”
หลิงม่อไม่ฟังเธอ แต่ยังคงเคาะประตูต่อไป
หลันหลันกัดเม้มริมฝีปาก “ฉันจะช่วยนายตะโกนเรียกเขาแล้วกัน…”
พูดเสร็จเธอก็รีบอ้าปากหมายจะตะโกนทันที ในขณะที่สายตาเธอลอบฉายแววตระหนกและดีใจขึ้นมาแวบหนึ่ง
“ฉันกลับมา…”
เพิ่งจะตะโกนได้สามคำ จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่ามือที่กำลังบีบคอเธอรัดแน่นขึ้น คำพูดที่เหลือจึงถูกลืนลงคอไปทันที
เธออ้าปากพยายามหายใจดัง “อึกๆ” อย่างยากลำบาก ขณะเดียวกันก็เห็นหลิงม่อยื่นมือมาเคาะประตูอย่างได้จังหวะพอดี เด็กสาวพลันรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งร่าง
ซอมบี้ตัวนี้…ถึงกับหลอกใช้เธอ!
เห็นชัดว่าเขาสังเกตเห็นอุบายเล็กๆ ที่เธออุตส่าห์ซ่อนไว้แต่แรกแล้ว แต่กลับไม่พูดออกมา และไม่คิดห้ามด้วย
พอสามคำนั้นหลุดออกมา ก็ถือว่าเขาบรรลุเป้าหมายในการหลอกใช้หลันหลันให้เรียกคนในห้องมาเปิดประตูแล้ว แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมให้เธอตะโกนต่ออีก
หลันหลันเชื่อว่า หากคำแรกที่เธอตะโกนออกมาไม่ใช่ประโยคนี้ หลิงม่อจะต้องทำให้เธอส่งเสียงออกมาไม่ได้ทันทีแน่นอน
ความจริงแล้ว หลันหลันคิดจะแอบส่งสัญญาณแฝงให้คนในห้องจริงๆ ตลอดทางเธอไม่มีโอกาสเลย และตอนเคาะประตูก็เป็นจังหวะที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว
เพื่อหลอกหลิงม่อ เธอจงใจเริ่มแผนจากบทสนทนาทั่วไปเพื่อเพิ่มความสมจริง แต่ไม่คิดว่ากลับเป็นตัวเองที่กระโดดลงไปในหลุมของหลิงม่อเสียเอง!
ไม่มีอะไรน่าหงุดหงิดไปกว่านี้อีกแล้ว!
ในที่สุดเสียงเคาะประตูอย่างต่อเนื่องรวมถึงเสียงตะโกนเรียกของหลันหลันก็ได้ดึงดูดความสนใจของคนในห้อง
“แกร๊ก”
พอประตูห้องถูกเปิด หลันหลันก็อดกัดริมฝีปากแน่นไม่ได้ ส่วนหลิงม่อนั้นเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา
ในที่สุดก็เข้าได้แล้ว…
หลิงม่อยกมือขึ้นผลัก แล้วบานประตูก็ค่อยๆ เลื่อนออกไปด้านข้าง เผยให้เห็นห้องชุดขนาดเล็กสภาพรกๆ ห้องหนึ่ง
“หื้ม?”
นี่มันแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้เล็กน้อย…
คนเปิดประตูล่ะ? ไปไหนแล้ว?
พอหันหลังกลับไปดู ก็พบว่าประตูบานนี้เป็นแบบกึ่งอัตโนมัติ คิดว่าคงมีปุ่มกดที่มีไว้เพื่อเปิดประตูอยู่ในห้องแน่ๆ…
“เอาล่ะ อย่างนี้ก็ได้”
หลิงม่อเพิ่งจะผลักหลันหลันให้เดินเข้าไปข้างในหนึ่งก้าว แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้กลิ่นประหลาดโชยออกมาจากในห้อง
เมื่อกลิ่นนั้นลอยเข้ามาในจมูก การเคลื่อนไหวของหุ่นซอมบี้ก็เชื่องช้าลงไปมาก ขณะเดียวกัน สัญชาตญาณต่อต้านอันรุนแรงก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
หลิงม่อรู้สึกเหมือนหนวดสัมผัสทางจิตของตัวเองกำลังเจาะเข้าไปในบึงโคลนที่ลึกมากแห่งหนึ่ง ในขณะเดียวกัน จู่ๆ การควบคุมหุ่นซอมบี้ก็ยากขึ้นหลายเท่า
แหล่งก่อกวนที่ทำให้ซอมบี้มีปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง อยู่ที่นี่!
