แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 308 มีความโชคดีอย่างหนึ่งชื่อมู่มู่
ตอนที่ 308 มีความโชคดีอย่างหนึ่งชื่อมู่มู่
หากถามว่าผู้ที่มากความสามารถใหนการดูแลหญิงตั้งครรภ์และเด็กคือคนสกุลไหน ดินแดนอสูรเทพเลือกจะไปขอร้องหลิวหลี
จักพรรดินีนภาพฤกษาขอความรู้จากหลิวหลีอย่างกระตือรือร้น โดยมองข้ามเรื่องที่หลิวหลีไม่เคยมีลูกมาก่อนโดยสิ้นเชิง แม้แต่แม่คนก็ไม่ใช่ด้วยซ้ำ แต่ว่าตนเองผู้ที่กำลังจะเป็นยายต้องมาขอความรู้จากหญิงสาวที่ไม่เคยคลอดลูก ช่างเป็นภาพที่งดงามเสียเหลือเกิน
“หลิวหลี เจ้าจะต้องอยู่ให้นานหน่อย ดูสิว่ามู่มู่กินเยอะขึ้นขนาดไหน” จักรพรรดินีนภาพฤกษามองลูกสาวที่เริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นมาอย่างพึงพอใจ แต่ก่อนตอนตนเองตั้งครรภ์กังวลว่าพลังบำเพ็ญเพียรจะลดลง แต่พอถึงคราวของลูกสาวกลับต่างออกไป แค่หวังให้นางกินอิ่มนอนอุ่นเท่านั้น
“ข้าจะอยู่ต่ออีกสักพัก แต่จะอยู่นานเกินไปไม่ได้ ข้าสัมผัสได้ว่าต้องเข้าฌานเพื่อบรรลุขั้น” หลิวหลีพูดจาคลุมเครือ
หมายความว่าจะบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนแล้ว เฮ้อ เป็นคลื่นลูกเก่ากับคลื่นลูกใหม่ของเด็กคนนี้ช่างน่าอนาถ คลื่นลูกเก่าไม่รู้ต้องถูกซัดกลับฝั่งอีกกี่ครั้ง ส่วนคลื่นลูกใหม่จะตามเท่าไหร่ก็ตามคลื่นลูกเก่าอย่างหลิวหลีไม่ทัน ช่างน่าเวทนา
“เฮ้อ นังหนู เจ้าทำเอาพวกข้ารู้สึกว่าทำตัวเหลวไหลไปวันๆ” จักรพรรดินีถอนหายใจ
“มิได้” หากยอมรับไป คงได้ผูกใจแค้นกันแน่
ณ วังนภาธารา ตำหนักหลิวหลี
“หากเป็นเช่นนั้น สุ่ยโหรวก็จะบรรลุขั้นเซียนนภานพเก้า กลายเป็นองค์รัชทายาทหญิง” หนานกงเวิ่นเทียนถาม ช้าเกินไปแล้ว เพิ่งจะบรรลุขั้นเซียนนภานพเก้า
“ถูกขอรับ ดังนั้นจักรพรรดินีจึงตามนายท่านให้กลับมาเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองขององค์รัชทายาทหญิง” อวิ๋นจูกล่าว
“ดีเหมือนกัน เดิมข้าก็ตั้งใจจะกลับมาเข้าฌานอยู่แล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า
“นายท่านจะเข้าฌานนี่เอง” อวิ๋นจูถอนหายใจให้กับความขยันของผู้เป็นนาย ไม่อย่างนั้นคงไม่บรรลุเป็นราชาเซียนในเวลาไม่ถึงหมื่นปีหรอก
“อืม เลี้ยงเด็กมาหลายร้อยปี ควรจะเข้าฌานได้แล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนนึกถึงเด็กร้ายจากสองคนนั้น มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย จริงๆแล้วก็น่ารักดี
“เลี้ยงเด็ก นายท่านหลิวหลีตั้งครรภ์แล้วหรือ” ยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่มีข่าวลือเลยซักนิด แถมยังตั้งสองคน จู่ๆก็เกิดนับถืออีกฝ่ายอย่างประหลาดทำอย่างไรดี
“ของเพื่อนข้า” ร่างหนานกงเวิ่นเทียนเพิ่งจะอบอุ่น ก็เย็นวาบอีกครั้ง เด็กกำลังจะกลายเป็นปมในใจของเขาแล้ว เจ้าจื่อฉีนั่นจะมีทายาทแล้ว แต่ลูกของเขานี่สิ ไม่รู้เลยว่าวาสนาจะมาเมื่อไหร่
