แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 102 ทั้งชีวิตเลยก็ได้
ตอนที่ 102 ทั้งชีวิตเลยก็ได้
หลินม่ายออกไปที่ร้านค้าเล็ก ๆ ของรัฐที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก เพื่อซื้อหมึก พู่กัน กระดาษ เพื่อใช้เขียนประกาศรับสมัครคนงาน
ลำพังเธอและโจวฉายอวิ๋นทำงานกันแค่สองคนค่อนข้างจะหนักเอาเรื่อง ทำให้ตกลงกันว่าจะจ้างคนเพิ่มเป็นผู้ชายซักสองคน
หญิงสาวบังเอิญเห็นลุงขายซึ้งถูกป้าหูลากไปที่บ้านของหล่อน แต่ไม่รู้ว่าทั้งสองกำลังคุยเรื่องอะไรกัน
ป้าหูเห็นว่าหลินม่ายมองอยู่จึงมีท่าทางหลบเลี่ยงเล็กน้อย น่าจะเพราะเรื่องที่ผ่านมา
หลินม่ายอดไม่ได้ที่จะขวมดคิ้ว นี่มันยายแม่มดเฒ่าจอมหยิ่งไม่ใช่เหรอ พอเจอกันแบบนี้ก็ทำทีเป็นหลบหน้าอย่างนั้นสินะ
หญิงสาวไม่ได้สนใจอะไร เธอตรงไปที่ร้านค้าเพื่อซื้อของแล้วก็กลับมาที่บ้าน
โจวฉายอวิ๋นเอาซึ้งไม้ไผ่อันใหม่ออกมาจากห้องครัว เมื่อเห็นว่าหลินม่ายนั่งเขียนพู่กันอยู่ที่โต๊ะก็ทิ้งตัวลงนั่งด้วยความสงสัย
แม้ว่าหญิงสาวจะมีดวงตากลมโตราวกับนกฮูก แต่น่าเสียดายที่ไม่สามรถจดจำตัวหนังสือได้มากมายอะไร
จดจ้องอยู่นานก็ไม่เข้าใจความหมายของข้อความที่ถูกเขียน “เขียนอะไรอยู่เหรอ”
หลินม่ายตอบโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง “ประกาศรับสมัครงาน”
แล้วอธิบายเพิ่มเติมว่า “ฉันว่าจะหาผู้ชายมาช่วยงานซักสองสามคน”
โจวฉายอวิ๋นถามด้วยความสงสัย “เราทำกันสองคนไม่พอเหรอ ถ้ามีคนเพิ่มมาจะเป็นการเพิ่มต้นทุนหรือเปล่า”
หลินม่ายเหล่มองอีกฝ่าย “แต่ทุกวันนี้เราทำงานกันไม่ได้พักเลย ถ้ามีผู้ชายสักสองสามคนมาช่วยก็ได้พักบ้าง แถมเมื่อเช้าตอนขายซาลาเปา ลูกค้าหลายคนบอกว่าแค่ซาลาเปาไข่ต้มดองซีอิ๊วสองอย่างไม่พอ เลยอยากเพิ่มเมนูข้าวต้ม ข้าวหมาก แล้วก็เกี๊ยวต้มมาอีก ถ้าเราทำกันแค่สองคนก็คงเพิ่มเมนูไม่ได้ จ้างคนเพิ่มนั่นแหละดีแล้ว”
โจวฉายอวิ๋นถามเพิ่ม “แล้วอยากจ้างเพิ่มกี่คน”
หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “คนหนึ่งมาช่วยทำซาลาเปา คนหนึ่งมาช่วยห่อเกี๊ยว อีกคนมาช่วยต้มเกี๊ยว แล้วก็ต้องมีคนมาช่วยขายของตอนนี้อยากได้สักสี่คน”
