แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 752
บทที่ 752 ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยามค่ำคืน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะที่เจ้าหน้าที่ยามสองคนเพิ่งจะเดินส่องไฟฉายจากไป ทันใดนั้น บนเพดานก็มีประกายสีแดงเล็กๆ สว่างวาบขึ้นมาชั่วขณะ
ทว่าสองคนนั้นกลับไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นข้างบนเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเอาแต่สอดส่องสายตาไปมาทั่วพื้น
หลายวินาทีผ่านไป บนประตูบานที่พวกเขาเพิ่งเดินผ่านไป พลันปรากฏร่างแมงกะพรุนสีแดงที่มีขนาดตัวเล็กมากขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ตอนที่เพิ่งเข้ามาในนิพพานสำนักงานใหญ่ เจ้ามาสเตอร์บอลยังดูเหมือนของเล่นที่ทำจากยางยืด และไม่มีอะไรสะดุดตาอยู่เลย แต่ตอนนี้ร่างกายของมันกลับโปร่งใสไปทั้งตัว ราวกับผลงานศิลปะชั้นเยี่ยมที่ถูกแกะสลักมาจากอัญมณี ตรงจุดศูนย์กลางของร่างกายมันราวกับมีหยดเลือดสดๆ ก่อตัวรวมกันอยู่หนึ่งหยด แสงสีแดงทอประกายจากจุดสีแดงนั้นสู่ด้านนอก
ภายในคืนนี้คืนเดียวมันดูดพลังของเจ้า 101 และเจ้าซอมบี้แขนยาวไปทั้งสองตัว ตอนนี้มันจึงได้รับพลังงานจำนวนมาก โดยเฉพาะเจ้า 101 ถึงแม้มันจะไม่มีอันตราย แต่อย่างไรมันก็ยังเป็นซอมบี้ร่างแม่อยู่ ดังนั้นมันจึงมีเชื้อไวรัสที่เจือปนอยู่ในเลือดปริมาณมาก หลังจากดูดกลืนมัน เจ้ามาสเตอร์บอลก็ได้ก้าวมาถึงขอบของวิวัฒนาการขั้นต่อไปแล้ว
เวลานี้ ภายใต้การควบคุมของหลิงม่อ มันกำลังแนบตัวชิดบานประตู และเริ่มหดตัวช้าๆ
หลังจากที่หดตัวจนเล็กที่สุดแล้ว มันก็ค่อยๆ ขยายตัวขึ้นอีกครั้ง ราวกับกำลังหายใจเข้าออก
แต่สิ่งที่ถูกคายออกมาจากร่างกายของมันกลับไม่ใช่แก๊ส แต่เป็นเส้นใยมากมายที่เกิดจากการก่อตัวของพลังงานทางจิต
คนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นเส้นใยเหล่านี้ได้ แต่ในสายตาของผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต พวกเขาจะมองเห็นรัศมีแสงสีขาวอ่อนๆ ที่กำลังกระจายตัวอยู่ในอากาศ
เส้นใยแสงที่ถูกถักทออย่างรวดเร็วจนมีรูปร่างคล้ายใยแมงมุมแผ่ตัวออกมา โดยมีเจ้ามาสเตอร์บอลเป็นจุดศูนย์กลาง
ในขณะเดียวกัน ร่างจริงของหลิงม่อที่นั่งพิงผนังอยู่ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เม็ดเหงื่อมากมายผุดพรายเต็มหน้าผากของเขา
สายสัมพันธ์ทางจิตระหว่างเขากับเจ้ามาสเตอร์บอล คงอยู่ได้โดยอาศัยเพียงหนวดสัมผัสทางจิตเส้นเดียวเท่านั้น และหนวดสัมผัสที่อยู่ในร่างเจ้ามาสเตอร์บอลเส้นนี้ก็ยังแยกจากหนึ่งเป็นสอง โดยที่หนึ่งในนั้นใช้ควบคุมเจ้าหุ่นซอมบี้อยู่
ฝั่งเจ้าหุ่นซอมบี้เคลื่อนไหวไม่สะดวกแน่นอน เพราะเหล่าหลันและลูกสาวของเขาเป็นส่วนสำคัญในแผนการครั้งนี้ แต่การจะควบคุมเส้นใยพลังจิตมากมายเหล่านี้ได้ เขาก็จำเป็นต้องแยกหนวดสัมผัสทางจิตอีกครึ่งที่เหลือในร่างเจ้ามาสเตอร์บอลออกมาอีกครั้ง
เขาต้องแยกออกมาอีกหลายสิบเส้น!
