แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 404
“ในที่สุดพวกเจ้าสองคนก็เชื่อมสัมพันธ์กันเสร็จเสียที จู่ ๆป๋อเหยียนก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องของพวกเขา ทำเอาหนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างมาก แต่หลิวหลีกลับมองป๋อเหยียนอย่างนิ่งเฉยประมาณว่าตาเฒ่าอย่างท่านมาแอบดูเรื่องส่วนตัวของพวกเขาเช่นนี้ดีหรือ
“ผู้อาวุโสป๋อเหยียน” หลิวหลีเอ่ยขึ้น
“ที่ข้ามา มีเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น การคาดเดาของพวกเจ้าถูกต้อง” ป๋อเหยียนเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส” หลิวหลีมีท่าทีเคร่งขรึม เป็นเช่นนั้นจริงด้วย ไม่ใช่ข่าวดีอะไรเลยจริงๆ หนานกงเวิ่นเทียนเองก็ไม่ได้เคอะเขินแล้วแต่มีท่าทีเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย ช่างเหมือนวิญญาณตามติดไม่ไปไหน
“ข้ายังพูดไม่จบ พวกเจ้าทำตามแผนของพวกเจ้าไปก็พอ เพราะพวกเจ้าทำลายร่างทั้งสองของเขาในโลกเบื้องล่างจึงทำให้ร่างเทพของเขาเกิดปัญหา ดังนั้นถึงได้มีผู้สืบทอดตำแหน่งเทพรัตติกาลปรากฏตัวขึ้น จนเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น และเป็นเงื่อนไขที่สร้างให้พวกเจ้า ในระยะเวลาสั้นๆนี้ต่อให้เขารับรู้อะไรได้แต่ก็จะไม่ทำอะไร” ป๋อเหยียนกล่าว
“แล้วทำไมผู้อาวุโสถึงเอาเรื่องนี้มาบอกพวกข้าเล่า” หลิวหลีถามอย่างข้องใจ ท่านผู้อาวุโสท่านนี้มาอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว นางไม่เห็นว่าเขาจะเป็นคนที่กระตือรือร้นเลยสักนิด ทำไมจู่ๆถึงมาบอกเรื่องนี้กับนาง
“เพราะสถานะของเจ้า” เจ้าตัวค่อนข้างระแวดระวัง แต่ป๋อเหยียนกลับไม่แสดงท่าทีไม่พอใจใดๆออกมา
“ว่าที่เทพที่แท้จริง” หลิวหลีกล่าว มีเพียงความเป็นไปได้นี้เท่านั้น
“ทั้งใช่และไม่ใช่ เจ้านี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เจ้าเป็นว่าที่เทพที่แท้จริงก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าที่เทพอัคคีแค่นั้น เมล็ดพันธุ์แห่งเทพในตัวเจ้ามีหลากสี บัดนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และข้าเองก็ดูเจ้าไม่ออก นั่นไม่ใช่สิ่งที่ว่าที่เทพอัคคีจะมี นั่นมันเป็นสิ่งที่มหาเทพสูงสุดหรือเทพผสมมีต่างหาก อีกอย่างเมล็ดพันธุ์ของเจ้าสร้างปราณผสมขึ้นมาด้วย พอพลังเทพในร่างกายเจ้าแปรเปลี่ยนเป็นปราณผสมอย่างสมบูรณ์แล้ว ตำแหน่งมหาเทพก็จะตกเป็นของเจ้า เพียงแต่เจ้ารอให้ถึงตอนนั้นไม่ได้ และเทพรัตติกาลย่อมไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่ เพราะฉะนั้นนังหนู ขอแค่มีปราณผสมครึ่งหนึ่งก็ไปช่วงชิงตำแหน่งนั้นมาเลยเถอะ” คำพูดของป๋อเหยียนไม่ต่างอะไรกับระเบิดที่ทำให้ร่างของหลิวหลีและหนานกงเวิ่นเทียนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ความจริงช่างแสนน่าตกใ
“ถ้าเช่นนั้นท่านผู้อาวุโสป๋อเหยียน ท่านเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงรู้รายละเอียดลึกซึ้งขนาดนี้” หลิวหลีถาม นี่ไม่เหมือนเรื่องที่ผู้ดูแลควรรู้เลย
“เหอะๆ นังหนู น่าสนใจดีนี่ แต่ว่าก็ถึงเวลาบอกเจ้าแล้ว สาเหตุที่เทพที่แท้จริงสามคนนั้นไม่กล้าทำอะไรมากมายนัก นั่นเพราะข้ายังอยู่ ซึ่งข้าก็คือขุนนางเทพของเทพผสมรุ่นก่อน ไม่ใช่ตำแหน่งที่เทพที่แท้จริงที่เพิ่งมาทีหลังอย่างพวกเขาจะเทียบเทียมได้ เพียงแต่ข้าเองก็ใกล้จะถึงจุดจบแล้ว ดังนั้นนังหนู เจ้าฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังปกป้องคุ้มครองพวกเจ้าอยู่รีบเติบโตขึ้นเถอะ เพื่อนๆของเจ้าเองก็เดาสาเหตุได้แล้ว เจ้าโชคดีนัก” ป๋อเหยียนหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตก็รู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมา ทุกคนต่างพากันล้มหายตายจากกันไปหมดแล้วเหลือเขาเพียงคนเดียวลำพัง โชคดีที่ร่างกายของเขาทนอีกได้ไม่นาน จะได้ตามพวกเขาไปสักที ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย รอจนเทพผสมคนใหม่ปรากฏตัว
“ผู้อาวุโส หลิวหลีจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่” หลิวหลีคิดไม่ถึงว่าจะได้รับข่าวสำคัญเช่นนี้
“ดีมาก” ป๋อเหยียนพูดจบก็จากไป
“น้องหญิง รู้สึกว่าข่าวที่ได้มาจะเป็นเรื่องใหญ่อยู่นะ” ถึงแม้จะรู้ว่าน้องหญิงของเขาต้องสืบทอดตำแหน่งเทพสูงสุด ที่แท้ก็เรียกตำแหน่งเทพผสมนี่เอง ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ โดยเฉพาะสถานะของท่านผู้อาวุโสป๋อเหยียน
“นั่นสิท่านพี่ น้องหญิงของท่านกดดันมากเหลือเกิน ข้าต้องการผ่อนคลาย” หลิวหลีพูดจบก็ลากหนานกงเวิ่นเทียนกลับไปยังสถานที่ที่พวกเขาเพิ่งออกมา ทำเอาป๋อเหยียนยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก วิธีการผ่อนคลายของนังหนูนี่ช่างพิเศษจริง ๆ แถมทำเอาภาพฉายทั้งหมดในห้องของเขามืดสนิท เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าก่อนหน้านี้พอได้ยินสิ่งที่เขาพูด นางยังกดดันอยู่บ้าง แต่พอได้ฟังคำพูดนางกลับไร้ซึ่งแรงกดดันใด ตอนนี้เป็นเพียงการแกล้งสามีนางเฉยๆเท่านั้น แล้วอีกฝ่ายก็ดันเชื่อเสียสนิท แต่เจ้าเด็กสองคนนี้ก็เหมาะสมกันดีทีเดียว เหตุใดเทพผสมคนก่อนถึงไม่คิดหาคู่ครองที่สถานะพอๆกัน แถมยังหาข้ออ้างจากไป แล้วไหนจะยังพวกเทพที่แท้จริงหัวรั้นนั้นพวกนั้นด้วย ทำเกินไป คิดไม่ถึงว่าจะทิ้งเขาไว้เพียงลำพังเช่นนี้
“น้องหญิง อย่ากลัวไปเลย ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเอง” หลังจากสานสัมพันธ์รักกันเสร็จ หนานกงเวิ่นเทียนก็เอ่ยอย่างแน่วแน่
“ข้ารู้ ท่านพี่ขึ้นเรือลำเดียวกับข้าแล้ว ถ้ายังคิดจะลงจากเรือลำนี้ล่ะก็ คงเป็นไปไม่ได้แล้ว” หลิวหลีเอ่ยอย่างมั่นใจ
“เจ้าอย่ากดดันไปเลย พวกเราค่อยเป็นค่อยไปก็พอแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนโน้มน้าว กลัวว่านางจะมีปมอะไรแบบนั้น แล้วจะกดดันเกินไป
