แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 379
“เรื่องนี้ข้าคิดอยู่นาน น่าจะเป็นเพราะลูกชายของท่านมีเสน่ห์เหลือล้น จึงสามารถดึงดูดพวกเขา” อวิ๋นชิงสะบัดผมเบาๆ จงใจทำท่าที่สบายๆ
“ลูกชาย พ่อของเจ้าก็ยังไม่ได้แก่จนตาบอด วีรบุรุษเทพจิ่งซู่ที่อยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเทพอัสนีทินกร จึงจะถือว่าเป็นชายงามอันดับ 1 บนภูเขาเทพ ส่วนเจ้า ไม่ต้องพูดดีกว่า” อวิ๋นเหมียวพูดถึงลูกชายตัวเองอย่างไม่ไว้หน้า ไม่ได้เฉียดกำคำว่างามอันดับ 1 แม้แต่น้อย
“ข้าเป็นลูกแท้ๆของท่านหรือเปล่า มีคนพูดจากับลูกตัวเองเช่นนี้ด้วยหรือ” สมกับที่เป็นบิดาของเขา เมื่อพบกันแล้วไม่ได้เหน็บแนมเขา คงไม่สบายใจสินะ
“ใช่สิ พ่อถึงไม่รังเกียจหน้าตาน่าเกลียดของลูกตนเอง” อวิ๋นเหมียวพูดเสียงเรียบ
“เหอะๆ น่าจะเป็นลูกไม่รังเกียจที่พ่อหน้าตาน่าเกลียดมากกว่า ฟังคำพูดท่าพ่อเข้า ข้าควรซาบซึ้งใช่ไหม ในใจท่านข้าอยู่แค่เท่านั้นหรือ” อวิ๋นชิงหัวเราะเสียงเย็นแล้วพูดขึ้น
“พอเถอะ เลิกเถียงได้แล้ว บทสนทนานี้เจ้าพาออกนอกเรื่องไปไกลเลย พูดตามตรง ราชาเทพอัคคีที่แท้จริงทำไมถึงได้เลือกเจ้า” อวิ๋นเหมียวหัวเราะไปด่าไป แล้วถามขึ้น เจ้าเด็กนี่เถียงกับเขาจนชิน เฮ้อ แต่ว่าพลังบำเพ็ญเพียรที่แตกต่างกันระหว่างพ่อลูกแบบพวกเขามีไม่มาก จักรพรรดิเทพมู่หลิน มีหลานอยู่คนหนึ่ง น่าเสียดายเพิ่งจะบรรลุตำแหน่งเทพสวรรค์ อีกทั้งยังเป็นพลังบำเพ็ญเพียรที่จักรพรรดิเทพมู่หลินใช้สารพัดทรัพยากรเสียด้วย เมื่อเทียบกันแล้ว ลูกชายจอมหลงตัวเองที่ชอบเถียงกับเขาถือว่าไม่เลวทีเดียว
“ข้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือ ว่าสัญชาตญาณบอกข้า ว่าสองคนนี้จะต้องได้ตำแหน่งเทพที่แท้จริงมาครองแน่ อีกอย่าง ท่านพ่อ ท่านไม่รู้อะไร ตอนแรกที่ข้าเจอนังหนู ก็รู้สึกถึงความสนิทสนม รู้สึกว่าการเรียกฉายาจะดูห่างเหินเกินไป ข้าก็เลยบอกชื่อตัวเอง ผลปรากฏว่าดวงตาของนังหนูกลายเป็นวังวน ข้าถูกสะกดไว้ เมื่อข้าตั้งสติได้ขึ้นมา นังหนูคนนั้นก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะมาอยู่ฝ่ายเดียวกับข้า” เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ อวิ๋นชิงก็รู้สึกสงสัยขึ้นอยู่เหมือนกัน
“เจ้าบอกว่า เจ้าถูกสายตาของนางสะกดไว้” สีหน้าอวิ๋นเหมียวจริงจังขึ้นมา เหมือนจะมีอะไรผิดปกติ ถ้าเช่นนั้นก็มั่นใจได้ว่านังหนูคนนี้จะต้องสืบทอดตำแหน่งเทพอัคคีแน่ ถ้าเป็นเช่นนี้ จักรพรรดิเทพอัคคีเพลิงก็ไม่ได้น่ากลัวมากขนาดนั้น หากว่าเป็นเช่นนี้ ลูกชายของเขาเป็นมิตรที่ดีกับนาง จะต้องได้ผลประโยชน์อย่างแน่นอน เห็นได้ชัด นังหนูคนนี้มีอิทธิฤทธิ์บางอย่างของเทพที่แท้จริง เพียงแต่เจ้าตัวอาจยังไม่รู้ น่าจะเป็นการรับรู้อนาคต สามารถมองเห็นอนาคตของคนอื่นได้
“ใช่ ดวงตาคู่นั้นเหมือนเต็มไปด้วยสิ่งที่ลี้ลับ ข้าถูกสะกดโดยไม่รู้ตัว” อวิ๋นชิงครุ่นคิด ดวงตาคู่นั้นเหมือนมีสิ่งโบราณบางอย่าง ทำให้เขาอยากจะลองไปค้นหาดู แต่เขาไม่ได้พูดประโยคนี้ให้พ่อเขาฟัง
