แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 900
“งี๊ด งี๊ดด!”
ในทางเดิน หุ่นซอมบี้ที่หลิงม่อควบคุมอยู่กับหลี่ย่าหลิน พวกเขากำลังวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง และห่างออกไปม่ไกลข้างหลังพวกเขา คือเหล่ากระเป๋าเลี้ยงตัวอ่อนจำนวนมหาศาล รวมถึงเจ้าหมี ซอมบี้หัวหน้าฝูงที่ตัวใหญ่เขื่องเหมือนก้อนเนื้อยักษ์เคลื่อนที่ได้…
“กรร!”
เจ้าหมีที่ถูกอัดจนกระเด็นเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งอย่างเต็มรูปแบบ ทุกครั้งที่มันคำรามเสียงดัง มันจะพุ่งชนสิ่งของอย่างแรงหนึ่งครั้ง และเมื่อได้ยินเสียงสิ่งกีดขวางเหล่านั้นถูกกระแทกจนแหลกละเอียด หลิงม่อก็อดรู้สึกหนังศีรษะตึงชาไม่ได้
ที่แย่กว่าคือ อยู่ๆ เสียง “ตึง ตึง” ก็ดังมาจากที่ไกลๆ…
“แม้แต่เจ้าบุชเชอร์ก็ตามมาด้วย…” หลิงม่อรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันที แต่พอคิดอีกที พวกเขาทำเสียงดังขนาดนี้ ก็ไม่แปลกที่จอมแล่เนื้อตัวนั้นจะถูกดึงดูดเข้ามา ในทางตรงข้าม การที่มันเพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ อย่างน้อยก็แสดงว่าการลอบโจมตีก่อนหน้าของหลิงม่อได้ผลอยู่ระดับหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าผลลัพธ์นี้จะได้ผลถึงขั้นไหน สามารถทำให้พลังอันน่ากลัวของมันอ่อนแอลงได้มากหรือไม่…
แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีเลยซักนิด!
“ว๊าวว! มาอีกตัวแล้ว! เป็นไงล่ะหลิงม่อ เจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ! มีเพื่อนร่วมสายพันธุ์วิ่งไล่ตามเราอยู่ตั้งหลายตัวแน่ะ!” หลี่ย่าหลินหันกลับไปมองอย่างตื่นเต้นหลายครั้ง พลางพูดขึ้น
“นี่มันใช่เรื่องที่ควรดีใจไหมเนี่ย!” หลิงม่อถอนหายใจ บอกว่า “เอาแต่หนีไปตลอดอย่างนี้ก็ไม่ช่วยอะไร พวกเราต้องหาที่ดีๆ ก่อน! ที่ที่พวกมันไม่สามารถล้อมเราไว้ได้ และต้องมีพื้นที่มากพอที่จะโต้กลับพวกมัน…”
“ฉันรู้แล้ว!” หลี่ย่าหลินตาเป็นประกาย บอกว่า “ที่แบบนั้น เมื่อกี้เหมือนว่าฉันจะเคยเห็นนะ!”
“ที่ไหน?” หลิงม่อถามอย่างรีบร้อน
“ขอฉันคิดก่อนสิ…อ๊ะ! ใช่แล้ว!โรงอาหารของพนักงาน! ฉันกับซย่าน่าเข้ามาจากทางนั้นแหละ ข้างในกว้างมากเลยล่ะ แล้วก็ยังมีโต๊ะเก้าอี้กับหน้าต่างเยอะมากด้วย…” หลี่ย่าหลินทำไม้ทำมือประกอบ พร้อมกับหัวร่อ
หลิงม่อโบกมือ “ไปที่นั่นเลยแล้วกัน! พอดีเลย พวกมันอยากเอาอาหารขึ้นโต๊ะแล้วไม่ใช่หรอ?”
“เอ๋? นายจะพาพวกมันไปทำกับข้าวหรอ?”
