แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 402
นอกจากนังหนูใจกล้าคนนั้นแล้วก็ไม่มีใครคิดว่าจะทำเช่นนี้ได้ ถึงจะมีข้อจำกัดมากมาย อีกทั้งฝาแฝดเองก็ใจกล้าไม่เบา ไม่ว่าหลิวหลีจะพูดอะไรก็ทำตามทุกอย่างโดยไม่สงสัย ช่างใจกล้าบ้าบิ่นไม่กลัวตายจริงๆ เขาเข้าใจแล้วว่าจวี๋เจียคงเผลอไปเห็นเข้าถึงรีบอยากให้สองแฝดคู่นี้เข้ากลุ่มของเขาโดยเร็ว
“อยู่กับพวกเจ้าช่างสบายใจนัก” เขาเป็นประมุขเทพหมื่นพฤกษาที่มักทำให้คนอื่นรู้สึกดีๆ
“ประมุขเทพเป็นคนดีทีเดียว” อิงเสวี่ยกล่าว
“ท่านพี่อวิ๋นถ่อมตัวแล้ว” จื่อฉีกล่าว
“นี่ไม่ได้เกี่ยวกับการถ่อมตัวเลย จื่อฉี เจ้าว่าถ้าท่านพี่ของเจ้ารู้ว่าเจ้าใช้คำพูดมั่วซั้วเช่นนี้จะเป็นอย่างไร?” เอ๋าเลี่ยเย้าแหย่
“เรื่องนี้น่ะหรือ ท่านพี่กำลังเข้าฌานอยู่ นางไม่รู้หรอก”
“ท่านพี่ ท่านพี่หลอกลวงทั้งคนอื่นและตัวเองแล้วล่ะ คนตั้งมากมายขนาดนี้ ท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่านางจะไม่รู้เรื่องนี้” มู่มู่เม้มปากลอบขำ แต่เรื่องที่ควรค่าให้พูดถึงก็คือมู่มู่เองก็บรรลุเป็นราชาเทพแล้ว ในที่สุดสองสามีภรรยาก็มีพลังบำเพ็ญเพียรเท่ากันสักที บรรดาศักดิ์ของมู่มู่ก็คือโหรวมู่ (พฤกษานุ่มนวล) อวิ๋นชิงมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องผู้บำเพ็ญเพียรธาตุพฤกษาไม่น้อย ทำให้มู่มู่ได้ประโยชน์ไปมากพอควร
“น้องหญิง เจ้าริเป็นเด็กดื้อแล้วนะ” จื่อฉีกุมหน้าผาก น้องหญิงที่เหมือนดั่งกระต่ายขาวตัวน้อยของเขาในอดีตบัดนี้ได้เผยความเจ้าเล่ห์ออกมาแล้ว แต่เขากลับชอบยิ่งกว่าเดิม
“พูดไปแล้วว่าแต่เมื่อไรนังหนูจะออกฌานสักทีนะ” เอ๋าเลี่ยใคร่รู้เวลาออกฌานของหลิวหลี
“ท่านน้าหลิวหลีน่าจะใกล้ออกฌานแล้วล่ะ” ปิงเซียวเอ่ยขึ้น
“ใช่ ท่านน้าหลิวหลีไม่ได้บรรลุขอบเขตพลังมากมายอะไร ดังนั้นคงไม่เข้าฌานนานมากนักหรอก” เหลยรุ่ยพูดต่อ
“คาดว่านังหนูนั่นคงเบื่อๆถึงได้เข้าฌาน” เอ๋าเลี่ยแขวะ นี่เป็นเรื่องที่นังหนูทำได้อยู่แล้ว จะโทษเขาที่บ่นแบบนี้ก็ไม่ได้ นั่นเพราะนังหนูนั่นชอบแหกฎเกณฑ์
“ใช่ เดาถูกแล้วล่ะ น่าเสียดายที่ไม่มีรางวัลให้”
“หลิวหลี (นังหนู)”
“คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะคิดถึงข้าขนาดนี้ และยิ่งคิดไม่ถึงว่าช่วงที่ข้าเข้าฌาน พวกเจ้าจะเข้ากันได้อย่างดีขนาดนี้ ทำเอาข้าปลื้มใจทีเดียว” พอหลิวหลีเห็นแววตาที่ตื่นตะลึงของทุกคนจึงกระเซ้าขึ้น
“นังหนูเจ้านี่นะ กว่าข้าจะมาภูเขาเทวาได้มันไม่ง่ายเลย แต่คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะบรรลุขอบเขตประมุขเทพโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำ ตอนแรกนึกว่าเจ้าเป็นเด็กน้อยที่ต้องการให้ข้าปกป้องเสียอีก” เอ๋าเลี่ยใส่ไปหมัดหนึ่ง คำพูดที่เอ่ยออกมาทำเอาเศร้าใจอยู่บ้าง เฮ้อ เด็กน้อยที่ต้องการการปกป้องจากเขาคนนั้นไม่เพียงเติบใหญ่แต่ยังออกเรือนแล้ว และที่สำคัญกว่านั้นคือตอนนี้นางกลายเป็นคนปกป้องเขาแทน
