แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 412
ยากนั่นแหละ แต่นางไม่กลัว เพียงแต่ว่า หลิวหลีขมวดคิ้ว หนทางที่จะนำไปสู่ตำหนักเทพที่แท้จริงนั้นแยกจากภูเขาเทวา คิดว่าหากเยี่ยโยวหวงคอยจับตามองตนเองอยู่ก็คงจะลงมือที่นั่นกระมัง เพียงแต่เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว นางทำได้เพียงลองดูสักตั้ง
“ท่านพี่ ออกจากฌานแล้วนะ” หลิวหลีตะโกน โดยไม่แพร่งพรายเรื่องสำคัญนี้แม้แต่นิดเดียว
“อืม”
“ดีเหลือเกิน นังหนูนั่นกลายเป็นจักรพรรดิเทพแล้ว” ป๋อเหยียนมองหลิวหลีอย่างชื่นชม แต่ดูเหมือนนางกำลังปิดบังอะไรอยู่ ไม่ต้องการให้คนรู้
จักรพรรดิเทพทั้งห้าคนหัวใจสั่นระรัว มีจักรพรรดิเทพคนใหม่เกิดขึ้น ใครกัน เป็นใครกันแน่
“ลูกชายของข้าทำสำเร็จแล้วหรือ” อวิ๋นเหมี่ยวเดา น่าจะมีลูกชายของเขาด้วย รู้สึกเหมือนมองเห็นทุกอย่าง แต่ปราการบางๆนั้นขวางหูขวางตาจริงๆ” เอ๋าเลี่ยพูด เขารู้สึกถึงพละกำลังเต็มเปี่ยมของตน รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในวันวาน อีกทั้งยังปรารถนาในตำหนักเทพมากขึ้น
“ใช่ ตอนนี้อยู่ๆก็ไม่อยากทะเลาะวิวาทแล้ว รู้สึกมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ” ปิงเซียวพูด ฝาแฝดคู่นี้ไร้ซึ่งความกังวลเช่นกัน ความลำบากเช่นนั้นพวกเขายังทนมาได้ อีกทั้งผ่านมาถึงสองรอบติดกัน
“ใช่ ข้าอยากให้ตำหนัก 1 ในนั้นเป็นของข้า” เหลยรุ่ยพูดอย่างตรงไปตรงมา
“นั่นสิ รู้สึกเหมือนตัวเองควรกลับไปที่ๆควรอยู่ได้แล้ว” อวิ๋นชิงบอกความรู้สึกของตนเอง เป็นเช่นนี้จริงๆ
“นังหนู เจ้าล่ะ”
“ดีจนไม่รู้จะดียังไงแล้ว” ความกระหายจะต่อสู้ของนางมีเต็มเปี่ยม อยากรู้ว่าตนกับเทพที่แท้จริงแตกต่างกันแค่ไหน ส่วนแววตาที่กระหายในการต่อสู้ในดวงตานั้นลุกโชนในดวงตา ทุกคนล้วนเข้าใจผิดว่านางต้องการจะครอบครองตำแหน่งมหาเทพสูงสุดให้ได้
“ขอโทษที ข้ามาสายแล้ว” สวีโจวกล่าวขอโทษ กลิ่นอายทั่วร่างทำให้หลายคนนิ่งไป ความรู้สึกนี้มัน
“แค่กๆ ข้าลืมบอกพวกเจ้าไป สวีโจวคนนี้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเทพรัตติกาล” หลิวหลีแนะนำ แล้วมองคนเหล่านั้นด้วยแววตาใสซื่อ ทุกคนราวกลายเป็นรูปปั้น ทำเอาสวีโจวทำตัวไม่ถูก เขามีอะไรผิดปกติงั้นหรือ
“หลิวหลี เจ้าบอกว่า คนผู้นี้คือผู้สืบทอดตำแหน่งเทพรัตติกาลหรือ ใช่เทพรัตติกาลเดียวกับที่พวกข้ารู้จักไหม” เอ๋าเลี่ยเน้นคำว่าเทพรัตติกาลเป็นพิเศษ