ทันใดนั้น จู่ๆ หลันหลันก็ยกศอกขึ้นหมายจะกระทุ้งที่เอวของหลิงม่ออย่างเต็มแรง
เดิมทีเธอหมายจะกระทุ้งใต้รักแร้เขา แต่ด้วยความสูงของเธอ คงทำได้เพียงเท่านี้…
ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ ความเร็วในการตอบสนองของเธอเร็วกว่าหลิงม่อมาก บวกกับการจู่โจมกะทันหัน ความเป็นไปได้ที่จะหลุดรอดจากการจับกุมจึงมีสูงมาก
เมื่อหลิงม่อคิดจะบีบคอเธอให้ตาย ร่างกายของเขาก็จะปล่อยมือทันทีตามสัญชาตญาณเพราะความรู้สึกเจ็บปวด
“คิดไม่ซื่อจริงๆ ด้วย!”
หลิงม่อรู้ดี เขาคอยระวังหลันหลันอยู่ตลอด แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเธอจะยังเตรียมโอกาสดีๆ อย่างนี้ไว้ให้ตัวเองอีก
ทว่าเหมือนที่เขาไม่รู้ หลันหลันเองก็ไม่รู้เช่นกันว่านอกจากร่างกายแล้ว ซอมบี้ตัวนี้ยังมีความสามารถด้านอื่นให้ใช้ได้อีก
ถึงหนวดสัมผัสทางจิตจะช้าอีกแค่ไหน แต่อย่างไรมันก็ยังเร็วกว่าร่างกายอยู่ดี ขณะที่ศอกของหลันหลันกำลังจะกระทุ้งเข้าที่เอวของหุ่นซอมบี้ หนวดสัมผัสทางจิตก็ก็เสียดแทงเข้าไปในดวงแสงแห่งจิตของเธอพอดี
เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่าจู่ๆ ตัวเองจะเกิดอาการตาลายเอาในจังหวะนี้ ถึงแม้จะเป็นช่วงสั้นๆ เพียงเสี้ยววินาที แต่มันกลับมากพอที่จะเปลี่ยนผลลัพธ์ทั้งหมดได้
“จบกัน…” หลันหลันคิดในใจ…
ห้องชุดถูกแบ่งออกเป็นสองโซนเช่นกัน แถมยังมีห้องน้ำแยกอีกต่างหาก
ห้องด้านนอกมีโต๊ะหนังสือ และมีเอกสารกับหนังสือมากมายที่ถูกทิ้งเรี่ยราดไว้บนพื้น มีเตียงหลังหนึ่งถูกวางไว้ตรงมุมห้อง
ห้องด้านในถูกกั้นแบ่งโดยประตูกระจกแบบฝ้า และตอนนี้ข้างในก็มีแต่ความเงียบสงัดเท่านั้น
เมื่อมองทะลุกระจกเข้าไป หลิงม่อมองเห็นเงาร่างหลังค่อมเงาหนึ่งรางๆ ดูเหมือนเขากำลังค้อมเอว มองแวบแรกเหมือนจะขยับแต่ก็ไม่ขยับ
“ขึกๆๆ…”
ขณะที่ประตูถูกเลื่อนออกช้าๆ สิ่งแรกที่หลิงม่อเห็นคือโต๊ะทดลองทางวิทยาศาสตร์ตัวหนึ่ง
