แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 408
หลังจากเหยียนซวี่ไปไม่นาน เจียงไหวก็ออกจากฌาน ไม่รู้ว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน สุดท้ายก็แยกย้ายกันด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์
“แต่ราชาเทพที่เพิ่งบรรลุมาโดยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คิดจริงๆหรือว่าติดตามนายท่านแล้วจะกลายเป็นคนของเขา ตอนนี้กระทั่งจะเป็นสุนัขของนายท่านยังไม่มีคุณสมบัตินั้นเลยด้วยซ้ำ” เจียงไหวมองเงาแผ่นหลังของเหยียนซวี่พลันลอบก่นด่าในใจ
“นายท่าน เขาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง รอจนมุมเมื่อไรก็คงมาสวามิภักดิ์ต่อนายท่านแน่นอน” สมุนรับใช้ข้างกายเอ่ยขึ้น
“เหอะ สร้างเรื่องเดือดร้อนให้เขาหน่อย แต่อย่าลงมือหนักนักล่ะ ต้องทำให้เขารู้ว่าทำงานให้นายท่านก็มีลำดับขั้นอยู่” เจียงไหวเอ่ยเสียงเหี้ยม
“นายท่าน ยังมีอีกเรื่องขอรับ” สมุนรับใช้เอ่ยอย่างประจบประแจง
“ว่ามา พวกเจ้าทำอะไรอีกล่ะ อยากให้ข้าช่วยเก็บกวาดให้พวกเจ้าสินะ” เจียงไหวมองรอยยิ้มที่ประจบประแจงจนเกินงามแล้วเอ่ยถามพร้อมเลิกคิ้ว
“คือว่านายท่าน หร่วนโหรวถูกไฉ่ปู่ทำร้ายตายแล้ว” สมุนรับใช้เอ่ยพลางถูมือไปมาอย่างลังเล
“ตายแล้วหรือ ตายแล้วก็ตายไป ถึงอย่างไรเสียความทุ่มเทของข้าก็เอากลับมาไม่ได้แล้ว” เจียงไหวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ แต่ในใจเลือดไหลริน โชคดีที่ตอนนั้นเขาอดกลั้นไม่บอกนายท่านไป ไม่อย่างนั้นตอนนี้เขาจะมีหน้าอยู่ได้หรือ นายท่านเกลียดคนคุยโวหลอกเขาที่สุด
เหยียนซวี่กลับบ้านแล้วหาที่เอนกายโดยไม่มองสิ่งใดทั้งนั้น ดวงตาสองข้างว่างเปล่า รู้อยู่แล้วว่าคนที่นายท่านหามาต้องรับมือยาก คิดไม่ถึงว่าพอเจอกันก็ข่มเขาแล้ว ชีวิตแบบนี้เหนื่อยเหลือเกิน สองสามวันนี้ยังไม่ทำอะไรแล้วกัน ตอนนี้เขายังเตรียมใจไปคุยกับพวกเขาอีกครั้งไม่ได้
ส่วนฟากชวีจิ้งชวีคังสองพี่น้องออกฌานมาแล้ว ขอตัวลาราชาเทพที่เฝ้าประตูแล้วก็กลับไปยังที่พักของตนเอง จากนั้นก็รู้เรื่องที่หร่วนโหรวตาย เขาเองก็พอจะรับรู้ในความน่าเวทนานั้นบ้าง เพียงแต่ครั้งนี้รู้สึกด้านชาไม่รู้สึกอะไร แม้แต่ความคิดที่จะเก็บศพนางก็ยังไม่มี นางรับผลกรรมจากการกระทำของตนเอง พอนึกถึงความทุกข์ทรมานที่พี่ชายได้รับเขาก็อยากไปฆ่าคนพวกนั้นเหลือเกิน