“ไม่ ผมกะว่าจะไปรับบทเป็นเชฟใหญ่ซะหน่อย…”
ขณะเดียวกันนั้น ในอีกมุมหนึ่งของตึกใหญ่…
“ฮู่ว ในที่สุดก็ปีนขึ้นมาได้แล้ว! ฉันก็นึกว่าไอ้รูนั้นจะพาไปทะลุมิติอื่นซะอีกนะเนี่ย” ท่ามกลางความมืดมิด ดวงตาสีแดงเลือดคู่หนึ่งพลันกระพริบตาปริบๆ ขณะเดียวกันก็มีเสียงเด็กสาวระริกระรี้ “ฮ่า เมื่อกี้ฉันพูดเหมือนพี่หลิงเลยไม่ใช่หรอ? เวลาทำอย่างนั้นอย่างนี้เขาจะชอบพูดอย่างนี้นี่นา…ฉันใกล้จะถูกดูดเข้าไปในประตูมิติแล้ว! ตอนนี้เหมือนจะเข้าใจความหมายของพี่เขาขึ้นมาบ้างแล้ว…”
“ไม่หรอก เธอไม่เข้าใจเลยซักนิดต่างหากล่ะ…แต่จะว่าไปแล้ว ที่นี่มันที่ไหนอีกล่ะ?” เสียงพูดที่แทบจะเหมือนกับเสียงเมื่อกี้ แต่อารมณ์และน้ำเสียงต่างกันเล็กน้อยพลันดังตามมาติดๆ เทียบกับน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อกี้ เสียงที่สองดูใจเย็นกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เพิ่งจะพูดจบ ท่ามกลางความมืดพลันมีเงาร่างของเด็กสาวปรากฏขึ้นเลือนราง เธอเหมือนตัวละครที่เดินออกมาจากภาพยนตร์ขาวดำสมัยเก่าอย่างไรอย่างนั้น ผมยาวสีโลหิต ผิวกายซีดเซียว สลับไปมาระหว่างเลือนรางกับชัดเจน การเคลื่อนไหวก็สะดุดเหมือนแผ่นซีดีที่สะดุด เมื่อกี้เพิ่งจะเห็นเธอปรากฏกาย แต่วินาทีถัดไปก็เห็นเธอไปยืนอยู่บนท่อน้ำที่มีขนาดเท่าต้นขาคนแล้ว
“ดูแล้ว ที่นี่คงจะเป็นชั้นลอยที่มีไว้เพื่อติดตั้งท่อต่างๆ สินะ…ฉันไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการออกแบบก่อสร้างซะด้วยสิ”
เธอหันหน้าไป และสบตาเข้ากับดวงตาอีกคู่หนึ่งพอดี
เฮยน่ากำลังอยู่ในท่าคุกเข่ากับพื้น และก้มหน้าคลานไปตามช่องแคบๆ นี้ช้าๆ เธอเหลือบมองน่าน่าที่ปรากฏตัวเพียงครึ่งเดียว แล้วเงยหน้ามองท่อน้ำที่ยุ่งเหยิงพวกนั้น บอกว่า “ไม่รู้ แต่จากกลิ่นน่าจะมีมานานมากแล้ว ที่นี่น่าจะเป็นตึกเก่าที่ปรับปรุงใหม่ล่ะมั้ง? ดูพวกนี้ เหมือนเป็นของแบบเก่าไหม?”
“นี่ไม่ใช่ประเด็น” น่าน่าพูดแทรกเธอ พลางกวาดมองไปรอบตัว บอกว่า “ประเด็นคือ พวกเราจะปีนลงไปต่อ หรือรีบหาทางกลับขึ้นไปดีต่างหาก และที่ต้องระวังไว้ก็คือ เพราะที่นี่มีแต่กลิ่นแปลกๆ เต็มไปหมด เส้นทางก็ซับซ้อนมาก พวกเราอาจจะหาทางกลับไม่เจอง่ายๆ”
“เฮ้อ…”
“หลังปีนออกมาจากในลิฟท์ พวกเราก็ปีนตามโซ่เหล็กขึ้นมาเรื่อยๆ จากนั้นก็เห็นรูที่เกิดจากการกัดกร่อนมากมาย…หลังจากที่เลือกมุดเข้ามา ถึงค่อยรู้ว่าที่นี่เป็นเหมือนเขาวงกต และที่นี่ก็เป็นที่ที่กว้างที่สุดเท่าที่เราเคยเจอมาแล้ว…แต่ว่า ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีอะไรเลย แต่พวกเรากลับเสียเวลาไปหลายนาทีแล้ว ดังนั้นตอนนี้ควรจะ…”
“ชู่ว เดี๋ยวก่อน” เฮยน่ายกนิ้ววางบนริมฝีปากตัวเอง ขณะที่ดวงตาจ้องเขม็งไปในความมืดตรงหน้า
น่าน่าเองก็รีบหันไปมอง เงาร่างของเธอพลันไหววูบขึ้นมาชั่วขณะ
ท่ามกลางพื้นที่ว่างอันเล็กแคบและมืดมิดแห่งนี้ ราวกับมีเสียงการเคลื่อนไหวบางอย่างดังขึ้น…
เมื่อเสียงเลือนรางนั้นดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้น ดวงตาสีโลหิตคู่หนึ่งพลันปรากฏอยู่ตรงหน้า
และไม่นาน ดวงตามากมายก็โผล่ตามมากันติดๆ ดวงตาทุกคู่จับจ้องไปยังผู้มาจากภายนอกเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้ — ซย่าน่านั่นเอง
ทุกอย่างในความมืดกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง แต่พอถูกสายตาพวกนั้นจับจ้อง กลับรู้สึกได้เพียงบรรยากาศตึงเครียดและชวนอึกอัดเท่านั้น พวกมันซ่อนตัวอยู่ระหว่างท่อพวกนั้น สายตาทั้งเย็นชาและระแวดระวังเหล่านั้น กำลังค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้อย่างเงียบงัน…
น่าน่าหันกลับไปสบตากับน่าน่าแวบหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เผยรอยยิ้มที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง พลางพูดขึ้นพร้อมกันว่า “มีอะไรอยู่จริงๆ ด้วย…”
“ไม่น่าล่ะตอนอยู่ข้างนอกถึงได้ไม่รู้สึกอะไรเลย…ที่แท้ก็ซ่อนอยู่ในนี้กันเอง…”
เงาร่างทั้งสองซ้อนทับกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นบนใบหน้าของซย่าน่าก็ปรากฏดวงตาสีแดงข้างหนึ่งสีดำข้างหนึ่ง เธอเลียริมฝีปาก พลางกระชับเคียวดาบในมือ “ที่นี่…เป็นทางลับไปที่ไหนซักที่อย่างที่คิดไว้จริงๆ สินะ? คิกคิก…”
………..
