แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 136 ผมก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะ
ตอนที่ 136 ผมก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะ
เมื่อหลินม่ายกลับมาถึงร้าน ตู้แช่แข็งบนรถสามล้อก็ดึงดูดความสนใจจากเพื่อนบ้านจำนวนมาก
มีคนเอ่ยทักทายเธอด้วยความอิจฉา “โห! ม่ายจื่อ มีเงินจริง ๆ เลยนะ แม้กระทั่งตู้แช่ยังซื้อกลับมาได้! ”
หลินม่ายเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ควักเงินหมดตัวซื้อมาต่างหาก”
เมื่อรถสามล้อหยุดลงที่หน้าร้าน ป้าหูก็เอาแต่จ้องไปยังตู้แช่ที่อยู่บนรถสามล้อ รู้สึกอิจฉามากจนอยากจะแย่งมันมาเป็นของตัวเอง
หลินม่ายไม่ได้สนใจแต่อย่างใด พลันเรียกให้หลี่หมิงเฉิงและพนักงานชายคนอื่น ๆ มาช่วยกันยกตู้แช่ลง
โจวฉายอวิ๋นก็วิ่งมาเช่นกัน พลางตะโกนออกมาว่า “ฉันนึกว่าเธอจะออกไปไหนเสียอีก ที่แท้ก็ไปซื้อตู้แช่นี่เอง! ”
หลังจากวางตู้แช่ในร้านเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็เสียบปลั๊กและให้โจวฉายอวิ๋นและคนอื่น ๆ นำเบียร์และน้ำอัดลมวางเข้าไปในตู้
ถึงแม้ว่าตู้แช่ในยุคสมัยนี้จะมีเพียงแค่ฟังก์ชั่นแช่แข็ง และหากแช่ไว้เพียงแค่เวลาสั้น ๆ ก็ไม่อาจทำให้เบียร์และน้ำอัดลมกลายเป็นน้ำแข็งได้ แต่จะเป็นเพียงน้ำเย็น
ขณะที่ทุกคนต่างง่วนอยู่กับการจัดวางเบียร์และน้ำอัดลมใส่ในตู้แช่ ฟางจั๋วหรานก็มาถึง
ทันทีที่โต้วโต้วเห็นเขา ก็เข้าไปหาอย่างดีอกดีใจ
ก่อนจะจับมือหนาใหญ่ของเขาลากไปยังตู้แช่เย็น พลางพูดอวดอ้างอย่างภาคภูมิใจ “คุณลุง คุณแม่ซื้อตู้แช่มา ต่อไปนี้เวลาที่คุณลุงมาที่บ้านหนู ก็จะดื่มน้ำอัดลมเย็น ๆ ได้แล้ว”
หล่อนไม่สามารถดื่มเบียร์ได้ จึงไม่สนใจที่จะพูดถึงมัน
หลินม่ายหันกลับไปพูดกับฟางจั๋วหราน “ขอบคุณที่ช่วยฉันติดต่อเรื่องเบียร์และน้ำอัดลมนะคะ คงต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเลย”
ฟางจั๋วหรานไม่รู้จักผู้อำนวยการบริษัทผลิตเบียร์และบริษัทผลิตน้ำอัดลม จึงได้ใช้เส้นใช้สายสรรหารายชื่อต่าง ๆ เพื่อนำมาให้หลินม่ายได้ติดต่อเรื่องเบียร์และน้ำอัดลม นับว่าต้องใช้ความพยายามไม่น้อย
ทว่าเขากลับไม่ยอมรับแต่อย่างใด เอาแต่ยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “ก็ไม่เท่าไหร่หรอก”
พร้อมกับเอ่ยถาม “ มีตู้แช่แข็งก็สามารถขายไอศกรีมได้แล้ว อยากให้ผมช่วยติดต่อผู้อำนวยการบริษัทผลิตไอศกรีมให้ไหมล่ะ? ”
ไอศกรีมไม่เหมือนกับเบียร์และน้ำอัดลม ที่อยู่ภายใต้แผนการควบคุมเศรษฐกิจ
