แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 401
“เรื่องบำเพ็ญเพียรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติแล้วกัน หากจดจ่อมากเกินไปจะทำให้ผลตรงข้ามได้” อวิ๋นเหมี่ยวกล่าวเตือนบุตรชาย
“ข้าเข้าใจ ดังนั้นข้าถึงไม่ได้รีบร้อน พอรู้สึกตันข้าก็ออกจากฌาน ส่วนนังหนูนั่นกับสามีของนางก็เข้าฌานกันอีกแล้ว” อวิ๋นชิงถอนหายใจ เฮ้อ…ทำไมถึงชอบเข้าฌานกันขนาดนั้นนะ
“อืม รู้สึกว่าหากครั้งนี้พวกเขาออกจากฌาน แม้แต่พ่อเองก็มองไม่ออกเหมือนกัน” อวิ๋นเหมี่ยวรู้สึกตกใจกับความเร็วในการฝึกบำเพ็ญของสองสามีภรรยาคู่นี้ ถึงแม้เขาจะคาดเดาว่าอาจเป็นว่าที่เทพที่แท้จริง แต่ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญก็ชวนให้ตกตะลึง ตั้งแต่การเลือกกลุ่มอย่างเหนื่อยหน่าย จนมีพลังป้องกันตัวที่เพียงพอ ถึงกระทั่งสามารถทำให้ผู้คนสรรเสริญนับถือได้ในระยะเวลาอันสั้น นี่คือสิ่งที่น่าอิจฉาของว่าที่เทพที่แท้จริง
“ท่านพ่อ อย่าคิดมากไป พวกเราเองก็ไม่ได้ด้อยนักหรอก” อวิ๋นชิงปลอบใจ ในเมื่อตำแหน่งเทพยังว่างอยู่ พวกเขาเป็นคนที่มีโอกาสมากที่สุดมิใช่หรือ
“ลูกชายพ่อพูดถูกแล้ว เมื่อก่อนพ่อมักรู้สึกว่าเจ้าไม่เหมือนผู้บำเพ็ญพฤกษาเลยสักนิด เจ้าเป็นอารมณ์ร้อนเกินไป แต่บัดนี้กลับเป็นพ่อที่คิดผิดไป ลูกพ่อช่างใจกว้าง นับว่าเป็นคนใจกว้างที่หาได้ยากเสียด้วย” อวิ๋นเหมี่ยวกระเซ้า
“ข้าควรขอบคุณท่านพ่อ คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อจะค้นพบได้เร็วขนาดนี้ จนลูกชายอย่างข้าซาบซึ้งใจนัก” อวิ๋นชิงกลอกตาใส่พ่อตัวเอง จริงๆเลย ดูถูกเขาขนาดนี้ เขาเองก็ปวดใจเป็นนะเข้าใจไหม ถ้านิสัยดีเกินไปจะควบคุมคนพวกนั้นได้เช่นไร เขาไม่ได้เป็นราชาโดยกำเนิดเหมือนนังหนูหลิวหลีที่ใครเห็นเข้าแล้วจะเลื่อมใสทันที
“เจ้าคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อปะทะฝีปากกับข้าหรอกกระมัง” อวิ๋นเหมี่ยวมองลูกชายของตนเอง ลูกชายคนนี้ของเขาเป็นพวกหากไม่มีธุระคงไม่โผล่หน้ามา
“อืม ท่านพ่อ นังหนูนั่นบรรลุขอบเขตประมุขเทพน่าจะมอบยาให้ท่านพ่อแล้วสินะ หยิบให้ข้าดูสักเม็ดสิ” อวิ๋นชิงเอ่ยขึ้น เขาคิดเรื่องนี้อยู่นาน สุดท้ายถูกเรื่องรุมเร้าจนไม่มีเวลามาคิดตรึกตรอง ตอนนี้แค่คิดว่าเขาพัฒนาแล้วแต่จวี๋เจียยังรักษาตัวอยู่ เขาก็เกิดสงสัยเรื่องนั้นขึ้นมา
“ทำไมล่ะ เจ้าอยากได้ยาของพ่อหรือ เจ้ากับนังหนูนั่นมีสายสัมพันธ์อันดีเสียขนาดนั้น นังหนูนั่นไม่ให้ยาเจ้าหรือไง” อวิ๋นเหมี่ยวเอ่ยพร้อมกับแสร้งทำท่าทีตกใจ
“ข้าไม่ได้ป่วยสักหน่อย จะเอายามาทำอะไร ข้าแค่อยากยืนยันเรื่องหนึ่งก็เท่านั้น” อวิ๋นชิงถูกพ่อของเขาทำเอาหมดคำพูด นี่ยังเป็นท่านพ่อจักรพรรดิเทพผู้สูงส่งของเขาอยู่หรือเปล่า เหตุใดถึงได้โง่เขลาเช่นนี้เล่า
“เอาไป”
