แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 369 กลายเป็นราชาเทพ
ไม่ว่าด้านนอกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อหลิวหลี นั่นเพราะนางพบเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง นางไม่จำเป็นจะต้องออกไปไหน พลังบำเพ็ญเพียรของนางก็จะไม่อ่อนแออยู่ดี นั่นเพราะปราณสีน้ำนมในร่างกาย นางสามารถใช้ปราณนั้นฝึกฝนบำเพ็ญได้ ซึ่งได้ผลดีกว่าดูดซึมพลังเทพที่ลอยไปมาในโลกเทพเสียอีก นางรู้สึกได้ว่าพลังนี้เก่าแก่ แต่นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไรกันแน่ แต่นางก็ยังมีความคิดที่เลอะเลือนไปว่า เดี๋ยวนางคงจะรู้เองในตอนที่ใกล้จะบรรลุเป็นเทพที่แท้จริง
พลังที่ไหลวนไปมาในร่างกายเหมือนถึงขีดจำกัด จำเป็นต้องสร้างวงจรใหม่ขึ้นมา อีกทั้งนางยังพบว่าเมล็ดพันธุ์เทพในร่างก็สามารถเคลื่อนไหวไปมาตามการโคจรเคล็ดวิชา ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว นางก็จะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายได้อย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งแปลกปลอมปรากฏขึ้นในร่างกาย แต่เมื่อสัมผัสโดนเมล็ดพันธุ์เทพก็จะสลายไป ทำให้นางรู้สึกว่าร่างกายตนเองยังไม่สมบูรณ์แบบ ไม่เช่นนั้นจะมีขั้นตอนการขจัดสิ่งแปลกปลอมได้อย่างไร
ครั้งนี้หลิวหลีโคจรเคล็ดวิชา นางสัมผัสความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของร่างกายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งตนเองยังเกือบจะทะลุขีดจำกัด สร้างวงจรพลังที่ไหลเวียนขึ้นมาใหม่ แต่นางไม่รีบร้อน หากตนเองสะสมพลังได้มากพอแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นอยู่ดี
ส่วนฟากหนานกงเวิ่นเทียน เขาเองรับรู้ได้โดยบังเอิญว่าเมล็ดพันธุ์เทพในร่างกายเคลื่อนไหวตามการโคจรเคล็ดวิชา แต่พวกเขาไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนในระดับพวกเขาจะค้นพบได้เอง แต่ต้องอยู่ในระดับที่สูงกว่านี้จึงจะสามารถพบได้ ตอนนี้หนานกงเวิ่นเทียนสัมผัสได้ว่าหลิวหลีกำลังจะบรรลุขั้น พลังในร่างกายเขาเองก็มาถึงจุดหนึ่ง เหลือเพียงแค่ทะลวงจุดนั้นออกมาให้ได้ พวกเขาสองคนต่างก็เตรียมตัวจะทะลุผ่านขั้นนั้น
“ทำไมอยู่ๆถึงได้เกิดนิมิตขึ้น มีใครจะบรรลุขั้นหรือ?”
“นี่เป็นการบรรลุขอบเขตราชาเทพ พระเจ้า ใครกันที่บรรลุขอบเขตราชาเทพ ไม่อยากเห็นพวกเรามีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม”
“ใช่ศิษย์พี่หรือเปล่า ก่อนนางเข้าฌาน นางบอกว่าหากไม่บรรลุขอบเขตราชาเทพจะไม่ออกฌานเด็ดขาดดังนั้นน่าจะเป็นศิษย์พี่หลง”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่ว่าศิษย์พี่หลงจะเก่งขนาดไหน แต่ก็คงไม่น่าจะบรรลุได้ก่อนศิษย์ระดับพิเศษที่อยู่มานาน น่าจะเป็นลูกพี่จวินหาวเสียมากกว่า”
“พวกเจ้ารู้สึกไหมว่านิมิตบนท้องฟ้านี้มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ดูเหมือนไม่ใช่ของคนแค่คนเดียว”