บนโต๊ะตัวนั้นมีสิ่งของมากมายถูกวางกองไว้ และชายผมขาวคนหนึ่งก็กำลังใช้มีดผ่าอะไรบางอย่างบนนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ
และเขา ก็คืออัจฉริยะโรคจิตคนนั้นนั่นเอง…
หากดูจากรูปร่างหน้าตาอย่างเดียว เขาเป็นชายร่างกายซูบผอมไม่ต่างจากต้นไผ่ แก้มทั้งสองข้างตอบจนเป็นหลุมลึกลงไป ดูแล้วน่าจะอายุราวๆ 40 – 50 ปี
หากอยู่ในฝูงคน เขาคนนี้จะต้องถูกมองว่าเป็น “คุณลุงเสื้อกันลม” ธรรมดาคนหนึ่งอย่างแน่นอน…สายตาคลุ้มคลั่งของเขาดูร้อนรุ่มจนแสดงออกถึงความบิดเบี้ยว แล้วยังมีหนวดเคราบางๆ และท่าทางที่กำลังจัดการตัวทดลองอย่างระมัดระวังนั่นอีก…โดยเฉพาะตอนที่เขายกแหนบขึ้นมาไว้ใกล้ๆ ใบหน้าแล้วสูดดมอย่างดื่มด่ำ หลิงม่อเกือบคิดว่าแหนบที่อยู่ในมือเขาเป็นผลิตภัณฑ์ให้กลิ่นหอมแทนซะแล้ว…
“เดี๋ยวก่อน เขาก็แค่มีรูปร่างหน้าตาไม่เป็นที่น่าพอใจเท่านั้น จะตัดสินคนจากภายนอกไม่ได้…แต่พูดจริงๆ นะ สภาพอย่างนี้มันเหมือนแจ็คตรงไหนกัน!”
หลิงม่อไม่ได้บุ่มบ่ามเข้าไปในห้องทันที ทว่าเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องไม่คาดฝัน เขาจึงยื่นเท้าข้างหนึ่งออกไปขวางประตูไว้ จากนั้นก็ดึงตัวหลันหลันที่กำลังหน้าซีดเป็นไก่ต้มเข้ามาไว้ข้างกาย สุดท้ายก็ตะโกนเสียงดังฟังชัด “เฮ้ย!”
นักวิจัยคนนั้นกำลังดมกลิ่นอย่างเคลิบเคลิ้ม แต่ไม่คิดเลยว่าถึงจะได้ยินเสียงตะโกนเรียกแล้ว เขากลับโบกมือไปมาโดยไม่เงยหน้า พร้อมกับบอกว่า “เงียบๆ”
“…” หลิงม่อเพิ่งเคยเห็นคนที่บ้างานขนาดนี้เป็นครั้งแรก จู่ๆ ก็มีเสียงของชายแปลกหน้าดังขึ้นในห้องทดลองอันแสนลึกลับ เขาจะไม่รู้ตัวเลยหรือ!
คนประเภทนี้ไม่เพียงเป็นอัจฉริยะ แต่ยังเป็นคนที่บ้าระห่ำอย่างสิ้นเชิงด้วย!
คราวนี้ไม่เพียงแค่หลิงม่อเท่านั้นที่รู้สึกกระอักกระอ่วน หลันหลันยิ่งแล้วใหญ่ เธออยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด โถ่ หันมามองกันซักนิดก็ได้นะ!