อวิ๋นชิงรับยามาแต่กลิ่นออกจะผิดแผกไปกว่าที่เคย เขายังจำยาที่กินในตอนนั้นได้ ที่ละลายทันทีเมื่อเข้าปาก ประสิทธิภาพของยารุนแรง พลังในการรักษาทรงพลัง เขารู้สึกได้เลยว่าบาดแผลของเขาหายเร็วมาก อีกอย่างหลังจากหายดีแล้ว ก็ไม่สามารถดูดซึมฤทธิ์ยาทั้งหมดได้ แล้วอีกอย่างที่เขาเข้าฌานก็เพราะเขาต้องการพลังปราณพฤกษาในบ้านของนางนางจริงๆ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะยาเทพศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ เขาต้องจำเป็นต้องดูดซึม ไม่ได้ต่างอะไรไปจากยาเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เคยให้ท่านพ่อของเขา ส่วนยาเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ให้เขานางตั้งใจปรุงขึ้นมาโดยเฉพาะ แค่คิดเช่นนั้นก็อบอุ่นไปทั้งหัวใจ
“คืนให้ท่านแล้วกัน ข้าไปล่ะ” หลังจากเข้าใจความจริงแล้ว อวิ๋นชิงก็จากไปอย่างรวดเร็ว ด้วยฝีเท้าที่เบาและเร็วมาก
“เจ้าเด็กนี่ พอใช้ประโยชน์เสร็จก็ไปเลย แต่ดูแล้วยาเม็ดนี้น่าจะไม่เหมือนกับยาที่เจ้าเด็กนั่นกินสินะ” อวิ๋นเหมี่ยวคาดเดาจุดประสงค์ที่บุตชายต้องการยาได้ในทันที
อวิ๋นชิงกลับมาถึงที่พักตนเองด้วยฝีเท้าที่เบาและรวดเร็ว อืม นับว่านังหนูนี่ยังมีน้ำใจ ถึงแม้ในยามปกติจะตำหนิเขาจนตัวเขาเองรู้สึกผิด แต่นังหนูนี่กลับจัดการเรื่องใหญ่ๆได้ดี นังหนูจอมลำเอียงนี้ช่างน่ารักเหลือเกิน
เอ๋าเลี่ยออกฌานมาเป็นคนล่าสุด ข่าวคราวที่ได้รับหลังออกฌานคือหลิวหลีบรรลุขั้นประมุขเทพและกลับไปเข้าฌานต่อแล้ว
“เมื่อก่อนข้าไม่เคยรู้เลยว่านังหนูจะชื่นชอบการฝึกบำเพ็ญเพียรขนาดนี้ ทำไมพอบรรลุมาโลกเทพนางถึงได้ชอบฝึกบำเพ็ญเพียรได้ล่ะ” เอ๋าเลี่ยพึมพำกับตัวเอง แต่พอได้ยินว่าอวิ๋นชิงออกฌานแล้ว ก็สบโอกาสจะได้ลองว่าผลลัพธ์จากการเข้าฌานในช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง
อวิ๋นชิงเห็นด้วยกับเจตนาการมาเยือนของเอ๋าเลี่ย หลังจากทั้งสองได้ประลองกันไปรอบหนึ่งแล้ว พวกเขาก็พออกพอใจอย่างยิ่ง ต่างก็มีพัฒนาการกันไม่น้อย และอาจเพราะทั้งคู่ล้วนเป็นสหายของหลิวหลีจึงพูดคุยถูกคอกัน
“ดังนั้นแปลว่าเมื่อก่อนพี่เอ๋าเป็นคู่พันธสัญญากับนังหนูหรือ?” ถึงแม้จะคาดเดาเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่พอได้ยินจริงๆเขาก็ยังตกตะลึงอยู่บ้าง โดยเฉพาะเรื่องสายเลือดของเอ๋าเลี่ยซึ่งเป็นสายเลือดมังกร แถมเป็นสายเลือดมังกรผู้เป็นเทพแห่งสงครามบรรพกาลอีกด้วย
“ใช่แล้ว เมื่อก่อนนังหนูนั่นไม่เข้าตาข้าเลยสักนิด แต่เพราะขยันอดทน แถมมีความสามารถในการรู้แจ้ง หลังจากที่นางทำพันธสัญญากับข้าแล้วก็ยังทำพันธสัญญากับจื่อฉี จนนางกลายเป็นคนแรกที่มีพันธสัญญาคู่ในประวัติศาสตร์ของเทพอสูรเลยเชียว” พอนึกถึงเรื่องผูกพันธสัญญากับจื่อฉี เขาก็รู้สึกราวเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่ความจริงพวกเขาเป็นราชาเทพกันหมดแล้ว ช่างผ่านไปเร็วจริง ๆ
