แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 184 เป็นอาของคุณไง!
ตอนที่ 184 เป็นอาของคุณไง!
โจวฉายอวิ๋นซึ่งคอยดูต้นทางไว้ไม่ให้ใครฉวยโอกาสขโมยเสื้อผ้ารู้สึกไม่พอใจมากเมื่อเห็นว่าหลินม่ายจำเป็นต้องขายเสื้อปีกค้างคาวทั้งหมดให้ลูกค้าในราคาที่ถูกเกินควร
หล่อนบ่นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “เธอทำอะไรของเธอน่ะ อยากขาดทุนมากกว่าได้กำไรหรือไง?”
หลินม่ายตอบกลับอย่างเสียไม่ได้ “ช่างเถอะ ช่างเถอะ พวกเขาต่างก็เป็นลูกค้าขาประจำของร้านเราทั้งนั้น เราไม่ควรฟันกำไรจากพวกเขามากเกินไป”
ถึงอย่างนั้นภายในใจของเธอกลับมีความสุขมาก ถึงแม้จะขายพวกมันไปในราคาถูก แต่ต้นทุนที่รับซื้อมาอยู่ที่เจ็ดหยวนเท่านั้น หมายความว่าเธอสามารถทำกำไรได้ถึงหกหยวนต่อตัว ถึงแม้ผลกำไรจะน้อยนิด แต่เมื่อมีการซื้อขายเป็นจำนวนมาก ก็ทำเงินได้หลายร้อยหยวนในคราวเดียว!
ลูกค้าที่ยังคงก้มหน้าก้มตาเลือกเสื้อผ้าอยู่รู้สึกเห็นใจเธอขึ้นมาเล็กน้อย พอได้ยินเธอพูดอย่างนั้น
จากของที่ตอนแรกลังเลว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อดี สุดท้ายก็ตัดสินใจซื้อ เพราะราคาที่พวกเขาได้ไปนั้นถือว่าถูกมากจนนึกละอายที่จะต่อรอง
ขณะที่หลินม่ายกำลังขายดิบขายดี เจ้าหน้าที่เทศกิจสองคนก็เดินตรงเข้ามาที่แผงขายเสื้อผ้าของเธอ
หนึ่งในพวกเขาพูดจาเคร่งขรึม “มีคนร้องเรียนมาว่าคุณเปิดกิจการกินพื้นที่ถนน ปิดร้านเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นสินค้าของคุณจะถูกริบ!”
หลินม่ายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ช่วยกันกับโจวฉายอวิ๋นปิดแผงขายของ แล้วเก็บทุกอย่างกลับเข้าไปในร้านภายในสองนาที
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่เทศกิจสองคนก็เดินจากไป
หลี่หมิงเฉิงมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก จึงถามด้วยความประหลาดใจ “กำลังขายดีอยู่แท้ ๆ ทำไมจู่ ๆ ถึงปิดร้านซะล่ะ?”
โจวฉายอวิ๋นพูดอย่างโกรธเคือง “มีคนร้องเรียนพวกเรา จะไม่ให้ปิดแผงได้ยังไงกัน?”
หลี่หมิงเฉิงขมวดคิ้ว “ใครกันช่างใจแคบเสียจริง?”
“จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ?” โจวฉายอวิ๋นชี้ไปทางประตูบ้านที่อยู่ถัดไปพร้อมกับพยักพเยิดคางไปด้วย “ต้องเป็นยายป้าแม่มดข้างบ้านแน่ ฉันเห็นหล่อนทำหน้าตาระรื่นมองมาทางเราตอนเห็นว่าพวกเราปิดแผงขายของ”
หลินม่ายแค่นเสียงเยาะเย้ย “หล่อนคงคิดว่าถ้าเราไม่เปิดแผงอยู่หน้าร้านตัวเอง เสื้อผ้าพวกนี้คงขายไม่ออกกระมัง จะไม่ให้หล่อนอิจฉาได้ยังไง ในเมื่อธุรกิจของหล่อนย่ำแย่ลงทุกวัน”
หลินม่ายกับโจวฉายอวิ๋นขนเสื้อผ้าทั้งหมดที่ยังไม่ได้ขายขึ้นไปบนรถสามล้อ หวังว่าจะนำออกไปขายในตลาดมืด
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนในตลาดมืดสร้างความวุ่นวายให้กับตัวเอง หลินม่ายจึงวางแผนว่าจะพาอาหวงไปด้วย
อาหวงเติบโตขึ้นเป็นหมาป่าหนุ่มฉกรรจ์ พลังโจมตีล้นเหลือ ถ้าใครกล้าเข้ามาสร้างความวุ่นวายละก็ เธอจะปล่อยให้อาหวงพุ่งไปกัดคนคนนั้นเสีย
เพียงแต่ตอนนี้อาหวงไม่ได้อยู่ที่บ้าน น่าจะออกไปวิ่งเล่นกับโต้วโต้ว
หลินม่ายออกไปยืนอยู่หน้าประตูร้าน ตะโกนเรียกชื่อโต้วโต้วสองสามครั้ง ทันใดนั้นหนึ่งเด็กหญิงหนึ่งสุนัขก็วิ่งตรงมาหาเธอ ตามด้วยเด็ก ๆ อีกสองสามคน
โต้วโต้วดีใจมากเมื่อเห็นหลินม่าย หล่อนร้องตะโกนเสียงใสไปตลอดทาง “แม่จ๋า แม่จ๋า แม่กลับมาแล้ว หนูคิดถึงแม่มาก ๆ เลย!”
หลินม่ายทักทายด้วยการรวบตัวหล่อนเข้าไปกอด “แม่ก็คิดถึงลูกมากจ้ะ ระหว่างที่แม่ไม่อยู่หนูเป็นเด็กดีไหม?”
เด็กหญิงตัวน้อยยกแขนขึ้นคล้องคอผู้เป็นแม่ไว้ พูดด้วยเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ค่ะ นอนหลับอย่างเพียงพอ กินข้าวให้อิ่มท้อง”
หลินม่ายบีบแก้มป่อง ๆ ของหล่อน “ถ้าอย่างนั้นแม่มีรางวัลให้หนูด้วย” ว่าแล้วก็อุ้มเธอขึ้นมา ก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นบน
ก่อนจะหยิบโคล่าหนึ่งกระป๋องออกมาแล้วส่งให้โต้วโต้ว
โต้วโต้วเห็นโคล่าเป็นครั้งแรก จึงถามด้วยความสงสัย “นี่คืออะไรเหรอคะ?”
“โคล่าจ้ะ อร่อยนะ เป็นเครื่องดื่มนำเข้าจากต่างประเทศ”
“หนูขอเอาไปอวดเป่ยเป่ยกับคนอื่น ๆ นะคะ” ว่าแล้วโต้วโต้วก็วิ่งลงบันไดไปพร้อมกับกระป๋องโคล่า
หลินม่ายหยิบหมวกบังแดดขึ้นมาสวม ก่อนจะหิ้วห่านย่างลงไปชั้นล่าง
เธอส่งห่านย่างให้กับโจวฉายอวิ๋น เพื่อให้อีกฝ่ายนำไปอุ่นเป็นกับข้าวมื้อเที่ยง ให้ทุกคนกินด้วยกัน
ข้างหลังเธอ โต้วโต้วกำลังอวดของในมือกับเด็กคนอื่น ๆ “นี่เป็นเครื่องดื่มจากต่างประเทศล่ะ ที่นี่ไม่มีขาย”
เด็ก ๆ หลายคนต่างเบิกตากว้าง จ้องมองโคล่าในมือโต้วโต้วด้วยความอิจฉา ถามว่า “ฉันขอชิมบ้างได้ไหม?”