ไอศกรีมเป็นสิ่งที่ทุก ๆ คนสามารถเข้าถึงได้ เพียงแค่เดินเข้าไปในโรงงานผลิตไอศกรีมที่อยู่ตามถนนทั่วไปก็สามารถซื้อมันออกมาได้
หลินม่ายไม่อยากจะรบกวนฟางจั๋วหรานในเรื่องที่เธอสามารถทำได้ด้วยตนเอง ดังนั้นเธอจึงปฏิเสธเขาด้วยรอยยิ้ม
เธอเชิญฟางจั๋วหรานนั่งลง ก่อนจะเข้าครัวไปทำเต้าหู้ผัดซอสเสฉวนและและผัดผักบุ้งไฟแดง นำปลาตะเพียน 2-3 ตัวที่เถ้าแก่ส่งมาให้เมื่อช่วงบ่ายมาทำซุปปลาตะเพียน และนำกึ๋นเป็ดพะโล้ที่หั่นไว้ตักใส่จาน เพียงเท่านี้อาหารเย็นก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว
เมื่อหลี่หมิงเฉิงเห็นดังนั้น จึงอยากจะช่วยยกไปเสิร์ฟเพื่อที่จะพลอยได้กินอาหารเย็นไปด้วย ทว่ากลับถูกโจวฉายอวิ๋นปรามไว้ก่อน
หล่อนกลอกตาไปมาก่อนจะพูดว่า “ลืมไปแล้วเหรอว่าคุณเป็นพนักงาน ทำไมถึงได้ชอบคิดจะกินข้าวกับเจ้านายตลอด? มากินข้าวที่ทำงานกับพวกเราไม่ได้เหรอ ทำไมถึงอยากจะเป็นคนพิเศษนักล่ะ!”
เพียงแค่วินาทีเดียว หลี่หมิงเฉิงก็เข้าใจในทันทีว่าโจวฉายอวิ๋นต้องการจะจับคู่หลินม่ายกับฟางจั๋วหราน
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานยกอาหารทั้งหมดขึ้นไปยังห้องที่อยู่ชั้นบน
เมื่อเห็นว่าหลี่หมิงเฉิง โจวฉายอวิ๋นรวมทั้งโต้วโต้วยังไม่ขึ้นมาจึงยืนอยู่ทางลงบันไดและตะโกนเรียกชื่อพวกเขา “ได้เวลากินข้าวแล้ว! ”
หลี่หมิงเฉิงและโจวฉายอวิ๋นตะโกนกลับมาพร้อมกัน “พวกเราจะกินข้าวกันตรงที่ทำงานด้านล่างน่ะ”
โต้วโต้ววิ่งมาพร้อมกับตูดไก่ย่างที่พ่อครัวย่างไว้ในร้าน พลันตะโกนเสียงใสแจ๋วกลับมาว่า “มาแล้ว มาแล้ว! ”
เมื่อหลินม่ายเห็นดังนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก “ทำไมหนูยกจานหอมสิบลี้ขึ้นมาล่ะ? ”
ถึงแม้ว่าตูดไก่ย่างบาร์บีคิวจะมีรสชาติอร่อย แต่มันไม่ใช่วัตถุดิบที่ดี ไม่แนะนำให้กินเยอะ สามารถชิมได้เป็นครั้งคราว
เจ้าเด็กไร้เดียงสาพูดขึ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ “หอมสิบลี้อร่อยขนาดนี้ หนูอยากให้คุณอาได้ชิมน่ะค่ะ”
ทั้งสามคนนั่งลงบนโซฟาไม้พะยูงหอมและลงมือกินข้าว
เจ้าเด็กไร้เดียงสาทำท่าราวกับพนักงานขายเอาแต่โน้มน้าวให้ฟางจั๋วหรานลองชิมหอมสิบลี้ไม่ยอมหยุด “คุณอา ลองชิมหอมสิบลี้ดูสิคะ มันอร่อยมากเลยนะ! ”
หลินม่ายอึกอักที่จะพูด แต่ก็ไม่พูดออกมา
ฟางจั๋วหรานแยกยิ้มพลางหยิบตูดไก่ขึ้นมาและยัดเข้าไปในปากเพื่อลิ้มลองรสชาติอย่างช้า ๆ ก่อนจะพยักหน้าไม่ยอมหยุดด้วยความพึงพอใจ
ตูดไก่สองชิ้นถูกคีบวางลงบนจานของหลินม่าย “หอมสิบลี้รสชาติกรอบอร่อย ทั้งยังนุ่มอีกด้วยยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งอร่อย คุณลองชิมสักหน่อยไหม?”