“ไม่น่าล่ะเมื่อกี้พวกเราถึงไม่เจออะไรเลย ซอมบี้ที่เคลื่อนไหวจริงๆ ในนี้มีอยู่แค่ไม่กี่ตัว แล้วส่วนใหญ่ก็อยู่ในรูปแบบของกระเป๋าเลี้ยงตัวอ่อนด้วย อีกอย่างถ้าพูดกันจริงๆ ร่างปรสิตพวกนี้ก็ไม่นับว่าเป็นซอมบี้จริงๆ ด้วย…คลื่นดวงจิตของพวกมันอ่อนมาก ผิวชั้นนอกยังมีของเหลวหนืดที่มีกลิ่นรบกวนเคลือบอยู่ด้วย แถมตัวอ่อนยังสามารถพ่นน้ำกรดกลิ่นฉุนออกมาได้อย่างต่อเนื่องด้วย…สรุปคือถ้าอาศัยแค่สัมผัสรู้ ก็ยากที่จะเจอตัวพวกมัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่อยู่ไกลขนาดนั้นเลย แต่ถึงแม้สัมผัสรู้ไม่ได้ ก็ยังกระตุ้นการตอบสนองที่มีต่ออันตรายตามสัญชาตญาณของซอมบี้อยู่ดี…
ในบันไดขึ้นสู่ชั้นสอง หุ่นซอมบี้อีกตัวของหลิงม่อกำลังเดินขึ้นไปบันไดตามร่างปรสิตตัวนั้นอยู่
“แต่คำพูดที่ซอมบี้ฮวาฮวาเคยพูดไว้ หมายความว่ายังไงกันนะ? ซอมบี้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนี้ไม่ได้มีแค่ ‘พี่สาว’ ตัวเดียว? แต่รังกบดานทั่วไปก็มีหัวหน้ากันแค่ตัวเดียวไม่ใช่หรอ…” หลิงม่อขมวดคิ้วครุ่นคิด
เขารู้สึกเหมือนตัวเองมองข้ามอะไรบางอย่างไป แต่กลับคิดไม่ออกว่ามันคืออะไร สรุปก็คือ เป็นเพราะมีเบาะแสน้อยเกินไป…ตั้งแต่ที่เข้าลักลอบเข้ามาในตึกใหญ่จนถึงตอนนี้ เวลาเพิ่งจะเดินผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาทีเท่านั้น และเวลาเพียงเท่านี้สำหรับการสำรวจตึกใหญ่หลังหนึ่ง ถือว่าสั้นมากจริงๆ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ตั้งแต่ที่เข้ามาในนี้ เขาก็ถูก ‘พี่สาว’ หมายหัวแล้ว ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่มีเวลาสำรวจสถานที่อย่างละเอียด นอกจากนี้ยิ่งเขาเสียเวลาไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งง่ายต่อการทำให้พวกอวี่เหวินซวนเริ่มสงสัย…
“อีกอย่างในตึกหลังนี้…”
เดินอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบอย่างนี้ ทำให้หลิงม่อรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาทันที…สิ่งที่กำลังจับตามองเขาอยู่อาจไม่ใช่แค่ร่างปรสิต แต่เป็นตึกใหญ่หลังนี้ต่างหาก…เพราะไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ไหน ก็มักจะรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับตามองอยู่ตลอด แต่พอมองไปรอบๆ กลับมองไม่เห็นอะไรเลย
“แค่ตึกหลังเดียว ทำไมถึงได้ทำให้รู้สึกอย่างนี้ได้ล่ะ? หลังจากเกิดภัยพิบัติ เกิดอะไรขึ้นในบริษัทลอว์สันแห่งนี้กันแน่นะ? ถ้าหากรู้เรื่องพวกนี้ บางทีอาจเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับยัยซอมบี้ที่เรียกตัวเองว่าพี่สาวมากขึ้นก็ได้ ทำไมจนถึงตอนนี้เธอถึงยังได้รับผลกระทบจากความทรงจำตอนที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ล่ะ…”