เมื่อธุรกิจเริ่มไปได้ดีหลินม่ายวางแผนจะเพิ่มลูกจ้างอีกซักสองคนแล้วก็จะได้อยู่อย่างสบาย ๆ ได้เสียที
เธอไม่อยากจะเป็นเหมือนในชาติก่อน เพื่อประหยัดเงินค่าจ้างกลับต้องแลกกับการต้องเหนื่อยทำงานหนักไปจนแก่ เพราะงั้นต้องรีบจัดการทุกอย่างไว้ตั้งแต่ตอนนี้
เมื่อมีโอกาสอีกครั้ง เธอจะไม่ยอมแลกเงินเหล่านั้นกับสุขภาพของตัวเองเป็นอันขาด
หลังจากเขียนประกาศรับสมัครและติดประกาศไว้ที่ประตูเรียบร้อย หลินม่ายก็ขึ้นไปพักผ่อนที่ชั้นบน
วางแผนที่จะหลับซักงีบ แล้วไปซื้อข้าวเหนียว กับอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับทำข้าวหมาก
ข้าวต้มและเกี๊ยวจะเริ่มขายได้เมื่อมีคนมาเพิ่ม แต่ข้าวหมากจะต้องขายในวันพรุ่งนี้ ไม่อย่างนั้นก็จะมีแต่ของแห้งติดคอมาขาย ลูกค้าคงหนีกันหมด
คนเจียงเฉิงชอบกินอาหารเช้าที่มีทั้งของแห้งให้เคี้ยวและแบบมีน้ำด้วยจะได้เข้ากัน
เมื่อหญิงสาวเข้าไปในห้องก็พบว่าโต้วโต้วนอนหลับอยู่ที่เปลของตัวเอง
นั่นทำให้หลินม่ายประหลาดใจเล็กน้อยเพราะคิดว่าลูกกำลังเล่นกับเด็ก ๆ อยู่ด้านนอก
แต่หลินม่ายไม่ได้คิดอะไรมาก เป็นเรื่องที่ปกติเด็ก ๆ จะง่วงเพราะเหนื่อยจากการเล่น
หลังจากที่ฟางจั๋วหรานออกจากร้านซาลาเปาของหลินม่าย ชายหนุ่มยังไม่กลับบ้าน แต่เขาไปที่สำนักงานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์เขตฮั่นโข่ว เพื่อยื่นขอใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจให้หลินม่าย
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลูกชายของผู้อำนวยการหลิวตรวจพบถุงน้ำในตับ ซึ่งปกติไม่ใช่โรคร้ายแรงและไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
แต่เพราะมีสุขภาพอ่อนแอตั้งแต่เด็กและตับของเขาก็เสียหายอย่างรุนแรง
ทำให้ไม่มีใครกล้าทำการผ่าตัดให้ลูกชายของเขา ทำได้เพียงแค่นอนรอความตายเท่านั้น
เป็นฟางจั๋วหรานที่ใช้ทักษะการผ่าตัดอันยอดเยี่ยมมาช่วยชีวิตลูกชายของเขาและไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ
ผู้อำนวยการหลิวมีลูกชายเพียงคนเดียว อีกฝ่ายจึงรู้สึกขอบคุณอย่างมาก เคยแสดงความขอบคุณเขาด้วยซองแดงแต่แพทย์หนุ่มไม่ได้รับเอาไว้