หลินม่ายเขี่ยตูดไก่สองชิ้นไว้ข้างจานอย่างเงียบงัน และกินเพียงอาหารอื่น ๆ
เมื่อฟางจั๋วหรานเห็นว่าเธอไม่ยอมกินตูดไก่ จึงได้เอ่ยถาม “ทำไมคุณถึงไม่กินอันนี้ล่ะ ? ”
หลินม่ายยัดผัดผักบุ้งไฟแดงเข้าปาก “ไก่ก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะ”
ใบหน้าของฟางจั๋วหรานดูยุ่งเหยิงทันใด คุยกันอยู่ดี ๆ ทำไมถึงได้ไปถึงเรื่องศักดิ์ศรีของไก่ได้
เขากินตูดไก่ไปหลายชิ้น พลางเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ทำไมหอมสิบลี้ถึงได้อร่อยขนาดนี้ วัตถุดิบมันคืออะไรกันแน่? ”
โต้วโต้วที่ง่วนอยู่กับการกินกึ๋นเป็ดพะโล้อย่างเอร็ดอร่อย เอ่ยขึ้นตอบด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดู “ก็ตูดไก่ไง! ”
ฟางจั๋วหรานแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ตูดไก่รสชาติดีขนาดนี้เลยหรอเนี่ย? ”
หลินม่ายยิ้มตอบ “ถ้าอร่อยก็กินเยอะ ๆ เลยสิ”
ฟางจั๋วหรานผลักจานตูดไก่ออกไปไกล ๆ “ผมก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน”
เมื่อกินอาหารเย็นเสร็จ ฟางจั๋วหรานจึงกลับบ้าน
หลินม่ายลงไปเก็บทำความสะอาดภาชนะที่ชั้นล่าง และเริ่มทำงานพร้อมกลุ่มพนักงาน
ค่ำคืนนี้ธุรกิจตลาดโต้รุ่งมีสินค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นยำฝักอ่อนถั่วเหลือง ไส้ไก่ผัดพริก กึ๋นไก่พะโล้และกึ๋นเป็ดพะโล้
นอกจากนี้ยังมีหอมสิบลี้ ตับไก่ย่าง ตับเป็ดย่าง รวมกับเครื่องดื่มแช่แข็งเย็น ๆ ธุรกิจที่ร้อนแรงเป็นพิเศษทำเอาเถ้าแก่ร้านอื่น ๆ ต่างพากันอิจฉา
และป้าหูที่อยู่ร้านข้าง ๆ ก็อิจฉาตาร้อนยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เมื่อได้ปรึกษากับลูกชาย ลูกสะใภ้และลูกสาวเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่คืนพรุ่งนี้เป็นต้นไปหล่อนจะทำธุรกิจตลาดโต้รุ่ง โดยที่เน้นขายของหวานและอาหารผัดทอด
แม่ของหยางหยางเป็นคนแรกที่คัดค้านขึ้นมา “ฉันดูแล้ว คุณแม่อย่าได้ทรมานตัวเองอีกเลย ทั้งขายอาหารเช้าทั้งขายอาหารกลางวัน แล้วรวยหรือยังล่ะ?”
ป้าหูถึงกับพูดไม่ออก
ไม่ว่าอาหารเช้าหรือกลางวันก็ดี เพื่อแย่งลูกค้าจากร้านข้างเคียง ราคาถูกตั้งเอาไว้ต่ำเตี้ยจนแทบไม่มีกำไร อย่างนั้นแล้วหาเงินได้อย่างไร?
