แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 353 หนทางก็เป็นของตนเอง
ข่าวที่ใหญ่ที่สุดในสำนักก็คือศิษย์พี่หลงหลิวหลีผู้โด่งดังเข้าฌานไปแล้ว ว่ากันว่าหากไม่บรรลุขอบเขตราชาเทพก็จะไม่ออกจากฌาน ทำให้บรรยากาศในสำนักเปลี่ยนไปในพริบตา ศิษย์พี่หลงเพิ่งบรรลุขอบเขตแม่ทัพเทพไปไม่นาน กลับต้องการจะบรรลุขอบเขตราชาเทพ พวกเราก็ไม่ควรจะขี้เกียจกันมากเกินไปใช่หรือไม่ แล้วจึงตัดสินใจทยอยเข้าฌานกัน ไม่บรรลุขอบเขตพลังต่อไปก็จะไม่ออกจากฌานเด็ดขาด ทรัพยากรไม่เพียงพอก็ทยอยกันไปทำภารกิจ กระทั่งที่พำนักของนักปรุงยาเทพหลงก็ไม่มีใครเดียดฉันท์ อย่างไรเสียรางวัลที่ได้ก็มากมายเอาการ
“หลงหลิวหลีไปเอาเสน่ห์มาจากไหน คิดไม่ถึงว่านางทำอะไรก็มีคนทำตาม” หลัวหลานงุนงง ทำไมหลิวหลีถึงได้เป็นที่ชื่นชอบมากขนาดนี้ ศิษย์พี่ใหญ่จวินหาวยังไม่มีอิทธิพลมากเท่านี้เลย
“นั่นสิ แค่เพราะนางเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเทพอัคคีหรือ? พวกเราก็ต้องแย่งชิงตำแหน่งเทพที่แท้จริงเหมือนกัน ไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิวหลีเลย” ปิงซินไม่พอใจ ตอนนี้นางรู้สึกถึงภัยอันตรายอันใหญ่หลวง โดยมีที่มาก็คือศิษย์น้องนามหนานกงเวิ่นเทียน นางเคยคิดว่าพลังของตนไม่เลว แต่กลับถูกคนผู้นั้นตบหน้าดังเพี๊ยะ นางยังพอใจในพลังบำเพ็ญเพียรขอบเขตเทพสวรรค์ของตนเอง แต่คู่แข่งของนางกลับมีพลังบำเพ็ญเพียรในขอบเขตแม่ทัพเทพและกำลังจะบรรลุขอบเขตราชาเทพ
“พอที พวกเจ้ามีปัญญาอิจฉาริษยาผู้อื่นอยู่ที่นี่ สงบจิตสงบใจตนเองแล้ว ตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญเพียร ไม่แน่อาจจะยังพอแข่งขันกับใครเขาได้ สภาพจิตใจของพวกเจ้าเละเทะจนจะเอาอะไรไปแย่งชิงตำแหน่งเทพที่แท้จริงได้ ข้ารู้สึกได้ถึงความกดดัน แต่กลับเผาจิตต่อสู้ของข้าให้ลุกโชน ข้าไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขา เป็นถึงศิษย์ระดับพิเศษรุ่นเก่า ข้าจวินหาวจะบรรลุขอบเขตราชาเทพหลังพวกเขาได้อย่างไร พวกเจ้าคิดไม่ได้ก็ทำต่อไปเถอะ เป้าหมายของการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรคืออะไร ข้าจะเข้าฌานแล้ว ไม่บรรลุขอบเขตราชาเทพจะไม่ออกมาเด็ดขาด” จวินหาวพูดจบก็หายตัวไป
“คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่ใหญ่จวินหาวจะเข้าฌานไปอีกคน” ปิงซินไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง ศิษย์พี่ใหญ่จวินหาวก็ได้รับผลกระทบไปด้วยถึงเข้าฌานไป
“ปิงซิน ข้าคิดว่าข้าเข้าใจเจตนาของศิษย์พี่ใหญ่จวินหาวแล้ว พวกเรามีแค่สถานะผู้ท้าชิง แต่ไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นเทพได้แน่นอน หากพวกเราเอาแต่พอใจในชะตาของผู้ท้าชิงจนหลุดพ้นจากมันไม่ได้ เมื่อตกลงมาพวกเราจะยิ่งน่าเวทนากว่าเดิม เจ้าค่อยๆคิดแล้วกัน ข้าไม่อยากตกลงมา ข้าจะไปเข้าฌานแล้ว” หลัวหลานพูดจบก็เดินจากไป
“ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ข้าแค่พูดเฉยๆ ทุกคนไปกันหมดแล้ว” ปิงซินกระทืบเท้าและไปเข้าฌานเช่นกัน
ส่วนฟากจวินหาวไม่ได้ตรงไปเข้าฌาน แต่ยังนึกถึงคำพูดที่ท่านน้าพูดกับเขา
“อาหาว เจ้าต้องหมั่นฝึกฝน ความสำเร็จของเจ้าไร้ขีดจำกัด อย่าถามว่าข้ารู้ได้อย่างไร ย่อมต้องมีผู้สูงส่งชี้แนะมา ท่านลุงผู้เป็นเทพแห่งดาวของเจ้าหายดีแล้ว อีกไม่นานก็จะกลับไปที่ภูเขาเทวา อีกอย่างเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าแม้ว่าข้าจะไม่สามารถกลายเป็นเทพที่แท้จริงได้ แต่ก็ยังมีทางออกอื่นอยู่” เมื่อคุยกับกับสหายเสร็จก็กลับมาเปิดอกกับหลานชาย
“ท่านน้า ข้าจะพยายาม แม้ว่าท่านจะบอกข้าว่าอนาคตของข้าไร้ขีดจำกัด ข้าจะพยายามเพื่ออนาคตนี้ หากไร้ซึ่งพลัง บำเพ็ญเพียรก็จะไม่สามารถมีอนาคตที่ดีได้” จวินหาวพูดอย่างแน่วแน่
“อาหาว เจ้าคิดได้เช่นนี้ น้าก็ปลื้มใจยิ่งนัก”
จวินหาวแน่วแน่ ตนจะต้องสืบทอดตำแหน่งเทพมารได้อย่างแน่นอน เขาจะต้องประสบความสำเร็จให้ได้เพื่อท่านน้าของเขา
ส่วนฟากเหยียนซวี่รู้สึกถึงความกดดันอันหนักหน่วงเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งเทพของตนหายไปอย่างน่าประหลาด ถึงแม้ใต้เท้าโยวหวงจะมอบเมล็ดใหม่ให้เขาแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย เมื่อได้ยินว่าหลิวหลีเข้าฌาน จวินหาวก็รีบตามเข้าฌานไปด้วย เหยียนซวี่รู้สึกได้ถึงอันตรายที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ได้การ เขาต้องเข้าฌานและต้องขยันขันแข็งเช่นกัน พอดีกับที่ช่วงนี้ใต้เท้าโยวหวงไม่มีอะไรให้เขาทำ เขาก็ต้องหมั่นฝึกฝนด้วยเหมือนกัน ได้รับใช้ใต้เท้าโยวหวงนับเป็นโชคดีของเขา แต่เขาจะชักช้าไม่ได้ นายท่านโยวหวงก็ไม่ได้บอกว่าเขาจะได้สืบทอดตำแหน่งเทพที่แท้จริงได้แน่ๆ
ดังนั้นทั้งสำนักจึงดูเงียบเหงาไปมาก คนดังไปเข้าฌานกันหมด พวกตัวเล็กๆคนอื่นก็ไร้ความหมาย
“สวีโจว เจ้าว่าเราออกเดินทางกับศิษย์พี่หลงเหมือนกัน เหตุใดศิษย์พี่ถึงดีแค่กับเจ้าล่ะ” หูชิงกลุ้มใจ ได้ยินมากๆเข้า ตัวเขาเองเกิดความสงสัยจึงอดระบายออกมาไม่ได้
“เรื่องนี้ ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ข้าเคยถามศิษย์พี่ แต่นางก็ก็ไม่เคยบอก” สวีโจวส่ายหน้า เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
“ไม่รู้ว่าท่านสวีจะช่วยแนะนำข้าให้รู้จักกับศิษย์พี่หลงได้หรือไม่?” หูชิงถามลองเชิง
“ได้น่ะมันก็ได้ แต่ว่าท่านหู เจ้าก็คงเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าศิษย์พี่ นางเข้าฌานไปเพื่อบรรลุขอบเขตราชาเทพ รอนางออกจากฌานได้หรือไม่” สวีโจวพูด เขาคิดว่าเรื่องแนะนำไม่มีปัญหา ประเด็นสำคัญคือต้องรอให้ศิษย์พี่หญิงว่างเสียก่อน
“จริงหรือ ขอบใจเจ้ามากท่านสวี” หูชิงแอบดีใจ สวีโจวเป็นคนรักษาคำพูด เขาเองก็เห็น ประโยชน์ที่สวีโจวได้รับหลังจากสนิทสนมกับศิษย์พี่หลง เพียงนึกว่าต่อไปตนจะได้รับอะไรบ้างก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