หน้าผากของอวิ๋นจูเริ่มเหงื่อตก ดูเหมือนจะพูดผิดไป ผิดจังหวะไปเสียหน่อย
“ช่างเถอะ พอถึงวันพิธีเฉลิมฉลองค่อยมาเรียกข้า ข้าจะเข้าฌานแล้ว” อยู่ๆหนานกงเวิ่นเทียนก็นึกถึงขุนนางเซียนของหลิวหลีขึ้นมา เอาเถอะ ขุนนางเซียนของเขาไม่ได้แย่ขนาดนั้น
“ขอรับ อวิ๋นจูขอลา” รีบไปดีกว่า นายท่านเริ่มแผ่ไอเย็นออกมาแล้ว
ณ วังนภาพฤกษา หลิวหลีพูดคุยกับจักรพรรดินีอย่างสนุกสนาน ทุกคำที่หลิวหลีพูดออกมาแล้วสร้างความประหลาดใจ และจักรพรรดินีก็ได้ความรู้มาไม่น้อย และยังช่วยชี้แนะในปัญหาบางอย่างของหลิวหลี ทำให้รู้สึกเหมือนได้พบเจอแสงสว่างในความมืด ด้านข้างยังมีของกินมากมาย ไม่ว่าเสด็จแม่ของนางกับพี่สะใภ้จะพูดคุยกันอย่างสนุกสนานแค่ไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางการกินอาหารของมู่มู่ได้ ส่วนจื่อฉี หลังจากกลับมาก็เข้าฌานไปแล้ว เขาไม่ใช่หลิวหลีที่จะสามารถอดกลั้นไว้ได้ ต้องรีบหล่อหลอมมันให้กลายเป็นของๆเขา
“ดูสิ วันนี้ข้าเพิ่งจะได้รู้ว่าตอนนั้นข้าให้กำเนิดนักกินตัวน้อยออกมา” จักรพรรดินีมองลูกสาวที่เริ่มตัวอ้วนกลม หลังจากที่หลิวหลีมา ลูกสาวของนางโชคดีที่ได้เจอพี่สะใภ้ที่รู้ใจเช่นหลิวหลี
“เสด็จแม่ เรื่องที่พวกท่านคุยกันลึกซึ้งเกินไป ข้ามีพลังบำเพ็ญเพียรน้อยนิด ฟังไม่เข้าใจหรอก กินเยอะๆยังดีเสียกว่า บำรุงให้ลูกในท้องของข้า แต่ข้ารู้สึกว่าท้องของข้านั้นใหญ่มาก จะเป็นลูกแฝดเหมือนกับพี่อิงเสวี่ยไหม” มู่มู่ลูบท้องพร้อมพูด
“พอเลย ลูกสาว แม่มั่นใจว่าเป็นเพราะเจ้ากินมากไป ไม่ใช่เพราะกำลังท้องเด็กสองคนหรอก” เจ้าคิดว่าไข่แฝดหาได้ง่ายตามข้างทางหรือ ถึงจะได้มีเด็กแฝดเต็มไปหมด?
“เช่นนั้นหรือ ข้าเองก็รู้สึกว่าช่วงนี้ข้ากินเยอะไปหน่อยเหมือนกัน อาหารที่ท่านพี่ทำอร่อยมาก แถมยังหลากหลาย ข้าไม่อ้วนสิแปลก” มู่มู่บีบแก้มตัวเอง มีเนื้อมีหนัง อ้วนขึ้นไม่น้อย นางพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย ตั้งแต่ที่หลิวหลีมา มู่มู่ก็กินข้าววันละสามมื้อ แล้วยังมีชายามเช้าและยามบ่ายอีก เรียกได้ว่าวันละห้ามื้อ นางอยากปฏิเสธทุกครั้งแต่ก็พูดไม่ออก อาหารที่ท่านพี่ทำนั้นหอมเกินไป ประเด็นคือการจัดจานอาหารของนางนั้นพิถีพิถันมาก บางครั้งก็ทำเป็นรูปต่างๆจนนางไม่กล้ากิน กินไปกินมา นางไม่ทันระวังกลายเป็นเด็กอ้วนไปเสียแล้ว
“เหอะๆ มู่มู่ ถึงจะไม่ห้ามเรื่องเจ้ากินเยอะ แต่ก็ต้องออกกำลังกายด้วย เจ้าห้ามแอบอู้ ถึงเวลานั่งสมาธิก็ควรจะนั่งสมาธิ เจ้าตั้งครรภ์เซียน เจ้านั่งสมาธิดูดซับพลังเซียน เด็กก็จะได้ดูดซับด้วย หลังจากคลอดออกมาแล้วข้ามไปเป็นเซียนได้ทันที” หลิวหลีพูด น้องสะใภ้นี้โชคดีนัก อีกทั้งยังมีความคิดเรียบง่าย ไม่มีเรื่องกลุ้มใจอะไร ไม่อย่างนั้นก็คงไม่อ้วนเช่นนี้