สื่อเจินเซียงที่ตามจีบฟางจั๋วหรานไม่สำเร็จทั้งยังถูกฟางจั๋วหรานสั่งสอน ก็ถึงกับโกรธแค้นเรื่องนี้มาโดยตลอด
หล่อนที่เกลียดอูจี้อูจึงพลอยจงเกลียดจงชังหลินม่ายไปด้วย
หล่อนสนับสนุนแม่ตนเองโดยทันที “ตอนนี้ไม่รวยแล้วอย่างไร? เพียงทำให้ร้านข้างเคียงอยู่ไม่ได้ ชัยชนะก็ตกเป็นของพวกเราแล้ว”
ป้าหูพลันฮึกเหิมขึ้นมาทันใด “ตราบใดที่ทำให้ร้านข้าง ๆ เจ๊งได้ พวกเราก็จะสามารถขึ้นราคาสินค้า ถึงตอนนั้นก็จะสามารถกอบโกยเงินทองได้”
แม่ของหยางหยางส่ายศีรษะพูดกล่าวไม่ออก ร้านข้างเคียงร้อนแรงถึงขนาดทั้งถนนการค้าไม่อาจสู้ คิดทำให้ร้านข้างเคียงปิดตัว มันไม่ใช่เรื่องง่าย!
แต่เมื่อคิดเรื่องแม่สามีทำร้านค้าช่วงกลางคืน เรี่ยวแรงใดไม่ออก ไม่ต้องสนเรื่องกำไรหรือขาดทุน หล่อนก็ขี้เกียจเกินจะพูด เพียงปล่อยให้แม่สามีและป้าหูจัดการไป
จ้าวฮั่นเชิงไม่เชื่อว่าจะมีคนกินตูดไก่ ไส้ไก่และไส้เป็ด
หลังจากที่เขารับประทานอาหารเย็นเสร็จ จึงเดินเล่นอยู่ครู่หนึ่งจนมาถึงร้านอาหารเปาห่าวชือ เสี่ยวชือเตี้ยนของหลินม่าย อยากจะดูอาหารที่ขายไม่ออกพร้อมกับใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหล่านั้น
ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นฉากที่บรรดานักกินรุมล้อมซื้อตูดไก่ และไส้ไก่ผัดพริก ทำเอาเขาถึงกับอดไม่ได้ที่จะตะลึง
เมื่อหลินม่ายเห็นเขา ก็รีบเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเองพร้อมเอ่ยถามว่าอยากกินอะไร
จ้าวฮั่นเชิงสั่งเนื้อบาร์บีคิว กึ๋นไก่ย่าง มะเขือม่วงเผาและอื่น ๆ ที่เป็นอาหารธรรมดา ๆ
หลินม่ายรีบยกไปเสิร์ฟบนโต๊ะให้ด้วยตัวเอง ก่อนจะยิ้มให้แก่เขา “ให้กินฟรี” พร้อมกับเปิดเบียร์ให้เขาหนึ่งขวด
เธอไม่ได้สนใจเลี้ยงเนื้อบาร์บีคิวให้แต่อย่างใด ขอเพียงอีกฝ่ายมอบข้อเสนอที่ดีในตอนที่เธอต้องการก็พอแล้ว
จ้าวฮั่นเชิงคีบกุยช่ายเข้าปาก เมื่อได้ยินพนักงานคนหนึ่งของหลินม่ายกำลังเสิร์ฟตูดไก่ให้กับลูกค้า และเรียกตูดไก่นั้นว่าหอมสิบลี้
เขาเอ่ยถามขึ้น “พวกคุณเรียกตูดไก่บาร์บีคิวว่าหอมสิบลี้งั้นหรอ?”
หลินม่ายยิ้มตอบพลางพยักหน้า
จ้าวฮั่นเชิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าเล่ห์นัก เปลี่ยนตูดไก่ไปเรียกหอมสิบลี้ นี่มันหลอกลวงลูกค้าชัดๆ!”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จะสู้ได้เหรอ อย่าไปงัดข้อกับม่ายจื่อในตอนนี้เลยจะดีกว่านะ ถ้าไม่อยากอับอายกลับไป
ไหหม่า(海馬)