“ลูกชาย เจ้าโชคดีแล้ว ถูกต้อง เป็นมิตรกับนังหนูนางนั้นถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เจ้าต้องรักษาความสัมพันธ์กับนางไว้ให้ดี เฮ้อ พ่อยังรู้สึกอิจฉาเลยด้วยซ้ำ” อวิ๋นเหมียวรู้สึกอิจฉาจริงๆ ทำไมเขาถึงไม่รู้ว่าลูกชายของตัวเองมีวาสนาดีขนาดนี้
“ท่านพ่อ ท่านอยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิเทพแล้ว มีอะไรน่าอิจฉากัน” อวิ๋นชิงดูหมิ่น คิดว่าเขาไม่รู้หรืออย่างไร ตำแหน่งจักรพรรดิเทพมีโอกาสช่วงชิงตำแหน่งเทพที่แท้จริงมากกว่าตำแหน่งประมุขเทพ
“เจ้าหนู หากจะบอกว่าเจ้าฉลาดนั้น บางครั้งเจ้าก็ดันโง่ใช่ได้ แต่หากจะบอกว่าเจ้าโง่ บางครั้งเจ้าก็วาสนาดีจนน่าเหลือเชื่อ จักรพรรดิเทพคืออะไร เป็นเพียงแค่ตำแหน่งที่รองจากเทพที่แท้จริง แต่ในสายตาของเทพที่แท้จริงแล้ว ไม่ได้มีฐานะอะไรเลยด้วยซ้ำ ทำได้เพียงแค่ก้มหน้ารับฟังคำสั่งพวกเขาเท่านั้น แต่เจ้ากลับโชคดี อยู่ๆก็ได้คนที่อนาคตจะได้เป็นเทพที่แท้จริงมาเป็นพวก คนที่อนาคตจะได้เป็นเทพที่แท้จริงคืออะไร ก็คือคนที่จะต้องได้เป็นเทพที่แท้จริงแน่ๆแค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น เจ้าเข้าใจไหม” อวิ๋นชิงกลอกตาใส่ลูกชายผู้โง่เขลาของเขา
“ดังนั้น เป็นเพราะเสน่ห์อันแรงกล้าของข้า ทำให้ข้าได้พรรคพวกที่สุดยอดขนาดนี้ พอคนพวกนั้นรู้เข้าจะไม่อิจฉาแย่หรือ” เมื่ออวิ๋นชิงได้ยินว่าหลิวหลีสุดยอด ก็มองข้ามคำว่าว่าที่เทพที่แท้จริงไป
“ข้าจะบอกอะไรให้ เจ้าลูกโง่ เจ้าได้ยินที่ข้าพูดว่าว่าที่เทพองค์จริงหรือไม่ คนที่เป็นว่าที่เทพที่แท้จริง หากไม่เกิดเรื่องผิดพลาดในอนาคตจะมีเทพที่แท้จริง 4 องค์ แต่หากมีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น อาจจะมีเทพที่แท้จริงที่เป็นขโยงก็ได้” อวิ๋นเหมียวเคยลองดูแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ต่อมาจึงไม่กล้าลองง่ายๆ อีก เพราะว่าเมื่อล้มเหลวหนึ่งครั้ง กำแพงที่จะบรรลุไปสู่ตำแหน่งเทพที่แท้จริงก็จะยิ่งหนาขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงความหนาของกำแพงนั้นแล้ว นี่เป็นสาเหตุว่า ทำไมทั้งๆที่ลูกชายของเขามีคุณสมบัติพร้อมแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายทดลอง เพราะเขากลัวว่าหากล้มเหลวขึ้นมา กำแพงนั้นจะหนาขึ้น ส่งผลให้ยิ่งไกลจากตำแหน่งเทพที่แท้จริงกว่าเดิม
“ดังนั้น ข้าเก่งมากเลยทีเดียว ท่านพ่อ ข้าเข้าใจความหมายของท่าน ข้าจะรักษาความสัมพันธ์ไว้ให้ดี แต่ข้าจะไม่ไปตั้งใจทำดีด้วยเพื่อหวังผลขนาดนั้น เรื่องนั้นไม่จำเป็น ท่านไม่มั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ จริงๆแล้วลูกชายของท่านก็เป็นว่าที่เทพที่แท้จริงเช่นเดียวกัน” ประโยคสุดท้าย อวิ๋นชิงพูดติดตลก แต่กลับไม่รู้ว่าความจริงที่หลิวหลีมองเห็น ก็คือสิ่งนี้
“เอาเถอะ พ่อก็ยังจะพูดคำเดิม หากเจ้ายังไม่บรรลุตำแหน่งจักรพรรดิเทพ ก็อย่าลอง” อวิ๋นเหมียวพูดด้วยท่าทีจริงจัง ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้โต้แย้งแม้แต่น้อย
“รู้แล้ว รู้แล้ว ข้ารู้ว่าท่านรู้สึกว่าข้าอายุยังน้อยอยู่ หากล้มเหลวแล้วจะทำใจไม่ได้” อวิ๋นชิงรู้สึกรำคาญน้อยๆ แต่ก็รู้ว่าท่านพ่อของเขาหวังดีกับตัวเขาเอง