“อาคัง พี่ไม่เป็นไรหรอก เรื่องในอดีตเป็นดั่งหมอกควันที่ลอยหายไปแล้ว ไม่ต้องคิดถึงมันแล้วนะ” ชวีจิ้งคลายมือที่กำแน่นของชวีคังออกแล้วเอ่ยปลอบประโลม ไม่รู้ว่าทำไมตั้งแต่เขาถูกพิษกู่ทำลายโฉมไปแล้ว ผิวหนังที่ขึ้นใหม่เกิดการเปลี่ยนแปลง เขารู้สึกว่าเหมือนน้องชายของเขาจะชอบหลบสายตาตนเอง
“ท่านพี่ ผู้หญิงคนนั้นทำร้ายท่านพี่จนท่านพี่ได้รับความลำบากขนาดนั้น แต่กลับตายง่ายๆแบบนี้ ทำไมนางถึงไม่มีชีวิตเยี่ยงสัตว์เดียรัจฉาน ” ชวีคังกัดฟันกรอด เขาได้เห็นว่าท่านพี่ของเขาได้รับการรักษาอย่างไร ถูกแผดเผานานเท่าไร เขาไม่กล้ามองพี่ชายด้วยซ้ำ มองครั้งหนึ่งก็โทษตัวเองครั้งหนึ่ง
“อาคัง พี่ก็ได้ประมุขเทพอัคคีรักษาจนหายแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าก็เห็นว่าพี่ของเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว แถมยังเจอเรื่องดีๆในเรื่องนี้ด้วย ข้าได้กลับเป็นวัยรุ่นด้วย” ชวีจิ้งรู้สึกว่าน้องชายตนหัวรั้นกัดไม่ปล่อยสักที
“มันไม่เหมือนกันๆ” ตอนนี้พอได้เห็นท่านพี่ของเขา เขารู้สึกว่านี่ไม่ใช่พี่ชายที่คอยปกป้องเขาคนนั้นอีกต่อไปแล้ว
“หรือเพราะรูปโฉมของพี่เลยทำให้เจ้าไม่ชอบใจอยู่บ้าง อาคังฟังพี่นะ ผู้หญิงคนนั้นต้องไม่ตายดีแน่ คงไม่อยู่ถึงแก่ตายหรอก อีกอย่างพวกเราก็มีความสุขดี ไม่จำเป็นต้องคิดมากขนาดนั้น คนเราต้องมองไปข้างหน้า” ชวีจิ้งมองชวีคังแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง
“ท่านพี่” ชวีคังโผกอดท่านพี่ของเขาแล้วปล่อยโฮร้องไห้อย่างปวดใจ ซุกซ่อนความรู้สึกและอารมณ์ที่หลากหลายเอาไว้ในดวงตาพอเขาเห็นรูปโฉมช่วงวัยรุ่นท่านพี่ก็นึกได้ว่าทำไมตอนแรกตนถึงได้ทำดีกับหร่วนโหรวขนาดนั้น นั่นเป็นเพราะนางมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับท่านพี่นัก เพียงแต่ตอนนี้พอเห็นท่านพี่ดูแลเอาใจใส่เขาเหมือนที่พี่ชายทำกับน้องชาย เขาทำทุกอย่างเหมือนเดิมก็พอแล้ว
“เอาล่ะ อาคัง เรื่องมันผ่านไปแล้ว เจ้าก็ได้ยินที่ประมุขเทพอัคคีกล่าว อนาคตข้างหน้าของพวกเรายังไปได้อีกไกล” ชวีจิ้งกล่าว
หลังจากนั้นสองพี่น้องก็สงบสติลง เมื่อตั้งใจฝึกบำเพ็ญเพียรพวกเขาก็พบว่าประมุขเทพอัคคีไม่ใช่คนที่พูดเกินจริง
นับตั้งแต่ราชาเทพแห่งดวงดาว (ซิงซิ่ว) เข้าไปอาศัยในบ้านไผ่ของสองสามีภรรยา เขาก็สงบลงแล้วตั้งใจฝึกบำเพ็ญ และไม่รู้ว่าเป็นเพราะผ่อนคลายหรือไม่ ถึงได้รู้สึกถึงร่องรอยของขอบเขตพลังที่ไม่เคยเปราะบางมาก่อน ส่วนป๋อเล่อที่ตอนแรกว่ากันว่าจุดจบไม่เท่าไหร่ พลังบำเพ็ญเพียรของเขาเหมือนอาศัยยาศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นจำนวนมาก ตอนที่อาจารย์รู้ว่าเขาล่วงเกินประมุขเทพอัคคีก็สลัดเขาทิ้ง เดิมทียังคิดว่าเจ้าโง่นี่ได้เรื่องอะไรจากซิงซิ่วมาบ้าง คิดไม่ถึงว่าไม่เพียงแต่ไม่ได้อะไรแล้ว แถมยังล่วงเกินประมุขเทพอัคคีด้วย ไร้ค่าเหมือนขยะเลย ตอนที่มนุษย์เราถูกทอดทิ้งจากคนที่เราคิดว่าดีกับเรา ก็จะนึกถึงคนที่เคยถูกเราชิงชังว่าเขาดีกับเรามากขนาดไหน น่าเสียดายที่ไม่มียาย้อนเวลา