“ไม่ได้ ปริมาณของมันยังไม่เพียงพอสำหรับตัวฉันเองเลย”
หลินม่ายแอบยิ้มเล็กน้อย เด็กหญิงตัวน้อยมีไหวพริบดีทีเดียว ตัวเท่านี้ก็รู้จักวิธีปฏิเสธคนอื่นแล้ว
โจวฉายอวิ๋นนึกกังวลไม่อยากให้หลินม่ายไปที่ตลาดมืดตามลำพัง จึงเสนอแนะว่า “ให้หมิงเฉิงตามไปด้วยสิ มีอีกคนคอยช่วยเป็นหูเป็นตายังไงก็ดีกว่า”
หลินม่ายหันหน้าไป พบว่าหลี่หมิงเฉิงส่งสายตาก็กระตือรือร้นเป็นเชิงเห็นด้วย
ถึงอย่างไรพนักงานในร้านก็มีจำนวนเพียงพออยู่แล้ว ต่อให้หลี่หมิงเฉิงตามเธอไปช่วยขายเสื้อผ้า ก็คงไม่ส่งผลกระทบอะไรกับกิจการของร้านเท่าใด
ดังนั้นชายหญิงสองคนและสุนัขอีกหนึ่งตัวจึงกระโดดขึ้นรถสามล้อ ตรงไปที่ตลาดมืด
วันนี้สภาพอากาศยังคงร้อนระอุเช่นเคย ตอนนี้เลยเวลาสิบโมงเช้ามาแล้ว ผู้คนในตลาดมืดจึงมีไม่มากนัก
หลินม่ายตั้งแผงคอยเกือบครึ่งชั่วโมง แต่กลับขายเสื้อผ้าไม่ออกเลยสักตัว
ในเมื่อธุรกิจในตลาดมืดไม่เอื้ออำนวย เธอจึงตัดสินใจเปลี่ยนปลายทางไปที่ห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียว
แถวนั้นมีผู้คนสัญจรผ่านไปมาพลุกพล่าน ต้องระวังก็แต่เทศกิจจะมาจับเอาเท่านั้น
หลินม่ายพาหลี่หมิงเฉิงกับอาหวงตรงไปยังห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวทันที
ช่วงสายที่อากาศร้อนแบบนี้ บริเวณใกล้ ๆ กับห้างสรรพสินค้ามีแผงลอยมาตั้งน้อยมาก มีแค่ร้านขายแค่เต้าหู้เหม็นร้านเดียว กับพ่อค้าหาบเร่ที่ขายไอศกรีมบนรถจักรยาน
หลินม่ายไม่รู้ว่าเป็นเพราะสภาพอากาศที่ร้อนเกินไปจึงทำให้มีคนออกมาตั้งแผงขายของน้อย หรือเป็นเพราะเจ้าหน้าที่เทศกิจมักจะออกมาลาดตระเวนอยู่บ่อยครั้ง พ่อค้าทั้งหลายถึงได้ไม่กล้าออกมาตั้งแผงลอยกันแน่
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เธอก็เดินตรงไปหาคนขายเต้าหู้เหม็น แล้วขอซื้อเต้าหู้เหม็นสองชุด
ระหว่างนั้นก็แกล้งถามอย่างไม่ใส่ใจ “ทำไมแถวนี้ถึงมีคนมาตั้งแผงน้อยจังเลยล่ะ เทศกิจออกมาไล่ที่พวกเขาบ่อยหรือ?”