“ถูกต้อง เป็นเทพรัตติกาลเดียวกันนั่นแหละ” หลิวหลีพยักหน้าว่าเป็นอย่างที่พวกเขาเข้าใจ ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย เป็นแบบนั้นเลย
“ท่านพี่ ท่านคอยฝึกฝนจิตใจพวกข้าอยู่เสมอเลยจริงๆ” จื่อฉีก็ไม่รู้จะพูดอะไร นี่เป็นเรื่องใหญ่แต่พี่สาวของเขากลับพูดถึงมันผ่านๆ
“หลิวหลี ถึงเราจะไม่เคยเจอเทพรัตติกาลคนนั้น แต่เขาก็เป็นเทพที่แท้จริงนะ เป็นเทพที่แท้จริงของแท้เลย แล้วผู้สืบทอดคนนี้โผล่มาจากไหนกัน” นี่ช่างน่าตกใจ มืออวิ๋นชิงสั่นระริก หลิวหลีต้องล้อเขาเล่นแน่ นี่มันไม่เหมือนเป็นเรื่องจริงเลย
“เรื่องนี้น่ะ สวรรค์ทนไม่ได้ที่เห็นเทพรัตติกาลคนนั้นผิดศีลธรรม จึงเลือกผู้สืบทอดขึ้นมาดังนั้นได้เวลาเปลี่ยนเทพรัตติกาลแล้ว” แววตาของหลิวหลีฉายประกายแววตื่นเต้น เทพรัตติกาล เจ้าคิดจะสังการข้าไม่ใช่หรือ มาดูกันว่าเจ้าจะฆ่าข้าหรือข้าจะกำจัดเจ้าได้ก่อน สวรรค์ทนดูความประพฤติของเจ้าไม่ไหว ถึงได้ส่งหนามยอกอกมาให้
“นังหนู เจ้าลืมบอกเรื่องนี้กับเราใช่หรือไม่” สัญชาตญาณของเอ๋าเลี่ยบอกว่านางลืมบอกพวกเขา ไม่ใช่ตั้งใจมาวางระเบิดในวันนี้
“รู้ความจริงก็ไม่ต้องพูด น่าอายจะตายไป” แต่ทุกคนกำลังมองหลิวหลีที่หน้าไม่เปลี่ยนสี นังหนู เจ้าอายก็ช่วยทำท่าเหมือนคนอายหน่อยเถอะ แค่จะทำให้พอเป็นพิธียังขี้เกียจ ทำร้ายจิตใจพวกเขาแบบนี้ดีนักหรือไง
“เอาล่ะ เรามองข้ามปัญหานี้ไปก่อนได้ ไม่รู้สึกว่ามั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมหรือไง” หลิวหลีย้อนถาม พอพูดแบบนี้แล้ว ทุกคนก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ มักรู้สึกว่าได้ขึ้นเรือลำเดียวกับนาง แล้วเป็นเรือที่ขึ้นแล้วลงไม่ได้เสียด้วย
“นังหนู เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าลืมบอกพวกข้า” อวิ๋นชิงพูดพลางแสร้งยิ้ม
“ข้าไม่ได้มาสายใช่ไหม” เสียงของจวินหาวแทรกเข้ามาเสียงอ่อน
ยังมีอีกคน คนผู้นี้เป็นใครมาจากไหนอีก อย่าบอกพวกเขาเชียวว่าคนผู้นี้ก็มาชิงตำแหน่งเทพเช่นกัน แถมเป็นตำแหน่งเทพที่มีเทพที่แท้จริงครองอยู่
“พวกเจ้าไม่ต้องวิเคราะห์กันแล้ว คนผู้นี้มีเพียงตำแหน่งเดียว ผู้สืบทอดตำแหน่งเทพมาร” หลิวหลีกลอกตาใส่ ความเชื่อใจของตนย่ำแย่จนถึงขั้นที่ขาดความเชื่อใจตนขนาดนี้ จิตใจของนางถูกทำร้ายอย่างหนัก ต้องการการปลอบโยนจากสามี
“น้องหญิง ครั้งนี้เจ้าทำไม่ถูกจริงๆ” คำพูดของหนานกงเวิ่นเทียนทำให้หัวใจของหลิวหลีแตกเป็นเสี่ยงๆ สามีของนางไม่เข้าข้างนาง ความรู้สึกโดดเดี่ยวช่างเจ็บปวดเหลือเกิน