“พอพูดเช่นนี้แล้ว หากเป็นแบบนั้นจริงๆ แปลว่านั่นคือศิษย์พี่หลงกับศิษย์พี่หนานกงหรือนี่ พวกเขาสองสามีภรรยาบรรลุขั้นตามกันติดๆ”
“พอพูดไปแล้วคงจะไม่ใช่ลูกพี่จวินหาวจริงๆ”
“พวกเจ้าไม่สังเกตเห็นอย่างอื่นเลยหรือ พอบรรลุขอบเขตราชาเทพแล้ว พวกเราก็ไม่เคยเจอศิษย์พี่พวกนั้นอีกเลย”
“พูดแล้วก็จริง ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่อื่นหรือเพราะสาเหตุอื่น”
“ไม่แน่ใจนักหรอก แต่ที่มั่นใจได้ก็คือเจ้าสำนักจะต้องรู้อะไรแน่ เพียงแต่ไม่บอกพวกเรา หรือบางทีพวกเราอาจยังไม่ถึงเวลาที่จะได้รู้ความจริง อย่างไรเสียพลังบำเพ็ญเพียรของเราก็อ่อนแอเกินไป”
“ที่จริงพวกเราก็ไม่ถือว่าแย่นัก แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อมีปีศาจลงมาเกิด พอเทียบกันแล้ว พวกเราที่เป็นศิษย์ระดับธรรมดา กลายเป็นศิษย์ระดับแย่ไปเลย เฮ้อ”
“ใช่ พูดแบบนี้ ที่จริงพวกเราก็รู้สึกละอายแก่ใจจริงๆ”
“ในที่สุดก็มาถึงแล้วหรือ เป็นราชาเทพที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ในที่สุดต้องไปอยู่ในสถานที่รวมคนเก่ง ต้องยิ่งพิสดารมากขึ้นอีกแน่ เพราะอย่างไรคนที่กลายเป็นเทพแน่ จะด้อยได้อย่างไร” หมิงเยี่ยมองนิมิตบนฟ้าแล้วพึมพำกับตัวเอง
“ความแตกต่าง แต่ข้าจะไม่ยอมแพ้ ใช่ไหม ท่านพี่หลัวหลาน” ปิงซินมองนิมิตบนฟ้าแล้วกล่าวขึ้น พวกเขาต่างรู้ดีแก่ใจว่านิมิตนี้เป็นฝีมือใคร เป็นแต่ก่อนคงพูดอะไรออกมาได้ แต่พอผ่านเรื่องราวมากมาย นางก็ค่อยๆเปลี่ยนไป หากพูดว่าแต่ก่อนนางคิดว่าตัวเองเป็นคนที่สูงส่ง ตอนนี้ธรรมดาไม่ต่างอะไรจากคนทั่วไป
“ใช่แล้ว พวกเราพยายามสุดความสามารถก็พอ ห้ามยอมแพ้เด็ดขาด” หลัวหลานพยักหน้า เด็กน้อยที่หยิ่งผยองคนนั้นโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำให้นางภูมิใจมาก
“นิมิตที่เกิดบนท้องฟ้าเป็นเพราะหลิวหลี น่าขันจริงๆ เซวียนหลิง เจ้ามันก็แค่ตัวตลก” เซวียนหลิงพาร่างที่บาดเจ็บสาหัสของตัวเอง มองขึ้นไปบนท้องฟ้า น้ำตาไหลเป็นสายเลือด แพ้แล้ว นางแพ้แล้วจริงๆ แพ้อย่างราบคาบ อาการบาดเจ็บที่เกิดจากการต่อสู้กับมู่มู่ครั้งก่อนก็ยังไม่ดีขึ้น ควรพูดว่านางไม่ได้รักษาอาการบาดเจ็บด้วยซ้ำ ตอนนี้เซวียนหลิงแหงนมองฟ้า โดยไม่ได้รู้เลยว่าเมล็ดพันธุ์เทพในร่างกายตนเองหายไปแล้ว เป็นเพราะนางไม่เคยรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง จนตัวเองค่อยๆเลือนรางไปและหายไป แต่มีคนเพียงคนเดียวที่พบนางเข้าก็คืออูหย่าที่ไม่ถูกกับเซวียนหลิง
“เซวียนหลิง เซวียนหลิง เจ้ากำลังจะสลายหายไป” อูหย่ารู้สึกกลัวน้อยๆ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ ถึงแม้แต่ก่อนความสัมพันธ์ของพวกเขาจะแย่เพียงใด แต่พอเห็นเช่นนี้ก็อดกลัวไม่ได้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