หลินม่ายอุดหนุนร้านของเขา ดังนั้นพ่อค้าที่รู้เรื่องทุกอย่างจึงยอมบอกความจริงอย่างไม่ปิดบัง
“เทศกิจมาไล่ที่ก็จริง แต่พวกเขามาไม่บ่อยหรอก วันหนึ่งก็แค่ครั้งสองครั้ง เหตุผลหลักคงเป็นเพราะอากาศร้อนเกินไป คนกินอาหารว่างไม่เยอะ ส่วนใหญ่ไปซื้อไอศกรีมกันหมด ที่นี่ถึงไม่ค่อยมีใครออกมาตั้งแผงขาย”
ขณะที่พูดแบบนี้ พ่อค้าก็เหลือบมองไปทางพ่อค้าขายไอศกรีมด้วยสายตาไม่สู้ดี ราวกับจะกล่าวหาว่าอีกฝ่ายมาแย่งพื้นที่ทำกินของตัวเองไป
หลินม่ายเดินกลับไปที่รถสามล้อของตัวเอง ยื่นเต้าหู้เหม็นอีกชุดให้กับหลี่หมิงเฉิง
พออาหวงเห็นแบบนั้น มันก็ส่งเสียงร้องหงิง ๆ ทำนองว่าอยากกินด้วย
หลินม่ายแบ่งชิ้นเล็ก ๆ ให้มัน แต่ทันทีที่มันดมกลิ่นแล้ว ก็เบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ
หลังจากกินเต้าหู้เหม็นหมดอย่างรวดเร็ว หลินม่ายก็ทำการขนเสื้อผ้าออกมาจากรถสามล้อ
เสื้อผ้าสีสันสดใสสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้คนจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ราคาเสื้อผ้าแต่ละชิ้นจะแพงไปสักหน่อย แต่คุณภาพรวมถึงดีไซน์ของมันก็แตกต่างจากเสื้อผ้าที่แขวนขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวที่อยู่ใกล้เคียงหลายขุม ที่สำคัญ ราคาของเสื้อผ้าพวกนั้นกับเสื้อผ้าของหลินม่ายไม่ได้ถูกไปกว่ากันสักเท่าไหร่
เมื่อเปรียบเทียบเสื้อผ้ารูปแบบเฉิ่มเชยในห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวที่มีราคาแพง ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าที่หลินม่ายรับมาขายจะสมน้ำสมเนื้อมากกว่า
หลินม่ายรับผิดชอบการขาย ส่วนหลี่หมิงเฉิงกับอาหวงรับผิดชอบหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้
สายตาของเขาจับจ้องไปที่ลูกค้าทุกคนซึ่งกำลังเลือกเสื้อผ้า ไม่ปล่อยให้ใครฉวยโอกาสขโมยไป
ขณะที่หลินม่ายกำลังขายของอย่างกระฉับกระเฉง จู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้นมาจากด้านหลัง “ฉันมองผิดไปหรือเปล่า? นี่ใช้สหายหลินไหมเนี่ย? ได้ยินว่าเธอกำลังให้ท่าพี่ใหญ่ของฉันอยู่ไม่ใช่เหรอ ยั่วยวนเขาไม่สำเร็จหรือไง ถึงได้มาตั้งแผงลอยอยู่ที่นี่?”
หลินม่ายผละจากงานตรงหน้าเพื่อหันกลับไปมองตามเสียง เห็นว่าผู้พูดคือฟางถิงที่สวมใส่ชุดแบรนด์เนมทันสมัย มองมาที่เธอด้วยสายตาและรอยยิ้มเหยียดหยัน
หลังจากได้ยินคำพูดของฟางถิง ลูกค้าหลายคนที่กำลังเลือกซื้อเสื้อผ้าก็หันมองไปที่หลินม่ายด้วยความสงสัย
หลินม่ายยื่นชุดที่ลูกค้าสาวคนนั้นต้องการให้เธอ ก่อนจะถามกลับอย่างใจเย็น “คุณหลุดออกมาจากศาลาหกเหลี่ยมหรือไง? ถึงได้พูดจาไร้สาระแบบนี้!”