ฟางจั๋วหรานขอให้เขาช่วย แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธ
นอกจากจะมีเอกสารพร้อมอยู่แล้วทำให้สามารถยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ จึงไม่ผิดกฎหมายอะไรที่จะช่วยฟางจั๋วหราน
เพียงแต่ว่าฟางจั๋วหรานยังไม่มีข้อมูลของหลินม่ายที่จะใช้ในการสมัคร ซึ่งผู้อำนวยการหลิวไม่สามารถออกเอกสารให้ได้ต้องได้ข้อมูลส่วนนี้ก่อนถึงจะสามารถทำใบอนุญาตให้ได้
ฟางจั๋วหรานเข้าใจในเรื่องนั้นดี
เขามาติดต่อในครั้งนี้เพื่อขอข้อมูลให้แน่ใจว่าผู้อำนายการหลิวจะสามารถช่วยเรื่องนี้ได้หรือไม่ เพราะถ้าไม่ได้เขาจะได้ลองไปติดต่อคนอื่น
เมื่อรู้ว่าผู้อำนวยการหลิวสามารถช่วยได้ก็รู้สึกวางใจ
ฟางจั๋วหรานไม่ได้รีบกลับไปที่ร้านซาลาเปาของหลินม่าย แต่กลับไปที่โรงพยาบาลผู่จี้และค้นหาคูปองอุตสาหกรรมของเพื่อนร่วมงาน
หลังจากได้คูปองอุตสาหกรรมครบ 10 ใบ ก็ไปที่ห้างสรรพสินค้าทันทีเพื่อซื้อโทรทัศน์ขาวดำ 14 นิ้วยี่ห้อโบตั๋นให้กับโต้วโต้ว
เมื่อนึกถึงโต้วโต้วที่ต้องไปคอยยืนดูทีวีที่หน้าบ้านคนอื่นเขาก็รู้สึกแย่เหมือนกับการเห็นลูกตนเองถูกรังแก
ชายหนุ่มกลับมาที่ร้านของหลินม่ายพร้อมกับทีวีเครื่องใหม่ แต่พบเพียงโจวฉายอวิ๋นที่ขายของอยู่
เมื่อเห็นฟางจั๋วหรานที่ออกไปแล้วกลับมาอีกครั้งก็คิดว่าเขาลืมอะไรหรือเปล่า
ทันทีที่เห็นว่าชายหนุ่มซื้อทีวีมาให้โต้วโต้ว โจวฉายอวิ๋นก็ตกใจมาก
ทีวีราคามากกว่า 400 หยวน เทียบได้กับราคาของบ้านสองชั้นหลังเล็ก ๆ ในชนบท แต่ผู้ชายคนนี้กลับซื้อมันมาให้โต้วโต้วได้อย่างสบาย ๆ
โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
โจวฉายอวิ๋นไม่กล้ารับของชิ้นใหญ่นี้โดยไม่ได้ถามหลินม่ายก่อนจึงรีบขึ้นไปชั้นบน
แม้ว่าหลินม่ายจะหลับสบายอยู่แต่เธอก็ไม่ลังเลที่จะเข้าไปปลุก “หลินม่าย ตื่นก่อน ๆ ลุกขึ้นเร็ว”
หลินม่ายลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย “เกิดอะไรขึ้น?”
โจวฉายอวิ๋นตาโตเท่าไข่ห่าน “เรื่องใหญ่แล้ว อาจารย์ฟางซื้อทีวีมาให้โต้วโต้ว”
เมื่อหลินม่ายได้ยินดังนั้น ความงัวเงียในตอนแรกก็หายไปทันที
คิดว่าตัวเองฟังผิดไป “ทีวี?”
โจวฉายอวิ๋นพยักหน้าอย่างจริงจัง
หลินม่ายลุกขึ้นจากเตียงในทันที ตามคนเป็นพี่ลงไปชั้นล่าง พบว่าฟางจั๋วหรานกำลังช่วยเฝ้าร้านให้อยู่
มีกล่องกระดาษแข็งขนาดใหญ่อยู่บนโต๊ะด้านหลังของเขา และคำว่า โบตั๋น TV ก็เขียนไว้บนกล่องกระดาษแข็งอย่างโดดเด่น
ฟางจั๋วหรานได้ยินเสียงคนมาจากด้านหลัง ชายหนุ่มจึงหันกลับมายิ้มให้เจ้าของร้าน “ผมขายไข่ต้มดองซีอิ๊วได้ทีเดียวตั้ง 5 ฟอง”
แต่หลินม่ายชี้ไปที่ทีวีแทน “ฉันรับไว้ไม่ได้ นี่มันแพงเกินไป”
ฟางจั๋วหรานตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ผมซื้อให้โต้วโต้ว”
“ไปซื้อมาจากไหน ยังไงก็รับไว้ไม่ได้หรอก” หญิงสาวยืนยันหนักแน่น
แต่ชายหนุ่มยิ้มกริ่มขึ้นมา “ผมซื้อมาแล้ว คืนไม่ได้ด้วย จะให้ทำยังไง”
ในยุคสมัยนี้สินค้าที่ซื้อจากห้างสรรพสินค้าของรัฐไม่มีการรับประกันหรือเปลี่ยนคืน
หลินม่ายชะงักนิ่ง ตอนแรกคิดว่าจะบอกให้เขาเอาทีวีไปให้คุณปู่คุณย่าฟาง
แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าในชนบทไม่มีสัญญาณโทรทัศน์ ถ้าส่งมันไปที่นั่นคงหนีไม่พ้นจะกลายเป็นแค่ของตกแต่งเท่านั้น
หลังจากที่ไตร่ตรองดูแล้วก็บอกเขาไปว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะซื้อทีวีเครื่องนี้ต่อ จะรีบจ่ายคืนให้หมดในสองเดือนได้ไหม”
ฟางจั๋วหรานเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าตอบ “แต่ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินหรอก เอาเป็นเลี้ยงอาหารในร้านนี้แทนละกัน”
หลินม่ายตกตะลึง “แค่เงินยี่สิบเหรียญที่คุณให้ฉันซื้อเฟอร์นิเจอร์ยังตั้งนานกว่าจะจ่ายคืนได้ แล้วทีวีนี่จะต้องใช้เวลาเท่าไร ทั้งชีวิตเลยงั้นเหรอ”
ชายหนุ่มยิ้มตอบ “ก็…ทั้งชีวิตเลยก็ได้”
โจวฉายอวิ๋นที่เป็นคนกลางมองไปทั้งสองคนด้วยความรู้สึกสงสัยในบรรยากาศระหว่างหนุ่มสาวทั้งคู่
แต่ก็ไม่แน่ใจว่าอะไรที่มันแปลก
หลินม่ายยกมือขึ้นมาเกาคิ้วตัวเองและในที่สุดก็ต้องปล่อยเลยตามเลย รับข้อเสนอของเขา
เธอเตรียมการจะย้ายทีวีไปที่ชั้นบน
“เอามาสิ ผมช่วยเอง” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะดึงทีวีไปจากมือของเธอ
เขาวางทีวีไว้ที่ชั้นบนในห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่สองแม่ลูกมักจะเข้าไปนั่งพักผ่อน
ฟางจั๋วหรานวางโทรทัศน์ลงแล้วกล่าวว่า “ผมไปเจอผอ.หลิว ที่สำนักงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์ของฮั่นโข่ว เขาบอกว่าจะช่วยออกใบอนุญาตทำธุรกิจให้คุณ แต่ว่าต้องเตรียมเล่มทะเบียนบ้านกับเอกสารการสมัครมาก่อน แล้วเดี๋ยวผมจะพาไปทำใบอนุญาตด้วยกัน”
หลินม่ายรีบหยิบเล่มทะเบียนบ้านออกมาจากตู้ กรอกเอกสารสำหรับสมัครอย่างรวดเร็ว และออกไปที่สำนักงานกับฟางจั๋วหรานทันที
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แน่ใจเหรอว่าแค่น้องสาว ขนาดซื้อทีวีมาให้แล้วให้เขาจ่ายหนี้ทั้งชีวิตนี่ไม่เรียกว่าน้องสาวแล้วนะคะพี่หมอ
ตกใจเหมือนกันค่ะ เรือลำน้อยจู่ๆ อัพเกรดเป็นเรือสำราญเฉย
ไหหม่า(海馬)