“ข้ารู้ พอได้ฟังคำพูดของท่านผู้อาวุโสป๋อเหยียน ข้าก็รู้สึกผ่อนคลายสบายใจเลย” คำพูดของหลิวหลีทำให้หนานกงเวิ่นเทียนชะงักไป ดังนั้นที่น้องหญิงของเขาลากเขามาทั้งที่สบายใจแล้วน่ะหรือ หนานกงเวิ่นเทียนอดเอือมระอาไม่ได้ สมองเขาต้องผิดปกติแน่ถึงได้คิดจะปลอบนาง แล้วยังให้ความร่วมมือนางขนาดนั้น ความรู้สึกที่ถูกหลอกครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตนี้ของเขาอยู่ในกำมือนางและคงดิ้นไม่หลุดแล้ว แต่เขาก็ดันเต็มใจเสียอย่างนั้น เขาดึงทึ้งเส้นผมหลิวหลีด้วยอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย
“มีท่านพี่ช่างดีจริงๆ วางใจเถอะ พวกเราเข้าใจสถานการณ์ของศัตรูในเวลานี้อย่างชัดแจ้งแล้ว ข้ารู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ ข้าตั้งใจจะทำให้ในร่างกายแปรสภาพเป็นปราณผสมครึ่งหนึ่ง ข้าจะต้องบรรลุขอบเขตจักรพรรดิเทพให้ได้ ดังนั้นขอแค่ข้าบรรลุอบเขตจักรพรรดิเทพได้ การต่อสู้ถึงจะเริ่มต้นขึ้นจริงๆ” หลิวหลีเองก็ไม่สนใจการกระทำเล็ก ๆน้อยๆของหนานกงเวิ่นเทียน กลับเป็นฝ่ายเสนอเส้นผมของตนให้เขาเอง ความรู้สึกยุบยิบทำให้นางรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ
“อย่าลืมพวกอาเลี่ยล่ะ เพราะการเคลื่อนไหวของพวกเราคาดว่าก็คงทำให้รับรู้ถึงอันตรายเช่นกัน” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“ใช่ ๆ รู้แล้วน่า เรื่องบางเรื่องก็ควรบอกพวกเขาแล้ว อย่างไรเสียพวกเขาก็รู้เรื่องเส้นผมหลากสีดวงตาหลากสีแถมยังเคยเห็นแล้วด้วย” หลิวหลีกล่าวขึ้น
“โชคดีที่เพื่อนที่เรารู้จักเป็นคนใจกว้าง ไม่มีปฏิกิริยาอะไรต่อสภาพผมสีแดงดวงตาสีแดงเจ้าในตอนนี้” หนานกงเวิ่นเทียนขบคิดดูแล้วก็รู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง
“เพราะเชื่อใจเรา ดังนั้นถึงไม่ซักไซ้มากนัก” การคาดเดานี้ของหลิวหลีใกล้เคียงความจริง เป็นดังนางว่า
“ดังนั้นพวกเราก็ควรทำให้พวกเขาสบายใจได้แล้ว แต่ว่าต้องบอกอวิ๋นชิง สวีโจว จวินหาวไหม” หนานกงเวิ่นเทียนถาม
“อืม บอกอวิ๋นชิงไม่เป็นไรหรอก แต่ช่างสวีโจวกับจวินหาวเถอะ พวกเขาสองคนเองก็กดดันอยู่ไม่น้อยแล้ว ถ้าบอกเรื่องนี้อีก ข้าคิดว่าพวกเขาคงรับไม่ไหว” หลิวหลีครุ่นคิดแล้ว ก็ตัดสินใจว่าจะไม่บอกสองคนนั้น
“ก็ดีเหมือนกัน” อย่างไรเสียอวิ๋นชิงก็ปกป้องพวกเขาอย่างแท้จริง ถึงแม้จะไม่ตัดเรื่องที่บิดาเขาเคยพูดอะไรกับเขาไว้
“ท่านพี่ ผ่านไปอีกสักระยะข้าก็จะปรุงยาเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นได้แล้ว ก่อนนี้เป็นเพราะไร้ความรู้สึก ในเมื่อตอนนี้คลายปมในใจแล้วน่าจะลองดูได้” หลิวหลีนึกถึงแมลงกู่นั่นขึ้นมาพลางคิดว่าควรใช้ประโยชน์จากมันได้แล้ว
“ก็ดี เพราะงั้นน้องหญิง เจ้าก็ยังกดดันอยู่สินะ” หนานกงเวิ่นเทียนเข้าใจทันที หลิวหลีไม่ได้ผ่อนคลายหรอกแต่หนักยิ่งกว่าเดิมต่างหาก นังหนูก็เป็นเช่นนี้ พอยิ่งเครียดก็ยิ่งทำตัวสบายๆเพื่อให้คนรอบข้างไม่กดดันมากตามไปด้วย
…………………………………………………………