“เจ้าเนี่ยนะ เจ้าก็รู้ว่าพ่อเคยล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ไม่ใช่แค่เพียงไม่กล้าลองเท่านั้น แต่กำแพงในร่างกายก็หนาขึ้นด้วย หากล้มเหลวไปเรื่อยๆ กำแพงก็จะยิ่งหนาขึ้น และยิ่งไกลห่างจากตำแหน่งเทพที่แท้จริงมากขึ้น เฮ้อ ข้าอยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิเทพแล้วยังไม่กล้า เจ้าอยู่แค่ในตำแหน่งประมุขเทพเท่านั้น ยิ่งแล้วไปใหญ่” อวิ๋นเหมียวอดทนอธิบายความจริงว่า ทำไมเขาถึงไม่อยากให้ลูกชายไปลองบรรลุเป็นเทพที่แท้จริง
“มิน่า หลายปีมานี้หลายคนหัวเราะเยาะท่านพ่อขี้กลัวไม่กล้าลงมือทำอะไร ท่านพ่อก็ไม่โต้เถียง ไม่โมโห ก็เพราะกลัวว่ากำแพงจะยิ่งหนาขึ้นเรื่อยๆใช่หรือไม่” อวิ๋นชิงเข้าใจทันที เขาก็ว่าท่านพ่อของเขาเองก็เป็นคนอารมณ์ร้อน ทำไมอยู่ๆถึงได้วางเฉย เป็นเพราะไม่มั่นใจ จึงไม่คิดจะลองอีกครั้ง เกิดจาดสาเหตุนี้นี่เอง
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” อวิ๋นเหมียวภูมิใจ ลูกชายช่างเป็นเด็กดี
“พระเจ้า ข้ารู้สึกอิจฉานังหนูคนนั้นขึ้นมาแล้ว ว่าที่เทพที่แท้จริง ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรง่ายเหมือนเวลาคนทั่วไปกินข้าวดื่มน้ำ หรือว่ามันเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม? ไม่ใช่ นังหนูคนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ของนางไปเกิดใหม่กี่ภพกี่ชาติแล้ว หรือเพราะพันธุกรรมเกิดการเปลี่ยนแปลง ด้อยกับด้อยจึงรวมกันเป็นพันธุกรรมเด่น ดังนั้นที่ข้าล้มเหลว ก็เพราะพันธุกรรมของข้าไม่ใช่เช่นนั้น” การเปลี่ยนหัวข้อสนทนาของอวิ๋นชิงทำให้อวิ๋นเหมียวเริ่มอยู่ไม่สุข อยากใช้มือบีบคอเจ้าลูกคนนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วจะจับใจความได้เช่นนี้ แถมยังโทษเขาผู้เป็นพ่ออีก
“เจ้าหนู เจ้าต้องรู้ว่าการเลือกเกิดก็ต้องใช้ฝีมือด้วยเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่า เจ้าเลือกเกิดผิดท้อง” อวิ๋นเหมียวพูดลอดไรฟัน เจอหน้ากันทีไรชอบทำเขาโมโห กลัวว่าเขาจะอายุยืนหรืออย่างไร
“ฉะนั้นเราถึงเป็นพ่อลูกกันได้ วาสนาไม่ดีเท่าไรถึงได้มาเจอกัน ผลักดันซึ่งกันและกัน ท่านพ่อ ข้ามีธุระ คงต้องขอตัวก่อน” เมื่ออวิ๋นชิงเห็นว่าพ่อตัวเองเริ่มโมโหจึงชิงหนีไปทันทีที่พูดจบ ทุกครั้งที่พูดคุยกันจะจบลงเช่นนี้เสมอ ไม่ได้มีอะไรใหม่ๆสักครั้ง แต่พอมาคิดๆเรื่องว่าที่เทพที่แท้จริง ก็ตื่นเต้นไม่น้อย ดังนั้นจึงได้คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผิดแผกไปจากทั่วไปของนาง กลายเป็นว่าคนภายนอกนึกว่าตัวเขาได้นักปรุงยามาเป็นพวก แต่ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าเขาเองได้ว่าที่ผู้อาวุโสมาเป็นพวกต่างหาก อืม ในเมื่อในอนาคตนังหนูจะเก่งกาจ ถ้าเช่นนั้นตอนนี้นางยังไม่มีความสามารถนั้น เขารังแกนางก่อนจะดีไหม แต่พอนึกถึงพลังการต่อสู้ที่โหดร้ายของหลิวหลี ช่างเถอะ เขาลองคิดใหม่ดีกว่า คิดว่าหากทำจริงๆ คนที่ซวยก็น่าจะเป็นเขา