ถึงแม้หลิงม่อจะจับตัวประกันไว้ แต่เขาก็อ้ำอึ้งไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไรดีไปชั่วขณะ
ผ่านไปหลายวินาที จู่ๆ นักวิจัยคนนั้นจึงหยุดชะงัก
ดูเหมือนเขาจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง จากนั้นก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ หมุนกายหันกลับมา
ในเสี้ยววินาทีที่เขาสบตากับหลิงม่อ สีหน้าท่าทางของนักวิจัยคนนี้ดูเหมือนยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
จนกระทั่งเห็นหลันหลันที่ถูกเขาจับตัวไว้ นักวิจัยคนนี้ถึงได้ตัวสั่นสะท้าน แล้วเบิกตากว้าง
ทว่าภาพที่เห็นนั้นเกินขอบเขตความรู้ความเข้าใจของเขาไปมาก ดังนั้นเขาจึงพูดอะไรไม่ออกซักคำ ได้แต่ยืนปากสั่นอยู่อย่างนั้น
“เอ่อ…”
หลิงม่อลูบจมูก และตัดสินใจทำลายความเงียบในที่สุด “เธอถูกฉันจับแล้ว”
ลูกตาของนักวิจัยแทบจะถลนออกมานอกเบ้าแล้ว เขาทำท่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า
“จะให้ดีแกก็อย่าขยับ” หลิงม่อพูดต่อ
ก่อนที่จะเปิดปากพูดเขาได้กวาดตาสังเกตห้องนี้หนึ่งรอบแล้ว และเขาก็พบเครื่องเตือนภัยที่มีมากกว่าหนึ่งตัวตามที่คาดไว้
ทว่าเขาไม่คิดว่าเลยว่านักวิจัยคนนี้จะตกใจขนาดนี้ แถมดูเหมือนเขาจะไม่มีความสามารถในการรับมือสถานการณ์เฉพาะหน้าเลยแม้แต่น้อย…
“รู้อย่างนี้ฉันเคาะประตูตรงๆ แล้วตะโกนบอกว่า “หลันหลันอยู่ในกำมือฉัน ออกมารับความตายเสียโดยดี” ตั้งแต่แรกซะก็สิ้นเรื่อง…” หลิงม่ออดคิดไม่ได้
นักวิจัยลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าช้าๆ “แต่…”
แต่ในตอนนั้นเอง จูๆ เขากลับยื่นมือไปตบโต๊ะดังปึง แล้วแก๊สสีเทาจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากก๊อกน้ำทันที
แก๊สเหล่านี้พวยพุ่งออกมาอย่างกะทันหัน เพียงพริบตาเดียวควันสีเทาก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
และหลังจากที่ทำเรื่องนี้สำเร็จ นักวิจัยกลับเผยรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก สายตาหวาดกลัวที่มองไปทางหลิงม่อค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความฉงน
พอแก๊สสีเทานี้พวยพุ่งออกมา ดูเหมือนเขาจะมั่นใจขึ้นมาก ราวกับว่าถึงแม้หลิงม่อจะมีปีกก็ยากที่จะบินหนีไปได้อย่างไรอย่างนั้น
“สองคนนี้นิสัยเหมือนกันเปี๊ยบเลยจริงๆ!” หลิงม่อเข้าใจทันที เจ้านักวิจัยคนนี้ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าหรอก แต่ทักษะการแสดงของเขายอดเยี่ยมมากต่างหาก!
หลังจากที่เห็นพรรคพวกของตัวเองถูกจับเป็นตัวประกันอย่างนี้ เขากลับสามารถแสดงละครได้อย่างแนบเนียนไม่ทิ้งร่องรอยแม้แต่น้อย แค่สติปัญญาตรงนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว!
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทึ่ง เห็นชัดว่าแก๊สสีเทาพวกนี้ไม่ใช่อะไรที่ดีแน่ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นเจ้านักวิจัยคงจะไม่ยิ้มเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างนั้น
หลิงม่อรีบถอยหลังพร้อมกับจับตัวหลันหลันมาด้วย แต่เขาก็ยังเห็นเจ้านักวิจัยคนนั้นทำท่าทางมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยมเหมือนเดิม
“ทำไมกัน? หรือว่าแค่สูดดมเข้าไปเล็กน้อยก็ถูกเล่นงานได้หรอ?” หลิงม่อคิด
แต่นี่ก็ผ่านไปหลายวินาทีแล้ว เขาก็ยังไม่รู้สึกผิดปกติอะไรเลยนี่นา
ตรงกันข้าม ดูเหมือนว่าการควบคุมหุ่นซอมบี้ของเขาราบรื่นขึ้นเล็กน้อยด้วยซ้ำ…
“คงไม่ใช่ว่าจะแสดงผลหลังจากผ่านไปสองสามนาทีหรอกนะ? ไม่น่าจะใช่มั้ง…” หลิงม่อคิดอย่างสงสัย
พอเห็นหลิงม่อยังคงถอยกรูดไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดรอยยิ้มของเจ้านักวิจัยก็ค้างเติ่งไป…
และหลันหลันที่ถูกบีบต้นคอไว้ก็มองหน้าเจ้านักวิจัยอย่างตื่นตะลึง สีหน้าของเธอเหมือนคนที่กำลังจะตะโกนบอกว่า “คุณทำฉันซวย!”
—————————————————————————–