“อูหย่า คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะได้เจอคนอื่นอีก ข้าคิดว่าตัวเองจะหายไปจากโลกไปเช่นนี้ โดยที่ไม่มีใครรู้ ข้ายอมแพ้แล้ว ขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าผิดหวังที่คิดว่าข้าเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้า แต่ข้าเหนื่อยแล้ว เหนื่อยแล้วจริงๆ” เซวียนหลิงมองท่อนล่างของตัวเองที่ค่อยๆหายไปอย่างไร้ซึ่งความรู้สึก นางยอมแพ้แล้วจริงๆ
“เซวียนหลิง อย่าเพิ่งยอมแพ้ ถึงแม้ข้าจะชอบขัดกับเจ้า แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นเช่นนี้ แค่ความผิดหวังเท่านั้น แค่อดทนไว้ก็จะผ่านไป ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เจ้ายังคงมีทางรอดอยู่ ยังมีทางรอดอยู่จริงๆ” อูหย่าก็ไม่ใช่คนที่ชอบซ้ำเติมคนอื่น เพียงแต่ว่าแค่ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็นเท่านั้น
“อูหย่า ข้าเหนื่อยแล้วจริงๆ ตั้งแต่ที่หลงหลิวหลีมา ข้าก็อยู่ในความหวาดกลัวมาตลอด แต่ก่อนข้ายังมีความเชื่อว่าตัวเองจะสามารถครอบครองตำแหน่งเทพอัคคี แต่การปรากฏตัวของนางทำให้ความเชื่อของข้าแตกสลาย กระทั่งศิษย์ระดับธรรมดาข้ายังสู้ไม่ได้ ข้าเหนื่อยแล้ว เหนื่อยแล้วจริงๆ แต่การที่ได้เจอเจ้าก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ก็ถือว่าสวรรค์ยังเมตตาข้าอยู่ ไปก่อนนะ อูหย่า เจ้าจะต้องจำไว้ อย่าเป็นศัตรูกับหลงหลิวหลี เป็นศัตรูกับคนรอบข้างนางก็ไม่ได้ จะต้องจำไว้” เซวียนหลิงพูดจบก็หายไปกลายเป็นประกายแสงไฟระยิบระยับ แล้วสุดท้ายไม่เหลืออะไรเลย
ณ โลกบำเพ็ญ ฮูหยินสกุลจ้านคนหนึ่งตั้งครรภ์ เป็นเด็กผู้หญิงซึ่งก็คือเซวียนหลิง สวรรค์มีความยุติธรรม ให้นางกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง หลังจากนั้นเป็นต้นมา เซวียนหลิงก็กลายเป็นจ้านเซวียนหลิง
อูหย่าฟังคำพูดสุดท้ายของเซวียนหลิงแล้วก็ทรุดลงไปกับพื้น นางจะไม่รู้ได้อย่างไร เพียงแต่นางไม่ได้อ่อนแอเหมือนเซวียนหลิง ที่ทนไม่ได้แค่ความกดดันเพียงเล็กน้อย นางจะพยายาม นางจะลองไขว่คว้าตำแหน่งนั้นดู แต่นางก็ยังฟังคำพูดของเซวียนหลิงอยู่ นางจึงตัดสินใจอยู่ห่างๆพวกหลิวหลี สุดท้ายกลับพบว่าหลงหลิวหลีก็เหมือนกับไอน้ำที่ลอยขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้คนรู้สึกเหมือนอยู่ในฝัน พวกเขารู้จักกับคนที่ชื่อว่าหลงหลิวหลีที่มีความสามารถโดดเด่นคนนี้จริงๆงั้นหรือ
นิมิตที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนมีแสงสีทองสาดส่องลงมา
หลิวหลีรู้สึกว่าตัวเองทะลุขีดจำกัดภายในร่างกายไปแล้ว นางเหมือนบรรลุไปขอบเขตใหม่ พลังเทพในร่างกายเปลี่ยนเป็นสีเงิน เมล็ดพันธุ์เทพในร่างกายก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีแสงสีเงินล้อมรอบอยู่ด้านบน ดูศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ หนานกงเวิ่นเทียนก็เช่นกัน ดูเหมือนว่าสีเงินจะเข้ากับสีฟ้าเหมันต์มากกว่า อยู่ๆทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่าง ดึงดูดให้พวกเขาไปที่นั่น แล้วนี่ก็คือแรงดึงดูดของภูเขาเทวา ภูเขาเทวาที่ว่า เป็นสถานที่อย่างไรกันแน่