ทั้งภูเขาเทวาเงียบสงบผิดปกติ ไม่เกิดเรื่องราวใหญ่โตมานานมากแล้ว ทำให้คนที่ชอบดูเรื่องสนุก รู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้นเคยนัก
โดยเฉพาะเหล่าผู้มีอิทธิพลในตอนนี้สงบนิ่งมากจริง ๆ
ถึงแม้หลิวหลีจะบอกว่าเข้าฌานปรุงยาแต่กลับไม่ได้ปรุงยาอย่างที่บอก เพราะตอนที่นางเปิดขวดหยกถูกแมลงกู่ตัวเมียพ่นพิษใส่หน้า ตอนนี้…
หลิวหลีมองเสื้อยืดบนร่างกายตนเอง กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะหูคีบ ทำไมตนถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ใช่แล้ว จุดประสงค์ที่นางออกมาก็คือที่บ้านไม่มีซอสจิกโฉ่แล้ว นางออกมาซื้อจิกโฉ่ หลิวหลีนึกได้ก็รีบออกไปทันทีราวกับว่านางลืมอะไรไป
จู่ ๆหนานกงเวิ่นเทียนที่เข้าฌานอยู่ไม่ไกลจากหลิวหลีก็ลืมตาขึ้น เหมือนน้องหญิงจะเจอเรื่องเลวร้ายอะไรสักอย่าง
พอหลิวหลีซื้อซอสจิกโฉ่เสร็จก็กลับบ้านและทำอาหารเย็น เธอกลับพบสิ่งผิดปกติว่า ตัวเองใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าพวกนี้ไม่ถนัดมือเลย ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้นี่ ถึงจะบอกว่าเธอลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนนี้ไปจนหมด แต่พอดูจากสภาพห้อง ห้องของเธอก็ไม่ได้มีฝุ่นสักเท่าไรนัก อีกอย่างกระเป๋าเดินทางก็ยังวางไว้อยู่ไม่ได้ใช้ หลิวหลีขบคิดสักพักแต่ผลคือเหน็ดเหนื่อยเกินแล้ว
ตอนอาบน้ำหลิวหลีมีท่าทีเก้ๆกังๆยิ่งกว่าเดิมจนทำให้ตัวเธอเองมุ่นคิ้ว เทำไมเธอถึงรู้สึกว่าร่างกายตนเองไร้ฝุ่นและไม่จำเป็นต้องอาบน้ำเลยล่ะ กว่าจะอาบน้ำเสร็จ แล้วเธอก็เอนกายนอนหลับไป จนสุดท้ายวันต่อมาก็ถูกเสียงดังรบกวนจนตื่น
“หลิวหลี ทำไมเธอถึงไม่รับโทรศัพท์สักที อีกอย่างทำไมเธอถึงยังไม่มาอีก เธอมาทำงานสายแล้วนะ หน้าอาจารย์เฉินเปลี่ยนสีแล้วด้วย เธอรีบมาเดี๋ยวนี้เลย” หลิวหลีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพินิจพิเคราะห์อยู่นานกว่าจะกดรับ ก่อนจะได้ยินเสียงที่ไม่สบอารมณ์นั่น
ทำงาน ใช่แล้วเธอต้องทำงาน เธอรีบร้อนจัดการตนเอง หลิวหลีก้าวขาออกไป หืม? ไม่ใช่ว่าหนึ่งก้าวของเธอควรจะเดินไปได้ไกลหรอกเหรอ ทำไมเธอยังอยู่ที่เดิมอีกล่ะ แต่ถ้าไปทำงานสายต้องซวยแน่ หลิวหลีรีบวิ่งไป โดยลืมไปเสียสนิทว่าอันที่จริงเธอโบกแท็กซี่ไปน่าจะเร็วกว่า