ถ้าหากไม่มีตัวกลางเพื่อชาร์จแบตฯ ล่วงหน้าอย่างเจ้ามาสเตอร์บอลอยู่ หลิงม่อคงไม่มีทางทำเรื่องอย่างนี้ได้สำเร็จทั้งที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยเมตร
ระหว่างที่หนวดสัมผัสแยกตัว ก็เหมือนกับการแยกความคิดออกมาเป็นส่วนๆ เท่านี้ยังไม่พอ เขายังต้องป้อนคำสั่งเคลื่อนไหวให้พวกมันพร้อมๆ กันอีก
เหมือนกับการที่หลายคนสามารถวาดสี่เหลี่ยมด้วยมือซ้ายไปพร้อมกับที่สามารถวาดวงกลมด้วยมือขวาได้ แต่หากต้องเขียนบทความด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมๆ กันล่ะ
หรือยิ่งไปกว่านั้น หากต้องเขียนบทความแปดบทพร้อมๆ กัน ด้วยการคีบปากกาไว้ระหว่างนิ้วมือล่ะ?
เรื่องอย่างนี้อย่าว่าแต่ทำเลย แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว
และเรื่องที่หลิงม่อต้องทำก็เป็นเรื่องประเภทนี้ หนวดสัมผัสทางจิตทุกเส้นที่แยกตัวออกมา พันรวมกับเส้นใยแสงเหล่านั้นยังไม่นับว่าเสร็จสิ้น เขายังต้องควบคุมหนวดสัมผัสทุกเส้นให้ไปทำเรื่องที่ไม่เหมือนกันอีก ซึ่งนี่แหละคือจุดเริ่มต้นของความยุ่งยาก
ผ่านไปไม่กี่วินาที หลิงม่อก็รู้สึกเหมือนสมองใกล้จะระเบิดเต็มที
แต่ในตอนนั้นเอง ดวงแสงแห่งจิตที่หดตัวเล็กลงของเขากลับกระเพื่อมขึ้นอย่างรุนแรง เพื่อเป็นกองหนุนการเผาผลาญพลังจิตอันมหาศาลของเขา
“เกิดอะไรขึ้น?”
ณ อาคารหอพัก ตอนนี้มีใครคนหนึ่งสะดุ้งตื่นและลุกพรวดขึ้นมาจากใต้ผ้าห่ม จากนั้นก็กวาดตามองความมืดรอบทิศ
คนคนนี้ลังเลไปครู่หนึ่ง ผ่านไปไม่นานเขาก็ดึงผ้าห่มออกแล้วกระโดดลงจากเตียง พลางค่อยๆ เดินไปทางประตูห้อง
ในขณะที่ยื่นมือออกไปจับมือจับประตู คนคนนี้ชะงักไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดประตูออกไป…
เมื่อเส้นใยแสงสีขาวที่อยู่บนประตูบานนั้นถูกเคลือบด้วยสีโลหิตทั้งหมด ก็แสดงว่าการแยกตัวและหลอมรวมของหลิงม่อได้เสร็จสิ้นแล้ว
หนวดสัมผัสเหล่านี้ชะงักไปเล็กน้อย แล้วก็เริ่มขยับอีกครั้งอย่างรวดเร็ว พวกมันแผ่ขยายไปรอบทิศ ทั้งตามทางเดินและตามผนัง
หนึ่งในนั้นมุดเข้าไปในรูกุญแจของห้องที่เจ้ามาสเตอร์บอลอยู่
ส่วนหนวดสัมผัสอีกส่วนพอไปถึงจุดจุดหนึ่ง พวกมันก็มุดลงไปในพื้นอาคารอย่างรวดเร็ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลิงม่อต้องเผาผลาญพลังจิตไปมากเท่าใดกับการทำอย่างนี้ แต่อย่างไรเขาก็ยังมีแบตฯ สำรองอยู่นี่นา!
