แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 365 มู่มู่รักษาสิทธิ์
“ศิษย์พี่จื่อ ได้พูดคุยกับท่าน แล้วรู้สึกสบายใจมากทีเดียว ไม่รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย” สวีโจวกล่าว นานแล้วที่เขาไม่ได้พูดอะไรตรงไปตรงมาเช่นนี้ เหมือนจะคุ้นเคยกับการพูดจาอ้อมไปมา
“หืม” เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเร็วเกินไป เขาเริ่มจะตามไม่ทัน
“ศิษย์พี่จื่อ ท่านไม่ได้มีความหยิ่งทะนงของศิษย์ระดับพิเศษเลยแม้แต่น้อย” รวมไปถึงการมองคนผ่านปลายจมูก ราวกับพวกเขาไม่ใช่ศิษย์ที่พลังบำเพ็ญเพียรและพรสวรรค์ต่ำกว่าพวกเขา แต่เป็นคนใช้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอันตรายใดๆพวกเขาจะเป็นคนออกหน้า ผลประโยชน์ต่างๆพวกเขาได้มากที่สุด
“เจ้าพวกนั้นคืออะไร มีประโยชน์ที่ไหน เจ้าก็รู้ ข้ารำคาญคนพวกนั้นมากขนาดไหน เพราะภรรยาของข้าเป็นเพียงแค่มนุษย์เทพระดับสูง พวกเขาคิดว่าข้าถูกดึงให้ตกต่ำลงมา พยายามพูดให้ข้าเปลี่ยนภรรยา พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าภรรยาของข้าดีขนาดไหน” จื่อฉีนึกถึงคนพวกนั้นก็รู้สึกขยะแขยง พวกเขาเป็นใคร ถึงขนาดกล้ามากำหนดชีวิตของเขา ท่านพี่ของเขายังไม่พูดอะไร คนพวกนี้จะมาเสนอความคิดเห็นทำไม
สวีโจวจึงเริ่มเข้าใจ ฮูหยินของศิษย์พี่ผู้นี้มีพลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในขอบเขตเดียวกับเขาในอดีต ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของศิษย์พี่จื่ออยู่ในขอบเขตแม่ทัพเทพ คาดว่าฮูหยินของเขาคงกดดันไม่น้อย ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจแล้วว่าพลังบำเพ็ญเพียรไม่ใช่อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในความสัมพันธ์ของคู่รัก แต่ขึ้นอยู่กับว่าในใจของทั้งสองยังมีกันและกันอยู่หรือไม่ถึงจะสำคัญที่สุด เขามองออก ศิษย์พี่จื่อรักฮูหยินของเขามากจริงๆ คนโสดอย่างเขายังซาบซึ้งใจไปด้วย
“พวกเราควรจะกลับไปได้แล้ว” สวีโจวมีคำพูดมากมายแต่กลับพูดออกมาแค่เพียงประโยคเดียว มีโอกาสได้ออกมาทำภารกิจกับศิษย์พี่ถือเป็นความโชคดีของเขา แต่หากยังไม่กลับไปไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะพูดอะไรอีก เฮ้อ การหลบหนีจากความจริงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
“ก็จริง” จื่อฉีพยักหน้า ดูเหมือนว่าฮูหยินของเขาก็ใกล้จะบรรลุขั้นแล้ว
เมื่อทั้งสองคนที่กลับมายังสำนัก ก็ได้ตกเป็นเป้าสายตาหลายคู่ เป็นความรู้สึกที่ชวนให้อึดอัดไม่น้อย แต่ว่าสวีโจวก็เริ่มชินแล้ว คนพวกนั้นพูดมากแล้วอย่างไร เพราะอย่างไรศิษย์พี่หลงก็ไม่รู้จักว่าพวกเขาเป็นใครอยู่ดี ตัวเองเข้าใจอะไรมากขึ้นไม่น้อย สามารถไปเข้าฌานได้แล้ว
“สวีโจวเข้าฌานอีกแล้วหรือ คาดว่าคงจะได้รับผลประโยชน์อะไรไม่น้อยมาจากศิษย์พี่จื่อ”
“ใช่ ไม่เช่นนั้นจะกลับมาแล้วเข้าฌานในทันทีได้อย่างไร ได้ยินมาว่าศิษย์พี่จื่อเป็นน้องชายที่ศิษย์พี่หลงรักที่สุด คาดว่าในมือคงต้องมีของดีอยู่ไม่น้อย แค่เอาออกมาเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอสำหรับพวกเราแล้ว”
“เฮ้อ ทำไมพวกเราถึงไม่ได้เป็นคนที่สนิทสนมกับศิษย์พี่หลงบ้าง”
“ไม่รู้ว่ามาตรฐานในการมองคนของศิษย์พี่หลงคืออะไร”
“ไม่ยาก เป็นแบบสวีโจวก็พอแล้ว”
“จะว่าไปแล้ว ศิษย์พี่สวีโจวเป็นคนอย่างไรกันแน่”
“เอ่อ” ทุกคนชะงักไป พวกเขาไม่รู้จริงๆว่าเป็นคนอย่างไร เป็นคนดี ไม่เก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ตั้งใจบำเพ็ญเพียรฝึกฝน อยู่ๆพวกเขาก็พบว่า พวกเขาดูไม่ออกเลยว่าสวีโจวมีอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น ทุกคนพากันนิ่งเงียบ เพราะฉะนั้นบุคคลที่เป็นหัวข้อสนทนาเป็นคนอย่างไรกันแน่นั้นพวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็ยังสามารถพูดถึงได้นานขนาดนี้ ทำไปเพื่ออะไรกัน
ดังนั้น กระแสการเข้าฌานจึงได้ก่อตัวขึ้น เจ้าสำนักมองด้วยความพึงพอใจ ในที่สุดเด็กกลุ่มนี้ก็รู้แล้วว่าตัวเองผิดตรงไหน เฮ้อ เพื่อนของเขาถูกดูดกลับเข้าไปที่ภูเขาเทวาแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เทพแห่งดวงดาวที่กลับเข้าไปยังภูเขาเทวาอีกรอบ สร้างความฮือฮาไม่น้อย เพียงแต่ว่าตอนนี้เทพแห่งดวงดาวเริ่มปล่อยวาง ราวกับผิดหวังกับทุกคนที่อยู่ที่นั่น เขาจึงหาที่สงบๆแล้วก็ไปเข้าฌาน ทำตัวแบบไม่สนใจใครทั้งนั้น
จื่อฉีคาดเดาไว้ได้อย่างถูกต้อง ภรรยาของเขามู่มู่ออกฌานแล้วจริงๆ นางกลายเป็นเทพสวรรค์แล้ว
“ท่านพี่ ข้านึกว่าพวกเราจะอยู่ในขอบเขตเดียวกัน พี่ทิ้งห่างจากข้าไปอีกตั้งไกลขนาดนี้ได้อย่างไร” มู่มู่ทำปากยื่นแล้วพูดขึ้น นางนึกว่านางจะเทียบเท่ากับกับจื่อฉีแล้ว หากว่าค่อยๆพยายามสะสม ก็จะไม่มีความแตกต่างกันมาก
“น้องพี่ ไม่ต้องฝืน เรื่องการบำเพ็ญเพียร จะรีบร้อนไม่ได้ ตั้งแต่บรรลุขึ้นมา เจ้ายังไม่เคยออกไปทำภารกิจเลย การลงมือปฏิบัติเท่ากับศูนย์ ข้าออกไปทำภารกิจเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่” จื่อฉีรู้สึกว่าเขาจะเป็นผู้ใหญ่มีความรับผิดชอบ ก็ต่อเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าฮูหยินของเขาเท่านั้น เวลาอยู่ต่อหน้าท่านพี่กับพี่อาเลี่ยเขาก็ยังคงเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่งตลอดมา
“จริงสิ ท่านพี่เคยบอกไว้ ไม่ว่าพลังบำเพ็ญเพียรจะสูงเท่าไหร่ แต่หากไม่ได้ลงมือปฏิบัติจริงก็เท่ากับศูนย์” มู่มู่เข้าใจทันที ตั้งแต่นางบรรลุขึ้นมา นางก็ไม่ค่อยได้เจอพวกท่านพี่สักเท่าไหร่
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ข้าสามารถปกป้องเจ้าได้” จะไม่ยอมให้ข่าวลือที่ไม่น่าฟังทำร้ายนาง
“ข้าเชื่อในตัวท่านพี่” มู่มู่รู้สึกว่าสิ่งที่โชคดีที่สุดในชีวิตของตัวเอง ก็คือการที่เสด็จแม่ของนางเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ของนาง ตอนนี้นางมีความสุขมาก
ครั้งนี้จือฉี ไม่ได้ยินเสียงคำพูดวิจารณ์อีก เพราะคนส่วนใหญ่ไปเข้าฌานกันหมดแล้ว คนจำนวนน้อยที่เห็นพวกเขาสองสามีภรรยา อยากจะพูดแต่ก็หยุดปากไว้ ไม่พูดอะไรออกมา แน่นอนว่าคนพวกนี้ก็ยังมีบางคนที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว
“อ้าว เจ้าหนูจื่อฉี เจ้ายังไม่หย่ากับฮูหยินที่มีพลังบำเพ็ญเพียรต่ำขนาดนี้อีกงั้นหรือ พี่เคยบอกเจ้าแล้วอย่างไร เจ้าควรจะเลือกคู่ครองที่มีพลังบำเพ็ญเพียรไม่ต่างกันมาก อย่างเช่นข้าเป็นต้น” เซวียนหลิงที่พลังบำเพ็ญเพียรไม่ได้ก้าวหน้าแต่พอได้ยินว่าจื่อฉีออกฌาน ก็เล็งจื่อฉีทันที การบำเพ็ญคู่ เป็นความคิดเดียวในหัวนางตอนนี้
“ศิษย์พี่เซวียนหลิง ข้าเคยบอกแล้ว ข้าจะมีคู่ครองเป็นมู่มู่แค่เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะพูดกี่รอบก็ตาม” จื่อฉีจับมือของมู่มู่ไว้แน่น แล้วพูดขึ้นมาด้วยท่าทีจริงจัง ผู้หญิงที่น่ารังเกียจคนนี้ ในสมองวันๆเอาแต่คิดอะไร ลืมท่านพี่ไปแล้วหรือ
“เหอะๆ ศิษย์น้อง ศิษย์พี่ไม่รู้ว่าเจ้าจะอดทนไปได้นานแค่ไหน เจ้าจะต้องเสียใจในภายหลังแน่ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะกำลังเสียใจอยู่ ข้าหาข้ออ้างให้เจ้าแล้ว ทำไมเจ้ายังเอาแต่หน้าบางอีก” เซวียนหลิงเอามือป้องปากแล้วพูดขึ้น ท่าทางนั้นทำให้จื่อฉีถึงกับขมวดคิ้ว ศิษย์พี่คนนี้สมองมีปัญหาหรือ ทำไมถึงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง
“ท่านพี่ ข้าจัดการเอง ศิษย์พี่ ข้าเห็นว่าพลังบำเพ็ญเพียรของท่านก็ยังอยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์ ตอนนี้ข้าเพิ่งจะบรรลุขอบเขตพลัง ศิษย์พี่จะให้คำแนะนำศิษย์น้องหน่อยได้หรือไม่” มู่มู่ห้ามจื่อฉีเอาไว้ ท่านพี่เคยบอกว่า ระหว่างสามีภรรยา จะให้ใครคนใดคนหนึ่งทุ่มเทฝ่ายเดียวไม่ได้ นางก็จะต้องปกป้องคู่ครองของนางเช่นกัน
“ศิษย์น้อง จะดีหรือ ศิษย์พี่บรรลุขอบเขตเทพสวรรค์มานานแล้ว หากถ้าพลั้งมือไปจะทำอย่างไร” เซวียนหลิงยินดีอย่างยิ่ง ผู้หญิงคนนี้คงจะสมองมีปัญหา แต่หากประลองแล้วพลั้งมือสังหารอีกฝ่าย การประลองมีแพ้มีชนะ ต่างก็มีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ นึกไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะโง่เขลาเช่นนี้ กลับมายื่นโอกาสให้ตัวเอง อย่าโทษนางก็แล้วกัน ถ้าจะโทษก็โทษว่านางไม่อาจต้านทานความอยากที่จะเป็นเทพที่แท้จริงได้ก็แล้วกัน
“ไม่เป็นไร ท่านพี่ พี่เชื่อในตัวข้าใช่หรือไม่” มู่มู่ส่ายหัว จากนั้นก็มองไปที่จื่อฉีด้วยแววตาที่มุ่งมั่น
“ข้าต้องเชื่อเจ้าอยู่แล้ว เจ้าไปเถอะ” สู้ไม่ได้ เกิดอันตรายขึ้น เขาก็แค่ยื่นมือเข้าไปช่วย แต่จื่อฉีมองเซวียนหลิงด้วยแววตารังเกียจ ผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงได้เป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพได้ เรื่องแบบนี้ควรจะดูที่นิสัยก่อน แล้วค่อยดูที่พรสวรรค์ไม่ใช่หรือ อีกทั้งยังเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพอัคคีแบบท่านพี่ด้วย มิน่าถึงได้ถูกท่านพี่กดจนไม่มีที่ยืน แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว มีแต่คนประเภทนี้ที่คิดนอกลู่นอกทางในยามที่พลังบำเพ็ญเพียรด้อยกว่าคนอื่น คงไม่เคยได้ยินประโยคที่ว่าเสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียคนรักให้ใครสินะ เขาค่อนข้างจะเข้าใจภรรยาของตัวเองดี ตอนแรกเริ่มอาจจะเสียเปรียบเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นมันก็ไม่แน่
……………………………………………