“อาเลี่ย จะหวนรำลึกความหลังอะไรกัน คนเราต้องมองไปข้างหน้า”ทำไมหลิวหลีจะไม่เข้าใจว่าเอ๋าเลี่ยจะสื่อถึงอะไร ซาบซึ้งใจสินะ
“ส่วนเจ้าเด็กนี่ก็ยังเย็นชาเหมือนเดิม” เอ๋าเลี่ยมองหนานกงเวิ่นเทียนที่อยู่ด้านข้าง ในสายตาก็ยังมีแค่นังหนูคนเดียวไม่เปลี่ยนแปลง
“ท่านพี่อาเลี่ย อิงเสวี่ย จื่อฉี มู่มู่ พวกเจ้าก็ออกฌานกันหมดแล้วหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนมองทุกคนพร้อมพูดขึ้น
“แน่นอนสิ และสายตาพี่เขยก็มีแต่ท่านพี่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน พวกเรามันก็แค่คนนอกสายตาเท่านั้นแหละ” จื่อฉีแหย่
“พวกเจ้ามารวมตัวกันตั้งใจจะทำอะไรกันหรือ ถ้าไม่มีอะไรที่อยากทำก็มาประลองเป็นเพื่อนข้าสักรอบเป็นอย่างไร เข้าฌานจนมือไม้อ่อนเปลี้ยไปหมดแล้ว” หลิวหลีเอ่ย วิธีการผูกมิตรที่ดีที่สุดก็คือการทะเลาะกัน
“เอาสิ” เอ๋าเลี่ยดวงตาเป็นประกาย อวิ๋นชิงสีหน้าหม่นลงด้วยรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนัก
“นังหนู ขอถามเจ้าหน่อย ใบหน้าอันหล่อเหลาของข้าไปขัดหูขัดตาอะไรเจ้า คิดไม่ถึงเลยว่าจะลงมือเหี้ยมโหดเช่นนี้” อวิ๋นชิงลูบแผลบวมช้ำบนใบหน้า นังหนูนี่ก็นะ เขาเป็นถึงเทพประมุข นางยังกล้าทำร้ายรูปโฉมของเขาเลย
“ข้ายั้งมือไม่ทันนี่นา”
“ถ้าเช่นนั้นนังหนู ข้าเป็นแค่ราชาเทพ เจ้ายังใส่เต็มแรงขนาดนี้เชียวหรือ” น้ำเสียงเอ๋าเลี่ยกระเง้ากระงอดของเอ๋าเลี่ยลอยมา
“คือเรื่องนี้ ข้ารู้สึกว่าถ้าไม่ใส่เต็มแรงจะไม่ยุติธรรมกับเจ้าได้” หลิวหลีเอ่ยราวกับว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“ท่านพี่ ส่วนข้าเป็นน้องท่าน ทำไมานพี่ถึงลงไม้ลงมือกับข้าหนักหน่วงขนาดนี้ได้ลงคอ” เสียงอ่อนแรงของจื่อฉีดังลอยมา
“เจ้าเป็นน้องชายสุดที่รักของข้า ข้าเองนึกว่าจะสอนเจ้าได้ดีเสียอีก น่าเสียดายที่ฝีไม้ลายมือศิลปะการป้องกันตัวจะแย่ขนาดนี้จนทำให้ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าข้าสอนเจ้าได้ไม่ดี ดังนั้นถึงได้เผลอลงมือหนักตอนเลอะเลือน”
“นังหนู ข้าถือเป็นพี่สะใภ้เจ้า มู่มู่เป็นน้องสะใภ้ เจ้าต้องลงไม้ลงมือขนาดนี้เชียวหรือ” เสียงน้อยใจของอิงเสวี่ยดังลอยมา
“เออคือว่า พอลงมือแล้วถึงนึกได้ว่า ตอนนี้พลังบำเพ็ญของพวกเจ้าไม่ได้เรื่อง” หลิวหลีเอ่ยขึ้นอย่างหน้าด้านไร้ยางอาย
“อ้างเรื่องนี้มาแก้แค้นชัดๆ” ทุกคนประสานเสียง นอกจากสองแฝดที่ไม่โดนไปด้วย คนที่เหลือต่างได้รับบาดเจ็บกันไปไม่มากก็น้อย
“อย่าโกรธไปเลย อะนี่ ถ้าพวกเจ้าไม่บาดเจ็บยานี้คงไม่ออกฤทธิ์ พวกเจ้าสองคนอย่าแม้แต่จะคิดเลยนะ ตอนนี้ร่างกายของพวกเจ้ายังรับไม่ได้” หลิวหลีอ่านแผนการของสองแฝดออก จึงปฏิเสธโต้ง ๆ อวิ๋นชิงดวงตาเป็นประกายเพราะเป็นยานั้น