สวีโจวเห็นท่าทางเช่นนี้ของหูชิงก็แอบส่ายหน้ากับตัวเองเงียบๆ เอาแต่พึ่งพาผู้อื่นโดยไม่พยายามด้วยตนเองแบบนี้ ไม่แปลกที่ศิษย์พี่จะไม่ชายตาแล ทั้งที่ตอนแรกพวกเขามีพลังเท่ากันชัดๆ แต่ตอนนี้ตนกลับนำหูชิงไปไกลแล้ว หูชิงคิดว่าเขาได้รับความช่วยเหลือจากศิษย์พี่หลง นางเคยช่วยเหลือตนเองก็จริง แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะความพยายามของตนทั้งนั้น ที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเราคือตนเองไม่ใช่ผู้อื่น หากเขาคิดไม่ได้ พลังบำเพ็ญเพียรก็จะมีแค่เท่านั้น
“สหายหู ข้ากลับแล้ว ตอนนี้ทุกคนเข้าฌานกันหมด ข้าก็จำเป็นต้องขยันฝึกฝนเช่นกัน” สวีโจวกล่าว
“เจ้าก็จะไปเข้าฌานหรือ เฮ้อ สหายสวี เจ้าไม่ต้องจริงจังขนาดนี้ก็ได้ เจ้ามีศิษย์พี่หลงแล้ว นางยกนั่นนี่ให้เจ้าเล็กน้อย เจ้าก็พอใช้แล้ว” หูชิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ ว่ากันว่าศิษย์พี่หลงมีทรัพยากรอยู่ในมือไม่น้อย
“สหายหู พลังบำเพ็ญเพียรขึ้นอยู่กับตนเอง เจ้ามีความคิดเช่นนี้จะไปแย่งชิงกับสวรรค์ได้อย่างไร” สวีโจวไม่พอใจ ศิษย์พี่หลงไม่เคยช่วยเขาในเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ
“สหายสวี เจ้าโกรธหรือ อย่าโกรธไปเลยนะ ข้าก็แค่พูดไป” หูชิงพูดเบาๆ
“สหายหู เจ้าคิดเอาเองเถอะ ข้ากลับก่อนแล้ว ขอบเขตพลังบางส่วนกำลังอ่อนแรงพอดี ข้าต้องรีบตีเหล็กตอนมันกำลังร้อน ขอตัวก่อน” สวีโจวทำหน้านิ่ง แต่ก่อนเขาเป็นสหายกับคนประเภทนี้ไปได้อย่างไร ช่างน่าขันจริงๆ
“พอสนิทกับศิษย์พี่หลงแล้วเปลี่ยนไปเลย ดูสิ นิสัยดีขึ้นเชียว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องให้เขาแนะนำข้ากับศิษย์พี่หลงให้ได้” หูชิงไม่เข้าฌาน ไม่ทำภารกิจ เอาแต่รอให้สวีโจวออกจากฌานเพื่อพาเขาไปพบหลงหลิวหลี คนอื่นๆบ้างก็ส่ายหน้า บ้างก็ใส่ไฟ มีเพียงคนกลุ่มนั้นที่เห็นเป็นเรื่องสนุกสนานคอยทำให้เป็นเรื่องใหญ่
“ดูสิ สภาพแบบเขา ถ้าข้าเป็นศิษย์พี่หลงก็จะเลือกศิษย์พี่สวีเหมือนกัน”
“ก็จริง พวกข้าวิ่งวุ่นหาทรัพยากร ผลเก็บเกี่ยวที่ได้จะเทียบกับรางวัลจากภารกิจได้อย่างไร ลำดับความสำคัญผิด วันๆเอาแต่รอรับประโยชน์อย่างเดียวแบบนี้ หากยังไม่สำนึกกลับตัวกลับใจ ภายภาคหน้าต้องเจอวิกฤตแน่”
“จะไปสนใจเขาทำไม พวกเราพัฒนาก็พอแล้ว ไม่แน่อาจจะได้รับความชื่นชมจากศิษย์พี่หลงก็ได้”
“นั่นสิ ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่ศิษย์พี่หญิงหลงมอบให้ไม่ใช่ทรัพยากร แต่เป็นคำชี้แนะ พวกข้าฝึกฝนมาได้ถึงขั้นนี้ ทรัพยากรเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หากผู้ที่มีพลังบำเพ็ญเพียรขอบเขตสูงให้คำชี้แนะตนเองสักนิดก็จะได้ทางลัดมาไม่น้อย ได้ประโยชน์อย่างมากด้วย”
“คนเราก็นะ พึ่งพาคนอื่นมากเกินไปก็จะไม่เป็นตัวของตัวเอง”
ทุกคนล้วนรู้ดีว่าตนเองต้องการสิ่งใด หากยังหลอกตนเองอยู่ อนาคตจะเป็นเช่นไร พวกเขารู้สึกเสียดายแทนเขาจริงๆ อย่างไรเสียหนทางก็เป็นของตนเอง
……………………………….