“ข้ารู้ ข้านั่งสมาธิทุกวัน เพียงแค่ขยับได้ไม่ค่อยสะดวกนัก” คงเพราะรูปร่างเปลี่ยนไปจึงฝึกฝนบำเพ็ญเพียรลำบากเล็กน้อย
“นี่อย่างไร คือความยิ่งใหญ่ของผู้เป็นแม่ ไม่เชื่อเจ้าก็ลองถามจักรพรรดินีดู ตอนที่ท้องเจ้าอยู่ก็ขยันหมั่นเพียรมากเช่นกัน เพราะอย่างนั้นจุดเริ่มต้นของเจ้าถึงได้สูงเช่นนี้ ตอนนี้เจ้าต้องเข้มแข็งเพื่อลูกในท้องของเจ้า” หลิวหลีให้กำลังใจ
“เป็นเช่นนั้นหรือเสด็จแม่” มู่มู่มองไปมารดาตนเอง
“ใช่แล้ว ตอนนั้นแม่ไม่รู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ แค่รู้สึกแปลกที่ฝึกฝนได้ช้ากว่าแต่ก่อนมาก เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังแอบดูดซับพลังเซียนไป สุดท้ายถึงได้รู้ว่าเป็นเจ้า ที่กำลังดูดซับพลังเซียนอยู่ในท้องแม่ ทันทีที่เจ้าเกิดก็ข้ามขั้นรวบรวมปราณก่อนกำเนิดและแยกจิต บรรลุช่วงรวมกายา ใช้เวลาเพียงไม่กี่ร้อยปีจากผู้บำเพ็ญมาบรรลุเป็นเซียน และใช้เวลาไม่ถึงกี่หมื่นปีก็กลายเป็นเซียนสุขาวดี” เมื่อได้ยินคำเตือนของหลิว ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง ดังนั้นแปลว่าที่มู่มู่เป็นเจ้าตำหนัก ก็ไม่ใช่เพราะนางเป็นจักรพรรดินีนภาพฤกษา แต่เพราะความพยายามของตนเอง นางภาคภูมิใจในเรื่องนี้มากทีเดียว
“เป็นอย่างนี้เอง ข้าก็จะพยายามเหมือนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในลูกในท้องข้า” มู่มู่กำมือพูด ต่อไปในอนาคตลูกจะได้เก่งกาจ จะได้เยี่ยมยอดกว่าสองหนุ่มน้อยของบ้านพี่อาเลี่ย
“แต่ต้องมีขีดจำกัดด้วย มิฉะนั้นเด็กจะรู้สึกไม่สบาย” จักรพรรดินีกล่าว
“เข้าใจแล้ว”
“มู่มู่ ก่อนจื่อฉีเข้าฌาน เขาได้ตั้งชื่อไว้ให้ลูกไหม” อยู่ๆหลิวหลีก็ถามขึ้น
“ไม่เลย ข้าเหมือนจะท้องลูกอสูรเทพ อายุครรภ์จึงค่อนข้างนาน ไม่แน่หากจื่อฉีออกจากฌานมา ลูกอาจจะยังไม่เกิดด้วยซ้ำ” มู่มู่ส่ายหน้า
“อีกอย่างจื่อฉีเคยบอกไว้แล้วว่า เมื่อถึงเวลาให้ท่านพี่ตั้งชื่อให้ลูก เพราะชื่อของเขาท่านพี่ก็เป็นคนตั้ง ชื่อเพราะมาก ชื่อปิงเซียวกับเหลยรุ่ยท่านพี่ก็ตั้งให้เช่นกัน ไพเราะมาก” มู่มู่พูดต่อ
“มู่มู่ เจ้าไม่คิดอยากให้ข้าผู้เป็นแม่ตั้งชื่อให้หลานบ้างหรือ” จักรพรรดินีเสียใจเล็กน้อย ไม่นึกถึงหัวอกคนเป็นแม่กันบ้างเลย
“เรื่องนี้ พวกข้าไม่ได้คิดถึงเลย อย่างไรเสียท่านพี่ก็มีหลักฐานยืนยันความสามารถในการตั้งชื่อของนาง แต่ท่านแม่มีแค่ของข้า จำนวนไม่พอ” มู่มู่ส่ายหน้า ไม่ได้นึกถึงเสด็จแม่จริงๆ
จักรพรรดินีพูดไม่ออก พอพูดแบบนี้ ก็จริงอยู่ 3:1 นางเสียเปรียบอีกฝ่ายจริงๆ
“เรื่องนี้รอเจ้าคลอดก่อนค่อยว่ากันอีกที” หลิวหลีเหม่อลอย มองกันอย่างไรว่านางตั้งชื่อเก่ง ตัวนางเองยังไม่รู้เลย ทว่าสถานการณ์ของมู่มู่ดีกว่าของอิงเสวี่ยในตอนนั้นมาก เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็วางใจ ควรกลับไปเข้าฌานเช่นกัน