ศาลาหกเหลี่ยมคือชื่อของโรงพยาบาลจิตเวชที่มีชื่อเสียงที่สุดในเจียงเฉิง
พอลูกค้าเหล่านั้นได้ยินสิ่งที่เธอพูด ก็พากันถอยกรูดออกมาให้ห่างจากฟางถิงโดยทันที
ถ้าใครก็ตามถูกผู้ป่วยทางจิตทุบตีหรือแม้แต่คว้ามีดมาแทงจนตาย คนคนนั้นก็จะถูกทุบตีหรือถูกแทงตายอย่างเสียเปล่า เนื่องจากคนประเภทนี้ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยทางกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น ในเมื่อเป็นแบบนี้ใครบ้างจะไม่กลัว
สีหน้าของฟางถิงเปลี่ยนเป็นมืดมนทันใด “หล่อนว่าฉันป่วยทางจิตเหรอ!”
“ใช่ คุณเพิ่งถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ศาลาหกเหลี่ยมเพราะทำร้ายร่างกายคนที่เดินผ่านไปมาจนจมูกหักหน้าบวมไม่ใช่เหรอ?”
หลินม่ายพูดเสริมให้ถ้อยคำของเธอดูมีน้ำหนักมากขึ้น
“อย่ามาพูดจาไร้สาระกับฉันนะ!” ฟางถิงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เตรียมปรี่เข้าไปหมายจะตบหน้าหลินม่าย แต่หลี่หมิงเฉิงกลับคว้าข้อมือของหล่อนเอาไว้ได้ แล้วจัดการเหวี่ยงออกไป
อาหวงเห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งปรี่เข้าไปและเห่าเสียงดังใส่หล่อนทันที แถมยังตั้งท่าเตรียมจะพุ่งเข้าไปกัดหล่อนอีกด้วย
ฟางถิงมองหลี่หมิงเฉิงตาขวาง ก่อนจะหันมองไปทางหลินม่ายอีกครั้ง ถามว่า “นายเป็นใคร?”
หลี่หมิงเฉิงไม่มีความประทับใจใด ๆ ต่อหล่อน พบหน้ากันเป็นครั้งแรก หล่อนก็พูดจาหาเรื่องหลินม่ายเสียแล้ว แถมยังคิดจะเข้าไปตบหน้าเธออีก ดังนั้นเขาจึงตอบกลับด้วยท่าทางหยาบคาย “เป็นอาของคุณไง!”
ฟางถิงโกรธจัดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ยกมือขึ้นชี้หน้าหลินม่าย “นังผู้หญิงแพศยา หล่อนให้ท่าพี่ใหญ่ของฉันยังไม่พอ ยังคบชู้สู่ชายด้วยหรือนี่!”
หลินม่ายเลิกคิ้วพลางตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ “ในเมื่อคุณดอดมารู้ความลับดำมืดของฉันแล้ว งั้นก็รีบแจ้นไปบอกพี่ใหญ่ของคุณซะสิ คอยดูก็แล้วกันว่าพี่ใหญ่ของคุณจะเชื่อในสิ่งที่คุณพูดหรือเปล่า!”
ฟางถิงโกรธมากจนระเบิดแรงอารมณ์ออกมา “หล่อนก็คอยดูแล้วกัน! ฉันจะเปิดโปงความชั่วของหล่อนให้ได้!”
หลินม่ายยิ้มหยัน “ใครกันแน่ที่จะถูกเปิดโปงความชั่ว! คุณกล่าวหาว่าฉันให้ท่าพี่ใหญ่ของคุณงั้นเหรอ? แล้วเรื่องระหว่างเราสองคนมันไปหนักหัวคุณตรงไหนกัน? ทำโมโหอย่างกับฉันไปแย่งสามีของคุณอย่างนั้นแหละ อ้อ ลืมไป คุณป่วยเป็นโรคจิตเภทนี่นา แม้แต่แฟนยังไม่มี แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปหาสามีกันล่ะ!”
ฟางถิงไม่สามารถสรรหาถ้อยคำมาด่ากลับได้ จึงสะบัดหน้าเดินจากไปด้วยความโกรธเคือง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อย่าได้ปะทะฝีปากกับม่ายจื่อเชียวนะ ถ้าไม่อยากโดนเชือดเฉือนรุ่งริ่งกลับไป
ไหหม่า(海馬)