“ท่านพี่ ไม่เล่นแล้วได้หรือไม่ ยังมีใครอีกไหม” จื่อฉีมองหลิวหลีที่กำลังดำดิ่งในหัวตนเอง ก็ตัวไม่ถูก
“ก็ได้ พวกเราไปกันเถอะ ไม่มีใครแล้ว จำไว้นะว่าพวกเจ้าสามารถกลายเป็นเทพได้ อย่าถอดใจ” หลิวหลีเปลี่ยนท่าที มาเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง
ความเร็วของจักรพรรดิเทพนั้นรวดเร็วมากจนไม่มีใครรับรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่ แค่ตกใจที่พบว่าตำหนักเทพมีจุดบอด
“บ้าเอ้ย นี่มันคนที่โหดเหี้ยมพวกนั้นนี่ เพิ่งจะบรรลุขอบเขตจักรพรรดิเทพก็ทนไม่ไหวอยากสืบทอดตำแหน่งเทพที่แท้จริงเสียแล้ว”
“ใช่ อวดดีเกินไปแล้ว”
“ว่าคนอื่นอวดดี แล้วพวกเจ้ามีคุณสมบัติให้อวดดีหรือไง”
“ข้ารู้แล้ว มีคนหนึ่งคือประมุขเทพหมื่นพฤกษา (ว่านมู่)”
“อวิ๋นเหมี่ยว ทำไมเจ้าถึงไม่ห้ามลูกชายเจ้า นี่มันชักจะโอหังเกินไป” จักรพรรดิเทพเหลยหยางกล่าว พวกเขายังไม่ทันได้เตรียมตัว หมอนี่ก็ไม่เหมือนคนโง่ ทำไมถึงได้บ้าดีเดือดแบบนี้
“อวดดีงั้นหรือ ลูกชายของข้ามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น” อวิ๋นเหมี่ยวพูดอย่างหยิ่งยโส แต่มือกลับสั่นระริก ในที่สุดลูกชายของเขาก็มาถึงเวลานี้แล้ว
“อวิ๋นเหมี่ยว ทำไมเจ้าดูแปลกไป” เหลยหยางรู้สึกว่าอวิ๋นเหมี่ยวผิดปกติเล็กน้อย
“เหลยหยาง เจ้ารู้ไหม ข้าเฝ้ารอคอยวันนี้มานานแค่ไหน ตัวข้าเองทำไม่ได้ แต่ลูกชายของข้าได้แทนข้า” อวิ๋นเหมี่ยวกล่าว
หลิวหลีมองประตูตำหนักเทพอัคคี สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ข้ามาแล้ว แต่ทันใดนั้นก็ถูกคนโจมตีโดยไม่ได้ตั้งตัว สีหน้าของหลิวหลีนิ่งไป
“ใครก็สามารถลองสืบทอดตำแหน่งเทพที่แท้จริงได้ แต่เจ้าเท่านั้น หลงหลิวหลี ที่ไม่ได้” เสียงเยี่ยโยวหวงดังขึ้น
หลิวหลีรู้สึกได้ถึงเสียงแตกร้าวของเมล็ดพันธุ์ตนเอง แล้วไหนจะสีหน้าเหลือเชื่อของคนอื่นที่เหลือ หลิวหลีอยู่ในท่าผลักประตูแต่ไม่ได้ออกแรงผลักมัน ป๋อเหยียนเองก็กำลังดูอยู่เช่นกัน จ้องแน่วแน่ไม่ยอมละสายตา คนชั่ว เขาป้องกันอย่างไรก็ไม่สามารถป้องกันไว้ได้
“เยี่ยโยวหวง” ป๋อเหยียนเอ่ยชื่อเทพรัตติกาลลอดไรฟัน
“ป๋อเหยียน ที่นี่ไม่ใช่ภูเขาเทวาของเจ้า เจ้าอย่ายุ่ง” ในใจของเยี่ยโยวหวงมีความสุข เขาแขวะอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ
ความหวังตลอดหลายปีของป๋อเหยียนถูกทำลายลงในพริบตาเดียว เทพผสมถือกำเนิดง่ายมากนักหรือ เขารอคนผู้หนึ่งมาอย่างยากลำบาก แต่กลับถูกผู้ที่มีจิตใจชั่วช้าทำลายมัน จะไม่ให้เขาโมโห ไม่โกรธได้อย่างไร
ทั้งสองต่อสู้พัวพัน แต่กลับไม่มีใครสังเกตได้ถึงความผิดปกติของหลิวหลี เมล็ดพันธุ์ในร่างกายของนางปริแล้วจริงๆ แต่กำลังแตกสลายเพื่อสร้างเมล็ดพันธุ์ใหม่ เปลือกของเมล็ดพันธุ์สีรุ้งที่แตกออกมาถูกกลุ่มก้อนสีรุ้งที่ปรากฏขึ้นจากด้านในดูดซึมไปทีละน้อย โชคดีที่ป๋อเหยียนดึงสนใจของเทพรัตติกาลไว้ วงแหวนสีรุ้งเล็กๆของนางกำลังดูดซึมอย่างขยันขันแข็ง ฟากหนึ่งทั้งสองคนที่กำลังต่อสู้ติดพัน ส่วนฟากหลิวหลีก็กำลังดูดซับอย่างสบายใจ อีกทั้งยังจงใจแสร้งทำเป็นแตกสลาย เทพพสุธากับเทพวายุที่จริงๆตั้งใจมาดูเรื่องสนุกๆ ก็รู้สึกเสียดายที่หญิงสาวที่ดูจะมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเทพอัคคีที่สุด แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงเช่นกัน มองดูผมสีรุ้งที่เกินความจริงนั้น ไม่สามารถจะปิดบังตัวตนที่แท้จริงของนางได้แล้ว
“นังหนูคนนี้ ไม่ได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเทพอัคคี แต่เป็นมหาเทพสูงสุด มหาเทพสูงสุดที่พูดถึงกันปรากฏตัวขึ้นแล้ว”
ทุกคนคิดไม่ถึงว่าบทสรุปของเรื่องจะเป็นเช่นนี้ต่างก็รับไม่ได้ ที่แท้ก็เป็นมหาเทพสูงสุด เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ไม่ควรเป็นเช่นนี้ ไม่ควรเลย
สองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ชะงักไป มองดูผมสีรุ้งของหลิวหลีตัวค้างแข็ง และนางที่หายดีแล้วนั้น มีดวงตาสีรุ้งที่ลึกล้ำจนคนไม่เห็นก้นบึ้ง
หลงหลิวหลีมองเทพรัตติกาลพลางยิ้มพร้อมกับเอียงศีรษะ เยี่ยโยวหวงอ่านปากของหลิวหลีได้สองคำว่า ‘ขอบคุณ’ เกือบจะโกรธจนประสาทเสียแล้ว แต่หลิวหลีกลับดันประตูเข้าไป เยี่ยโยงหวงมองดูประตูตำหนักเทพอัคคีที่ปิดสนิท เขาถูกเจ้าเด็กนี่วางกับดักเอาไว้แต่แรกหรือเปล่านะ หรือควรจะบอกว่าพวกเขาต่างก็ตกหลุมพรางนาง ใครจะรู้ว่านังหนูไม่ใช่ผู้สืบทอดตำแหน่งเทพอัคคี แต่เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งมหาเทพสูงสุด ไม่ได้ ตำแหน่งนั้นต้องเป็นของเขาเท่านั้น ไม่ว่าใครก็ห้ามแย่งไปทั้งนั้น เยี่ยโยวหวงพุ่งเข้าไปตำหนักด้านในสุด
“คิดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวหวงยังไม่ยอมแพ้อีก”
“จิตใจชั่วร้ายไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ามหาเทพสูงสุดจะเป็นผู้หญิง”
………………………………………..