“แบตเตอร์รี่*ฝูอะไรชิดซ้ายไปเลย เจ้ามาสเตอร์บอลตัวเดียวทนทานกว่าแบตฯ ทั่วไปสิบก้อนอีก…”
ถึงจะเป็นภาพที่แปลกประหลาด แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ ดังนั้นถึงแม้สี่คนนั้นจะเดินไปเดินมาอยู่ในอาคารชั้นนี้ แต่พวกเขากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ กุญแจพวงนั้นหายได้ยังไง อีกอย่างกุญแจที่ฉันดูแลอยู่ก็ไม่ใช่พวงนั้น ทำไมมันมาอยู่ที่ฉันได้วะ?” เจ้าหน้าที่วิจัยคนนั้นหยุดเดินอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด
อีกคนจึงถอนหายใจแล้วบอกว่า “แกทำหล่นในชักโครกตอนเข้าห้องน้ำรึเปล่าวะ?”
“จะเป็นไปได้ไงวะ!” เจ้าหน้าที่วิจัยคนนั้นโวยวาย
“ถ้างั้นฉันก็คิดไม่ออกแล้วเหมือนกัน นอกจากว่าจะมีผีขโมยของแกไป…” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของคนคนนั้นก็ดูแปลกไป “นี่ ฉันจะบอกอะไรให้ พูดถึงเรื่องผีนะ เมื่อกี้ตอนที่ฉันสูบบุหรี่คนเดียวอยู่ที่บันได เหมือนจะเห็นเงาอะไรแวบๆ ด้วยล่ะ…”
“เงา? แกไม่ได้จะบอกว่าเห็นผีหรอกนะ?” เจ้าหน้าที่วิจัยพูดพลางกลอกตาขาว
“เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว…” ชายคนนี้เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตัวเองตาฝาด แต่ตอนนี้พอกุญแจหายไปอย่างลึกลับ เขาก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าสองเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกันไหม…
เจ้าหน้าที่วิจัยคนนั้นเดิมก็จิตใจว้าวุ่นมากอยู่แล้ว เขาไม่คิดว่าจู่ๆ เพื่อนร่วมงานของตัวเองจะพูดไร้สาระเรื่องเงาอะไรนั่นขึ้นมาอีก
จะมีเงาอะไรในตึกนี้ได้ล่ะ?
“เชี่ย! ซวยชิบหายเลยโว้ย!” เจ้าหน้าที่วิจัยสบถหยาบคาย พลางยกเท้าหมายจะถีบประตูบานใกล้ๆ
แต่หนึ่งวินาทีก่อนที่เท้าของเขาจะสัมผัสบานประตู ทันใดนั้น เขากลับได้ยินเสียง “ตึง” ดังสวนขึ้นมาทันที
และที่สำคัญ เสียงนี้ก็มาจากประตูบานที่อยู่ตรงหน้าเขา!
เจ้าหน้าที่วิจัยคนนั้นสะดุ้งตกใจ เท้าที่กำลังถีบออกไปวืดกลางอากาศทันที ส่งผลให้เขายืนเซไปเซมาจนเกือบล้ม
ชายอีกคนไม่ได้สังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ นี้ เขาจึงถามอย่างสงสัย “แกเป็นอะไรวะ?”
“ปะ…ประตูบานนี้…เมื่อกี้ประตูบานนี้มีเสียง!” เจ้าหน้าที่วิจัยชี้นิ้วไปทางประตูอย่างตกตะลึง
“…” ชายอีกคนนิ่งไป จากนั้นก็จ้องหน้าเจ้าหน้าที่วิจัยด้วยสายตาเหมือนกำลังมองคนประสาทกลับ เขาหัวเราะแล้วบอกว่า “พอเลย ฉันเพิ่งพูดเรื่องผีจบ ก็คิดจะแกล้งกันอย่างนี้เลยใช่ไหม ปัญญาอ่อนไปรึเปล่าวะ?”
“ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะเว้ย!” ในขณะที่เจ้าหน้าที่วิจัยกำลังเถียง ทันใดนั้น ประตูบานเดิมก็สั่นไหวขึ้นมา
คราวนี้ชายอีกคนก็เห็นเต็มตาด้วย ทว่าเขากลับขมวดคิ้ว เหมือนยังไม่ค่อยเข้าใจนัก
ประตูบานนี้ก็แค่สั่นเบาๆ ถึงจะดูไม่ค่อยปกติ แต่ก็ไม่ถึงขนาดทำให้ตกใจใหญ่โต
แต่เจ้าหน้าที่วิจัยคนนั้นกลับกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ แล้วจู่ๆ ก็เดินเข้าไปใกล้ประตูบานนั้น
“ใช่สิ ห้องนี้มีตัวทดลองถูกขังไว้ใช่ไหม?” ชายอีกคนพูดขึ้น
“อืม แต่ประตูบานนี้ล็อกจากด้านนอก อีกอย่างตัวทดลองไม่มีทางหลุดออกมาได้หรอก น่าเสียดายที่กุญแจฉันหาย…” เจ้าหน้าที่วิจัยหันหน้าออกด้านข้าง เตรียมจะแนบหูติดประตูเพื่อฟังเสียงเคลื่อนไหวด้านใน ถึงปากเขาจะว่าอย่างนั้น แต่ถึงยังไงประตูบานนี้ก็ไม่น่าจะขยับได้เองรึเปล่า?
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ หางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นภาพที่ทำให้ขวัญหนีดีฝ่อเข้า
มือจับประตูนั่น กำลังหมุนเอง!
ขณะเดียวกัน เสียงเคลื่อนไหวเบาๆ ดังมาจากด้านหลังบานประตู แต่เสียงแค่นี้ ก็ทำเอาเจ้าหน้าที่วิจัยสองคนนี้ถึงกับตกใจจนตัวแข็งทื่อไปทันที
“แกร๊ก”
เสียงกลอนประตูถูกปลอดล็อกดังขึ้นแล้ว!
เจ้าหน้าที่วิจัยยืนอึ้งค้างไปแล้ว เป็นไปได้อย่างไร!
ประตูบานนี้ถูกล็อกจากข้างนอก นอกจากว่าจะใช้กุญแจไข…เดี๋ยวก่อน!
กุญแจ!
หรือกุญแจจะถูกใครขโมยไปจริงๆ?
และตอนที่พวกเขากำลังตามหากุญแจกันอยู่ ก็มีคนเอากุญแจไปเปิดประตูห้อง?!
เจ้าหน้าที่วิจัยสับสนไปหมดแล้ว พวกเขาเอาแต่รีบตามหากุญแจ แต่กลับไม่มีใครคิดจะเปิดเข้าไปสำรวจในห้องทดลองพวกนี้เลยซักคน
เหตุผลง่ายมาก หนึ่ง คือกุญแจไม่มีทางตกในห้องทดลองแน่นอน สอง คือกุญแจหายไปแล้ว จะเปิดประตูได้อย่างไรล่ะ?
ส่วนเรื่องที่ว่าอาจมีคนขโมยมันไปนั้น…จะมีใครโผล่เข้ามาในตึกนี้ได้ยังไงกัน?
แต่เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ กลับทำลายความคิดทั้งหมดนี้ของพวกเขาลงทันที
ไม่เพียงมีคนอยู่ในตึกนี้ แต่คนคนนี้กลับเปิดประตูและเข้าไปในห้องทดลองใต้เปลือกตาพวกเขา !
“ไม่สิ มียามเฝ้าอยู่ตั้งหลายคน แต่กลับไม่มีใครเห็นคนเข้ามา ฉันก็อยู่ที่นี่ด้วย แต่ก็ไม่เห็นคนอื่นเหมือนกัน อีกอย่างประตูบานนี้ดันมาเปิดเอาตอนนี้…” เจ้าหน้าที่วิจัยความคิดวุ่นวายไปหมดแล้ว เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
“แอ๊ด…”
ประตูบานเดิมค่อยๆ เปิดแง้มออกเป็นช่องเล็กๆ เจ้าหน้าที่วิจัยคนนั้นตัวสั่นสะท้านทันใด เขาถอยกรูดด้วยความสะดุ้ง และตะโกนเสียงหลง “วิ่งเซ่!”
เขาเห็นมันแล้ว! ดวงตาสีแดงท่ามกลางความมืดคู่นั้น!
ชายอีกคนสะดุ้งจนได้สติกลับมาทันที เขาเองก็ร้องลั่นเสียงหลง จากนั้นก็หมุนกายออกวิ่ง “ช่วยด้วย…”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือยังไม่ทันจบประโยค จู่ๆ เสียงของเขาก็เงียบหายไปเหมือนกับว่าถูกใครบีบคอ
ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่วิจัยคนนั้นก็หมุนกายหันกลับมา พอเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เบิกตากว้าง มือและเท้าของเขาเย็นเฉียบ
บนทางเดินข้างหน้าเขา ตัวทดลองที่ร่างกายท่วมไปด้วยเลือดกำลังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น และกำลังจ้องเขาด้วยสายตาเลื่อนลอย
ในมือของมัน กำลังจับร่างกายอันไร้เรี่ยวแรงของใครคนหนึ่งไว้ และพอดูดีๆ ก็ค้นพบว่าเป็นร่างของเจ้าหน้าที่ยามหนึ่งคนสองคนนั้น!
เวลานี้เจ้าหน้าที่ยามคนนั้นกำลังหลับตา ใบหน้าของเขายังคงไว้ซึ่งความหวาดกลัว ดูไม่ออกว่ายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
ไม่เพียงเท่านี้ อยู่ๆ ก็มีซอมบี้เดินออกมาจากทางเลี้ยวข้างหลังนั้นอีกหลายตัว!
ซอมบี้พวกนี้ไม่ได้เคลื่อนไหวเร็วมากนัก การเคลื่อนไหวดูติดขัดเล็กน้อยด้วยซ้ำ แต่การที่พวกมันเดินออกมาทีละตัวๆ ท่ามกลางความมืดอย่างนี้ กลับทำให้คนขวัญกระเจิงด้วยความกลัว!
ทั้งสองร่างกาย
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่เนี่ย? ทำไมจู่ๆ ซอมบี้ทั้งหมดก็หนีออกมาได้ล่ะ!
พวกเขาไม่มีเวลาให้คิดมาก เพราะข้างหลังของพวกเขาในตอนนี้ ได้มีเสียงที่น่ากลัวยิ่งกว่าดังขึ้นแล้ว
“ปึง!”
นี่คือเสียงบานประตูที่ถูกดึงเต็มแรงและกระแทกเข้ากับผนัง!
ถึงแม้จะเห็นซอมบี้จนชินแล้ว เคยใช้ชีวิตอยู่กับซอมบี้มาก็ไม่น้อย กระทั่งทำการทดลองมาก็มาก แต่หากเปรียบกับความรู้สึกที่สัมผัสได้ถึงซอมบี้ที่ยืนอยู่ข้างหลังจริงๆ อย่างตอนนี้ สมองของทั้งสองต่างขาวโพลนไปหมด ขาทั้งสองข้างต่างก็สั่นพั่บๆ อย่างควบคุมไม่ได้
“ติ๋ง!”
เสียงของเหลวหยดกระทบพื้นดังชัดเจน ชัดเจนจนเหมือนมันดังอยู่ในสมองของทั้งสอง
น้ำลายหรอ?
“ชะ…ช่วยด้วย…”
นี่คือเสียงสุดท้ายที่ตะโกนออกมาจากปากเจ้าหน้าที่วิจัยคนนั้น เพราะวินาทีถัดมา เขาก็หน้ามืด และล้มลงไปทันที
ส่วนชายอีกคน พอได้ยินเสียงเพื่อนร่วมงานล้มลงไปดัง “ตึง” เขาก็ตาเหลือกขาวและสลบเหมือดตามไปอย่างง่ายดาย
—————————————————————————–