ถึงแม้ผลลัพธ์ที่ต้องการจะไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ใจของหลิงม่อกำลังคิด ก็คืออยากให้พวกเย่เลี่ยนจำความทรงจำทั้งหมดได้ และอยากให้พวกเธอมีความรู้สึกเหมือนกับที่มีในความทรงจำตอนเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรอ? ความทรงจำที่ขาดความรู้สึก ก็ไม่ต่างอะไรจากข้อมูลอันจืดชืดไร้รสชาติเลยแม้แต่น้อย…
“ต้องฟื้นคืนความทรงจำ ความรู้สึกทั้งหมดกลับมาก่อน ถึงจะเป็นเย่เลี่ยนที่แท้จริงสิ…สำหรับซย่าน่าและรุ่นพี่ ก็เหมือนกัน…”
หลิงม่อกำลังครุ่นคิด แต่กลับพบว่าอยู่ๆ เจ้าร่างปรสิตก็แทรกตัวเข้าไปในช่องประตูเหล็กบานหนึ่งแล้ว
“อยู่ชั้นนี้หรอ?!”
หลิงม่อรีบตามไป แต่กลับไม่ได้เข้าไปทันที
เขายื่นมือไปจับกลอนประตูช้าๆ แล้วสูดหายใจลึกๆ “เจ้าของตึกหลังนี้ ซอมบี้ร่างแม่ที่แข็งแกร่งที่สุด…”
“แอ๊ดด…”
เมื่อประตูเหล็กถูกผลักเปิดช้าๆ กลิ่นฉุดจัดกลิ่นหนึ่งก็โชยออกมาจากข้างในทันที และในเสี้ยววินาทีที่หลิงม่อเห็นภาพหลังบานประตูชัดเจน เขาก็ต้องเบิกตาค้างไปชั่วขณะ…
“นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย?”
ในทางเดินอันเงียบงันและมืดมิด เงาดำมากมายปรากฏเลือนราง…กลิ่นคาวเลือดจางๆ ผสมกับกลิ่นเหม็นเน่าลอยตลบอบอวลไปทั่วทางเดินทั้งเส้น และภาพด้านหลังก็ถูกเงาดำพวกนั้นบังจนมิด ได้ยินเพียงเสียงลมที่พัดมาจากข้างนอก ซึ่งฟังดูเหมือนเสียงโหยหวนเป็นครั้งคราว…
“พวกนี้มัน…”
หลิงม่อค่อยๆ ก้าวเหยียบไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แต่กลับรู้สึกได้ทันทีว่าปลายเท้าสัมผัสเข้ากับวัตถุนิ่มๆ เข้าแล้ว…เขารีบก้มหน้าดูทันที แล้วก็ต้องรู้สึกเย็นวาบจากปลายเท้าขึ้นไปจนทั่วร่าง
ศพ…บนพื้นเต็มไปด้วยโครงกระดูกของศพ ดูจากความหนา น่าจะสะสมมาเป็นเวลาไม่น้อยแล้ว…
กะโหลกศีรษะกะโหลกหนึ่งโผล่ออกมาจากกองปฏิกูลเหล่านั้น ดวงตาที่ยังไม่เน่าเปื่อยทั้งหมดหันหน้ามาทางหลิงม่อพอดี…
“นี่มัน…มนุษย์…”
เขาเงยหน้ามองเงาดำเหล่านั้นที่ห้อยต่องแต่งอยู่ไม่ไกล และหลังจากสังเกตดูอย่างละเอียด ความรู้สึกเย็นวาบนั้นก็ได้แผ่ซ่านไปจนถึงหนังศีรษะ…
เห็นชัดว่าศพบางส่วนถูกห้อยไว้ที่นี่มานานมากแล้ว จากลักษณะเด่นบางอย่างของพวกเขา อย่างเช่นนิ้วมือ กลับดูเหมือนว่าล้วนเป็นมนุษย์…ศพหลายศพก็ดูเหมือนว่าใกล้จะกลายพันธุ์แล้วด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้พวกเขากลับถูกเอามาแขวนไว้ที่นี่
ศพเพศหญิงที่อยู่ใกล้หลิงม่อที่สุดยังคงไว้ซึ่งสภาพเดิม เธอเบิกตากว้าง อ้าปากค้างเล็กน้อย และก้มหน้าจ้องมายังจุดที่หลิงม่อยืนอยู่ด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน…
—————————————————————————–