“ต่อให้เป็นแบบนี้ก็เถอะ แต่เจ้าก็ทำกันได้ลงคอจริง ๆ” เอ๋าเลี่ยรับขวดเล็กมาแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“คนเราต้องยอมทุ่มเทเพื่อเป้าหมายที่ต้องการสิ พวกเจ้าควรเข้าใจข้าบ้างว่ากลั้นใจขนาดไหน ยอมอดกลั้นต่อความเจ็บปวดบนมือของข้า” หลิวหลีทุบอกแสดงได้สมบทบาทเหลือเกิน
พวกเขาพร้อมใจกันไม่สนใจหลิวหลีแล้วกินยาเข้าไป ทันใดนั้นอวิ๋นชิงก็รู้สึกได้ว่าเป็นยาชนิดเดียวกับที่เขาเคยกินก่อนหน้านี้ อีกทั้งมีคุณสมบัติช่วยรักษาได้เป็นอย่างดี แถมภายในเหมือนมีบางอย่างที่สามารถในการไปเกิดใหม่และบำเพ็ญเพียรใหม่ด้วย มิน่านังหนูถึงได้ตระหนี่ให้แค่เพื่อนสนิทตนเท่านั้น ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล พวกเขาที่เหลือย่อมรู้สึกถึงความแตกต่างของยาอยู่แล้ว นี่เป็นตัวช่วยในการเกิดใหม่ของพวกเราหรือ เอาเถอะ เดาว่าถ้าเป็นคนอื่นมาเจอวิธีการตบหัวแล้วลูบหลังแบบนี้ก็คงยินดีทำกันทั้งนั้นแหละ อย่างไรเสียบทลงเอยเช่นนี้ ดีเสียเหลือเกิน
“นังหนู ระยะนี้เจ้ากำลังวางแผนชั่วร้ายแล้วต้องการให้พวกเราช่วยล่ะสิ” แต่พลังของพวกเราไม่พอ นังหนูเกียจคร้าน ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้โดยไม่มีต้นสายปลายเหตุหรอก
“สมแล้วที่เป็นอาเลี่ย ไหวพริบดีจริง ๆ” หลิวหลีชม
“ว่ามาเรื่องอะไร?” นังหนูคงเตรียมการอยู่ และต้องไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆแน่นอน นังหนูตัวแสบนี่คิดจะทำอะไรอีกนะ
“ยังไม่ถึงเวลา แต่เป็นเรื่องใหญ่แน่นอน” หลิวหลีพูดพลางส่ายศีรษะ
“ตอนนี้พูดไม่ได้หรือ?” อวิ๋นชิงกล่าว แต่ว่านับเขาด้วย นี่จะแปลว่าตอนนี้เขาเองก็ถือว่าเป็นคนกันเองแล้วหรือเปล่านะ
“ใช่ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา แต่ก็ใกล้แล้ว” หลิวหลีเอ่ย ถึงจะเข้าฌานเขาเองก็อยากรู้ ถึงนางจะต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ แต่ก็จะทำร้ายพวกเขาไม่ได้เช่นกัน จึงย่อมต้องทำให้พลังบำเพ็ญเพียรของพวกเขาเพิ่มขึ้น
“ต้องการให้พวกข้าทำอะไร เจ้าว่าพูดมาตามตรง คงไม่ถึงขนาดให้พวกข้าบุกไปหาศัตรู เพื่อเปิดประตูตำหนักเทพที่แท้จริงหรอกใช่ไหม” เอ๋าเลี่ยเอ่ยติดตลก
“แล้วถ้าใช่ล่ะ”
“นังหนู เรื่องนี้ไม่ตลก ขนาดขอบเขตจักรพรรดิเทพยังไม่มั่นใจ เจ้าเองเพิ่งอยู่ในขอบเขตประมุขเทพ คนพวกนี้เป็นแค่ราชาเทพเอง นี่ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย” อวิ๋นชิงเองตกตะลึงกับความใจกล้าของนาง
“เจ้าบอกเองว่าเรื่องนี้ไม่ตลกสักนิด ข้าย่อมต้องโกหกพวกเจ้าอยู่แล้ว จะให้พวกเจ้าไปทำเรื่องเสี่ยงตายแบบนั้น ทั้งที่รู้แก่ใจว่าพลังบำเพ็ญของพวกเจ้าไม่พอได้อย่างไร”