พอมาถึงที่ทำงานก็ถูกอาจารย์เฉินด่าไปยกหนึ่ง ในสมองของหลิวหลีไพล่คิดไปว่าแค่ตนเหวี่ยงมือขึ้นคนผู้นี้ก็จะหุบปาก แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น อาจารย์เฉินด่าจนเหนื่อยแล้ว หลิวหลีถึงได้เดินกลับไปยังที่นั่งของตนเองด้วยใบหน้าบึ้งตึง มองสิ่งที่เรียกว่างานด้วยท่าทีงุนงง พวกนี้มันอะไรกัน แต่ไม่รู้ว่านี่เป็นภาพลวงตาหรือเปล่า เธอรู้สึกว่าความจำตนเองนั้นดีอย่างยิ่ง เหมือนแค่ผ่านตาเพียงแวบเดียวก็จำได้ไม่ลืม จนทำให้คนต่างมองมาด้วยแววตาตกตะลึง แม้แต่อาจารย์เฉินเองก็ยังมองเจ้าหล่อนอย่างประหลาดใจ หรือว่ามีอะไรผิดปกติหรือ
“หลิวหลี คิดไม่ถึงว่าเธอมาทำงานสาย แต่กลับกระตุ้นความทรงจำของเธอขึ้นมาโดยไม่ได้คิดไว้แบบนี้ นี่เรียกว่าในเรื่องร้ายๆยังมีเรื่องดีอยู่” นี่เป็นเสียงในโทรศัพท์เมื่อเช้า ถึงจะไม่ได้แฝงด้วยน้ำเสียงร้อนรน แต่สัญชาตญาณบอกว่าผู้หญิงคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับตนเอง
“นี่ หลิวหลีทำไมไม่สนใจฉันล่ะ ไปสิ พวกเราไปกินข้าวกัน ในที่สุดก็ทนจนมาถึงช่วงพักเที่ยงสักที” ผู้หญิงคนนั้นกล่าวพร้อมยื่นปาก
“อืม”
“โม่หลี ไปกินข้าวกับหลิวหลีเหรอ” ระหว่างทางมีคนทักทายพวกเธอ เธอแค่พยักหน้า ที่แท้ผู้หญิงที่ลากเธอมาชื่อโม่หลีนี่เอง โม่หลี โม่หลี ชื่อนี้คุ้นหูจังแฮะ
“หลิวหลี เธออยากกินอะไรเหรอ” โม่หลีถาม
“กินอะไรกัน ฉันไม่หิวหรอก” ถึงหลิวหลีจะตอบอีกฝ่ายแบบนั้น แต่ท้องกลับส่งเสียงร้องออกมา หลิวหลีรู้สึกสงสัยทำไมถึงมีอาการหิว เธอไม่ควรจะหิวข้าวสิ แต่เสียงประท้วงที่กังออกมาบอกเธอว่า เธอจำเป็นต้องกินข้าว
“หลิวหลี เธอไม่หิวจริง ๆเหรอ” โม่หลีมองหลิวหลีอย่างแปลกใจ ตกลงหลิวหลีเป็นอะไรไปกันแน่ ดูแปลกๆ
“หิวสิ” หลิวหลีพยักหน้าตามสัตย์จริง ท้องบอกเธอแบบนี้ เพียงแต่ทำไมเธอถึงหิวได้นะ เธอกำลังขบคิดเรื่องนี้อยู่
สุดท้ายอาหารเที่ยงก็จบลงท่ามกลางบรรยากาศที่แสนจะประหลาดนี้ พอพวกเขาสองคนกลับไป หลิวหลีก็ถูกโม่หลีลากเข้าไปในห้องว่างเปล่าห้องหนึ่ง
“หลิวหลี พูดมาตามตรงเลยนะว่าตกลงเธอเป็นอะไรกันแน่ ทำไมเธอถึงดูผิดปกติจัง” โม่หลีพูดด้วยท่าทางจริงจัง ปกติแล้วหลิวหลีจะพูดมากกว่า กินได้มากกว่า ความจำแย่ไม่ได้เรื่อง ไม่เคยมาทำงานสาย และสาเหตุที่มักจะโดนอาจารย์เฉินด่าก็เพราะทำงานเละเทะ แต่วันนี้กลับแตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง