แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 125 สัปปะรดแสนอร่อยสองลูก
ตอนที่ 125 สัปปะรดแสนอร่อยสองลูก
โจวฉายอวิ๋นกลับมาพร้อมกับตำรวจ เมื่อเธอเห็นว่าหลินม่ายและฟางจั๋วหรานอยู่ที่ร้านแล้วก็สบายใจขึ้น
เธอรีบตรงเข้ามาหาคนเป็นน้องแล้วถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง “ไปตรวจมาแล้วใช่ไหม เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
เพราะทั้งหมดเป็นแค่ละครตบตาเพื่อให้การทะเลาะกันจบลงเท่านั้น หลินม่ายจึงไม่จำเป็นต้องเล่นละครต่อหน้าตำรวจด้วย
เธอยิ้มแล้วอธิบายว่า “ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนนั้นฉันแค่เป็นลมไป อาจารย์ฟางช่วยปฐมพยาบาลให้นิดหน่อยก็หายแล้ว”
และต่อด้วยการหันไปเอ็ดโจวฉายอวิ๋น “พี่นี่จริง ๆ เลย ไปบอกโต้วโต้วว่าฉันเกือบตายได้ยังไง ทำหลานกลัวหมดแล้ว”
โจวฉายอวิ๋นแอบเขินเมื่อรู้แบบนั้น “ก็ฉันตกใจจนพูดไม่ถูกนี่”
ตำรวจตามโจวฉายอวิ๋นมาที่ร้านเพื่อมาสอบสวนหลินม่าย
ถ้าเธอถูกทำร้ายจนบาดเจ็บจริง ป้าหูจะถูกดำเนินคดีอาญา
แต่เพราะเธอไม่ได้เป็นอะไรมาก สิ่งที่ตำรวจทำจึงเป็นการไกล่เกลี่ยแทน
หลินม่ายตามตำรวจไปที่โรงพักเพื่อไกล่เกลี่ยโดยมีฟางจั๋วหรานไปด้วย
ชายหนุ่มยืนยันว่าจะต้องไปร่วมการไกล่เกลี่ยครั้งนี้ให้ได้ เพราะตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่อง
โจวฉายอวิ๋นจึงรับหน้าที่ดูแลโต้วโต้วกับอาหวงอยู่ที่ร้านในระหว่างนี้
ทันทีที่พวกเขาเดินทางไปถึงสถานีตำรวจ ก็พบว่าสื่อเจินเซียงกำลังเดินวนไปมาเป็นหนูติดจั่นด้วยความกระวนกระวาย เมื่อหันมาเห็นพวกเขาก็รีบเข้ามาทักทายฟางจั๋วหรานทันที
หญิงสาวอ้อนวอนทั้งน้ำตา “อาจารย์ฟาง ช่วยแม่ฉันด้วยนะคะ”
แต่ฟางจั๋วหรานกลับมองอย่างเฉยเมย แล้วหันไปคุยกับตำรวจข้าง ๆ ว่า “คุณตำรวจครับ แบบนี้เข้าข่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่หรือเปล่า?”
สื่อเจินเซียงกำลังจะอธิบาย แต่ตำรวจคนนั้นก็หันไปเรียกเจ้าหน้าที่อีกคนมา “อธิบายขั้นตอนการไกล่เกลี่ยให้หล่อนฟังหน่อย ไม่รู้อะไรเลยหรือไง ถึงกล้ามาแทรกแซงการทำงานต่อหน้าตำรวจทั้งสถานีแบบนี้”
ตำรวจคนนั้นพาสื่อเจินเซียงไปอีกทาง เพื่ออธิบายขั้นตอนต่าง ๆ ให้หล่อนฟัง
ส่วนป้าหูในตอนนี้ถูกขังอยู่ที่สถานีตำรวจ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวว่าจะต้องติดคุก
เพราะงั้นหลังจากที่หลินม่ายให้การว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก และตำรวจเพียงแค่ให้ทั้งคู่ไกล่เกลี่ยกัน
หล่อนก็ไม่กล้าที่จะมีเรื่องมีราวอะไรต่ออีก และยอมรับการไกล่เกลี่ยของตำรวจแต่โดยดี
ป้าหูต้องยอมขอโทษหลินม่ายตามที่ตำรวจแนะนำอย่างไม่มีข้อแม้
ตำรวจให้หล่อนชดใช้ค่าทำขวัญกับหลินม่ายเป็นเงิน 10 หยวน แม้ว่าจะไม่เต็มใจแค่ไหนป้าหูก็ต้องยอมจ่ายตามนั้น
ในตอนนี้หล่อนยอมทุกอย่าง ขอแค่ไม่ต้องนอนคุกก็พอ
หลินม่ายรับเงิน 10 หยวนจากป้าหูแล้วก็ไปที่ร้านขายอาหารตุ๋นของรัฐ เลือกซื้อกับข้าวจากที่นั่นมาสามสี่อย่าง
หลังกลับมาถึงบ้านก็ผัดผักเพิ่มอีกสองสามจานไว้กินแกล้ม กับข้าวมื้อใหญ่ก็พร้อมสำหรับทุกคน
ในระหว่างกินข้าวด้วยกัน โจวฉายอวิ๋นเล่าอย่างโกรธเคืองว่าตอนที่ฟางจั๋วหรานอุ้มหลินม่ายออกไป สื่อเจินเซียงก็เข้ามาขวางหล่อนไว้ไม่ยอมให้พาป้าหูไปสถานีตำรวจ
“พอพวกเธอไม่ได้อยู่ด้วย ลูกสาวยัยแม่มดเฒ่านั่นก็ไม่ยอม จะเข้ามาหาเรื่องฉัน แต่โชคดีที่มีคนมุงดูอยู่เยอะ เขาเลยมาช่วยเอาไว้ ทั้งช่วยหยุดไม่ให้มีเรื่องมีราวกันต่อแล้วก็ยังช่วยกันลากป้าหูไปส่งตำรวจ ไม่อย่างนั้นฉันคนเดียวคงไม่มีปัญญาจับยัยแก่ฤทธิ์เยอะแบบนั้นไปส่งโรงพักได้ แถมยังไปช่วยให้การกับตำรวจจนป้าหูโดนคุมตัวไว้อีก”
กลิ่นหอมน่ากินของอาหารตุ๋นลอยฟุ้งไปถึงบ้านข้าง ๆ
ป้าหูได้กลิ่นแล้วแทบจะอกแตก หล่อนหวังจะจัดการฟางจั๋วหรานกับหลินม่าย แต่ดันต้องมาติดกับดักของตัวเอง แม้แต่ลูกสาวก็ยังถูกตำรวจพาไปสั่งสอน ในขณะที่นังเด็กร่านข้างบ้านกลับมีแต่คนคอยให้ท้าย
ที่น่าโมโหที่สุดคือเรื่องที่หล่อนต้องเสียเงิน 10 หยวนเลี้ยงข้าวให้ยัยเด็กนั่นอีก
หลังจากกินมื้อกลางวันที่บ้านของหลินม่าย ฟางจั๋วหรานก็ขอตัวกลับ
ในตอนที่เขาไปถึงป้ายรถเมล์ก็พบว่ามีคนเอาสัปปะรดมาวางขาย คุณหมอหนุ่มแวะซื้อมันมาสองลูกเพื่อเอาไปฝากโต้วโต้ว
สัปปะรดหวานอมเปรี้ยว เจ้าตัวเล็กน่าจะต้องถูกใจแน่ ๆ ที่ได้กิน
หลินม่ายเองก็น่าจะชอบมันเหมือนกัน
ในตอนนั้นเขาเริ่มจะไม่แน่ใจตัวเองแล้วว่าสัปปะรดที่ตั้งใจซื้อมานี้เขาอยากจะเอาไปฝากเด็กน้อยหรือแม่ของหล่อนมากกว่ากัน
เพราะเมื่อนึกภาพรอยยิ้มเปี่ยมสุขของหญิงสาวตอนได้กินผลไม้อร่อย ๆ แล้วเขาก็เผลออมยิ้มขึ้นมา มันมีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก
เขาเดินกลับไปที่ร้านของหลินม่ายด้วยความตื่นเต้นพร้อมสัปปะรดสองลูก
หน้าร้านตอนนี้ไม่มีใครอยู่ แต่ได้ยินเสียงคนคุยกันมาจากในครัวด้านหลัง
ฟางจั๋วหรานจึงเดินเข้าไปด้านใน
และได้ยินสองสาวกำลังคุยกันอยู่ “ม่ายจื่อ ฉันรู้สึกว่าอาจารย์ฟางดูสนใจเธอมากกว่าเดิมหรือเปล่า”
หลินม่ายเอ็ดอย่างเคือง ๆ “อย่าพูดอะไรไร้สาระไปเลยน่ะ ให้ตายเขาก็ไม่มีทางสนใจฉันหรอก”
คุณหมอหนุ่มที่ฟังอยู่ก็เผลอยิ้มขึ้นมา
ทำไมถึงได้ไม่เข้าใจอะไรบ้างเลยนะเด็กคนนี้
ขนาดเมื่อสองชั่วโมงก่อน ทั้งตอนที่เธอเอื้อมมือมาพยายามจะดึงเขาไว้ไม่ให้วู่วาม ทั้งตอนที่เธอเข้ามาขวางไม่ให้ป้าหูมาโดนตัวเขา ทุกการกระทำเหล่านั้นอยู่ในความสนใจของเขาตลอด
ถ้าการกระทำพวกนั้นไม่สามารถทำให้เขาสนใจในตัวเธอได้เลย เขาก็คงเป็นคนที่โง่เกินทนแล้ว
โจวฉายอวิ๋นเถียงขึ้นบ้าง “ไร้สาระตรงไหน ถ้าเขาไม่สนใจเธอจริง ๆ เขาจะคอยช่วยเธอจนเปิดร้านได้ขนาดนี้เหรอ ขนาดผงฟูยังไปหามาให้เลย”
ฟางจั๋วหรานลอบพยักหน้าตามอย่างเงียบ ๆ คนเดียว
โจวฉายอวิ๋นพูดถูก บางทีเขาเองก็อาจจะชอบหลินม่ายมานานแล้วโดยที่ไม่ได้รู้ตัว
จากมุมมองของคนนอกอย่างหล่อน อาจจะเห็นการกระทำของเขาได้ชัดกว่าตัวเขาเองเสียด้วยซ้ำไป
เขาอาจจะไม่ทันได้รู้ตัว แต่โจวฉายอวิ๋นที่เห็นทุกอย่างอยู่ตลอดคงรู้สึกถึงมันได้ก่อน
ชายหนุ่มที่แอบฟังสองสาวคุยกันอยู่ก็ต้องถูกจับได้เมื่อมีเสียงใสของเด็กน้อยดังขึ้นจากด้านหลัง “คุณอา กลับมาทำไมคะ แล้วถืออะไรมาด้วยเหรอ”
ฟางจั๋วหรานไม่มีทางเลือก นอกจากหันกลับไปหาหลานตัวน้อยอย่างนึกเสียดาย “อาซื้อสัปปะรดมาให้หนู 2 ลูก หนูไปไหนมาเนี่ย”
“หนูออกไปเล่นกับเพื่อนข้างนอกมาค่ะ” โต้วโต้วเดินเข้ามาแล้วใช้มือเล็ก ๆ จับสัปปะรดอย่างระมัดระวัง “สัปปะรด กินได้หรือเปล่าคะ”
หลินม่ายและโจวฉายอวิ๋นเองก็เดินออกมาจากในครัวเช่นกัน
คนเป็นแม่หันมาตอบลูกสาวของเธอว่า “กินได้อยู่แล้ว แต่ต้องปอกเปลือกก่อนนะ ปอกยากมาก”
พอได้ยินแบบนั้นฟางจั๋วหรานจึงนำสัปปะรดลูกหนึ่งไปจัดการปอกเปลือกให้เสียเรียบร้อยพร้อมกินก่อนค่อยกลับ
ส่วนอีกลูกก็เก็บเอาไว้กินต่อพรุ่งนี้
หลินม่ายหั่นสัปปะรดเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วแช่น้ำเกลือประมาณครึ่งชั่วโมงจัดใส่จานให้ทุกคนกิน
สัปปะรดมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ผู้ใหญ่ทั้งสามและเด็กน้อยอีกหนึ่งชอบมันมาก ได้กินเข้าไปก็ถึงกับตาเป็นประกาย
ด้วยผงฟูจากอาจารย์ฟาง ร้านของหลินม่ายก็สามารถทำซาลาเปาฟูนุ่มลูกใหญ่ออกมาขายได้ ข้อได้เปรียบเพียงข้อเดียวของร้านข้าง ๆ จึงไม่มีความหมายกับพวกเธออีกต่อไป
ภายในไม่กี่วันยอดขายของพวกเขาก็ตกลง เพราะหลินม่ายสามารถแก้เกมทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แม้ว่าป้าหูจะโกรธมากแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ไม่กี่วันก่อนจะถึงวันแรงงาน ฟางจั๋วหรานก็มากินข้าวเช้าที่ร้านของหลินม่ายพร้อมกับถุงขนาดใหญ่สองใบ
หลินม่ายรีบมาดูด้วยความตื่นเต้น “คุณหาเครื่องเทศกับเมล็ดยี่หร่าให้ฉันได้แล้วเหรอ”
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบด้วรอยยิ้ม “มีพริกป่นจากซินเจียงด้วย”
จากนั้นเขาก็ลดเสียงลงแล้วถามเธอว่า “คุณตั้งใจจะขายเซาเข่า* ใช่ไหม”
*เซาเข่า อาหารปิ้งย่างแบบเสียบไม้ของจีนคล้ายกับบาร์บิคิว มีทั้งแบบเนื้อสัตว์และผัก นิยมโรยผงเครื่องเทศสีแดงที่มีรสจัดจ้านเผ็ดร้อน
แม่ครัวสาวจึงพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่”
“ถ้าเป็นเนื้อหมูจะทำง่ายกว่าหรือเปล่า ถ้าหาซื้อยากเดี๋ยวผมจัดการให้เอง”
ถ้าพูดถึงเซาเข่า แน่นอนว่าเนื้อแกะจะเป็นอย่างแรกที่ทุกคนนึกถึง
แต่มณฑลหูในยุคนี้ เนื้อวัวและเนื้อแกะหาได้ยาก จะมีขายให้เฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น แทบจะหาซื้อไม่ได้เลยในตลาดมืด
เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ในท้องถิ่นไม่ได้กินเนื้อแกะกันมากนัก ไม่ค่อยมีเกษตรกรเลี้ยงแกะ เพราะงั้นเซาเข่าที่เห็นบ่อยจึงทำด้วยเนื้อหมู
หลินม่ายไม่อยากให้เขาต้องมายุ่งยากจึงรีบตอบออกไปว่า “หาไม่ยากหรอก เดี๋ยวซื้อจากตลาดมืดได้ค่ะ”
เธอไม่อยากให้อาจารย์หมออย่างเขาต้องมาใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างร้านของเธอมากนัก เพราะเขาก็มีงานล้นมือพออยู่แล้ว ถ้าต้องมาเหนื่อยเรื่องนี้คงจะรู้สึกผิดต่อเขามาก
แต่สำหรับฟางจั๋วหราน คำตอบนั้นของหลินม่ายทำให้เขาคิดไปว่าเธออาจจะต้องการรักษาระยะห่างจากเขา ชายหนุ่มจึงยังไม่กล้าจะรุกหนักเดินหน้าเข้าไปใกล้มากเกินไปในตอนนี้
ใช่ว่าเขาจะไม่อยากขยับความสัมพันธ์กับเธอให้ได้เร็ว ๆ แต่คุณหมอหนุ่มกังวลว่าถ้าเร่งรีบเกินไปจะทำให้เธอปฏิเสธเขาแล้วกลายเป็นว่าแม้แต่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องอย่างที่เคยมีมาก็จะให้กันไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นคงจะยากที่จะถอยกลับมาอีก
เขาคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าค่อย ๆ ขยับเข้าหาเธออย่างช้า ๆ แบบไม่ให้เธอต้องอึดอัด เป็นความสบายใจให้แก่เธอแล้วเรื่องสารภาพความรู้สึกก็ค่อยปล่อยให้เวลาที่เหมาะสมพาไป
หลังจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย ฟางจั๋วหรานก็กลับไปทำงาน
ยังไม่ทันถึงโรงพยาบาล เขาก็เห็นว่าสื่อเจินเซียงยืนรอใครซักคนอยู่ที่ประตูทางเข้า
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ซื้อนู่นนี่มาให้ขนาดนี้ มีใจให้แม่เด็กแหละ ขนาดคนรอบข้างยังดูออก
ยัยลูกสาวป้าหูมาดักรอหน้าโรงพยาบาลเลยเรอะ
ไหหม่า(海馬)