“พันธสัญญาคู่หรือ?” เหมือนอวิ๋นชิงได้ฟังเรื่องน่าเหลือเชื่อ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำพันธสัญญาคู่ได้ ดังนั้นต่อให้นังหนูนั่นทำอะไร พวกเขาก็ไม่รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด
“ใช่แล้ว เจ้าเด็กจื่อฉีนั่นก็ทำพันธสัญญากับนังหนูเหมือนกัน” เจ้าเด็กจื่อฉีนั่นถูกหลิวหลีฟูมฟักราวเป็นทั้งลูกและน้องชาย จำต้องกล่าวว่าเจ้าเด็กนั่นเป็นคนเด็ดเดี่ยวพอควร
“อย่างนี้นี่เอง” จื่อฉีที่ว่าก็คือกิเลนม่วงผู้สูงส่งนั่นเอง แต่สิ่งที่ทำให้เขาสนใจที่สุดกลับเป็นฝาแฝดคู่นั้น สรุปแล้วมีอะไรที่แตกต่างกันแน่นะ จวี๋เจียถึงอยากช่วงชิงมาครอบครอง
“พี่เอ๋า คุณชายทั้งสองของท่าน มีความพิเศษอะไรหรือ?” อวิ๋นชิงถามอย่างสงสัย
“พิเศษสิ พิเศษมากๆเลยล่ะ ลูกชายข้าสองคนเกิดมาจากไข่ใบเดียวกัน ทำให้เรื่องรู้ใจกันนั้นไม่มีใครเทียบได้ ส่วนจุดที่พิเศษอื่นเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง ตอนนี้ข้าไม่พูดหรอก” เอ๋าเลี่ยส่ายหน้า พอนึกถึงวิธีการต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของลูกชายตนก็รู้สึกชื่นชมขึ้นมา
“ข้ารู้สึกอิจฉาพวกเจ้านัก พวกเจ้าผ่านชั้นที่ต่ำที่สุดและไต่เต้ามาถึงพลังบำเพ็ญเพียรนี้ด้วยกัน ประคับประคองกันมาตลอดทางจนมาได้โดยไม่โดดเดี่ยวเลยสักนิด” มิน่าบางครั้งเขาถึงรู้สึกว่าไม่อาจแทรกตัวเข้าไปอยู่ในบรรยากาศระหว่างพวกเขาได้เลย นับว่าอวิ๋นชิงเข้าใจในความแตกต่างนั้นแล้ว
“ใช่สิ คนที่เหมือนพวกเรามีน้อยมาก พลังบำเพ็ญเพียรของพวกเราไม่ต่างกันมากนัก นี่จึงเป็นสาเหตุที่เราให้กำลังใจกันและไม่อยากเป็นตัวถ่วงอยู่ด้านหลัง แต่ฝีเท้าของนังหนูช่างรวดเร็วนัก ตอนนี้พวกเราไล่ตามนางก็กินแรงไปไม่น้อยเลย” พูดถึงตรงนี้เอ๋าเลี่ยก็ภูมิใจในตัวเองขึ้นมา เพียงแต่แค่นึกถึงความเร็วของพลังบำเพ็ญเพียรที่บ้าระห่ำของหลิวหลี เอ๋าเลี่ยก็รู้สึกรับไม่ได้
“ก็จริง ตอนรู้จักกันนางนั้น นางยังอยู่ขอบเขตราชาเทพอยู่เลย แต่ตอนนี้บรรลุขั้นประมุขเทพแล้ว อีกอย่างนางใช่นิสัยเหมือนคนทั่วไปเสียที่ไหน ข้าได้ยินมาว่าอาจารย์ปรุงยาที่หยิ่งผยองชอบดูถูกคนอื่นพวกนั้นถูกนังหนูสั่งสอนจนต้องเข้าฌานไม่กล้าเจอหน้าใครแล้ว” พออวิ๋นชิงพูดๆไป ก็อดแขวะหลิวหลีไม่ได้ นังหนูโรคจิตนี่เกิดมาเพื่อสร้างแรงกดดันให้คนอื่นจริงๆ
“นี่ก็จริง ช่วงนี้ข้าไม่คิดจะเข้าฌานแล้ว พี่อวิ๋น ข้าขอเรียนรู้แลกประฝีมือกับท่านบ่อยๆ เพื่อพัฒนาตนเองหน่อยได้ไหม” เอ๋าเลี่ยถามอย่างจริงใจ
“ได้สิ พลังของพี่เอ๋าเองไม่เหมือนราชาเทพธรรมดาทั่วไป ได้ปะลองกันคงสนุกน่าดู” อวิ๋นชิงแสดงท่าทีเห็นด้วยอย่างพอใจ
ดังนั้นทั้งสองจึงแลกเปลี่ยนความรู้กันวันแล้ววันเล่า เป็นเช่นนี้จนกระทั่งอิงเสวี่ยออกจากฌานและกลายเป็นว่าทั้งสามคนก็มาแลกเปลี่ยนความรู้กันต่อ เหลือแค่คู่สองสามีภรรยานั่นยังไม่ออกฌาน และในที่สุดอวิ๋นชิงก็ได้รู้ความพิเศษของฝาแฝดคู่นี้เข้า
……………………………………………..