แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 238 กลับบ้านไปซื้อข้าวโพด
ตอนที่ 238 กลับบ้านไปซื้อข้าวโพด
พริบตาเดียวก็เข้าช่วงเที่ยง หลินม่ายจัดการเอกสารต่าง ๆ อยู่ข้างบน ทุกอย่างเรียบร้อยดี ยกเว้นอาการปวดต้นคอเพราะต้องก้มหน้าเป็นเวลานานของเธอ
หญิงสาวหมุนคอไปมาแก้เมื่อยแล้วลงไปเตรียมมื้อเที่ยง
เพราะไม่มีฟางจั๋วหรานมากินมื้อเที่ยงด้วย เธอเลยไม่ได้มีกะจิตกะใจจะเตรียมอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเท่าไรนัก
หลินม่ายนึ่งหมูสับใส่ไข่ไก่สำหรับโต้วโต้วหนึ่งชาม ผัดผักสองอย่าง กินกับซุปเต้าหู้ไข่ แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มอีก
เมื่อถึงเวลากินข้าวโต้วโต้วมานั่งที่โต๊ะกินข้าวมองอาหารบนโต๊ะแล้วถอนหายใจ “เฮ้อ อยากให้คุณอากลับมาเร็ว ๆ จัง”
หลินม่ายจับตะเกียบขึ้นมาคีบผักลงในชามแล้วพูดกับลูกด้วยรอยยิ้ม “ลูกชอบคุณอามากเลยเหรอ ทำไมบ่นคิดถึงเขาทุกวันเลย”
เด็กน้อยใช้ช้อนตักหมูสับนึ่งขึ้นมาเป่าสองสามทีแล้วเอาเข้าปากอย่างระมัดระวัง
“ก็ต้องคิดถึงสิคะ ถ้าคุณอามาแม่ก็จะทำของอร่อย ๆ เอาไว้เยอะแยะเลย พอคุณอาไม่อยู่ก็ไม่ค่อยมีอะไรกิน”
หลินม่ายฟังที่เด็กน้อยเล่าก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่ากำลังถูกบ่นเรื่องมื้อกลางวันนี้แบบอ้อม ๆ อยู่
เธอเลยแกล้งเอ็ดลูกไปนิดหน่อย “อย่าเรื่องมากน่า”
เด็กน้อยหัวเราะคิกจนแก้มยุ้ย คีบกวางตุ้งฮ่องเต้ขึ้นมากินบ้าง
ทุกครั้งที่เอ่ยถึงคุณหมอฟาง หลินม่ายก็จะรู้สึกเป็นห่วงที่เขาทำงานหนักเกินไปขึ้นมาทุกที ไปที่นั่นจะมีของดี ๆ ให้กินหรือเปล่า ไม่ใช่ว่ามัวแต่ทำงานจนไม่ได้หาของกินหรอกนะ
แต่ในตอนนี้มีเสียงวิทยุมาดึงดูดความสนใจจากเธอไปแทน
มีข่าวบอกว่า แม้พื้นที่ทำการเกษตรต่าง ๆ จะเข้าร่วมกับระบบนารวม แต่ก็ยังต้องเจอกับปัญหาผลผลิตทางเกษตรล้นตลาด ไม่สามารถขายออกไปได้หมดอีกอยู่ดี
รัฐบาลกลางจึงเรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นหาวิธีในการกระตุ้นการซื้อสินค้าการเกษตรจากชนบท เพื่อแก้ปัญหาปากท้องของเกษตรกร
หลินม่ายตื่นเต้นเมื่อได้ยินแบบนั้น เธอจะใช้โอกาสนี้ในการช่วยชาวเมืองซื่อเหม่ยได้แล้วหรือเปล่า?
พอกินข้าวกลางวันเสร็จ หลินม่ายก็เข้าไปงีบอยู่ครึ่งชั่วโมงก่อนจะลุกไปอ่านหนังสือทำโจทย์
อีกไม่ถึงสิบวันก็จะต้องสอบวัดระดับมัธยมปลาย เธอจึงต้องการสอบให้ได้คะแนนดี ๆ เพื่อจะได้ไม่ให้ความพยายามของอาจารย์ฝ่ายมัธยมมหาวิทยาลัยผู่จี้ต้องเสียเปล่า
ก่อนที่จะทำข้อสอบชุดหนึ่งเสร็จ เพื่อนบ้านหลายคนก็มาที่ร้านของเธอเพื่อส่งรายชื่อและปริมาณข้าวโพดที่แต่ละคนต้องการซื้อให้กับหลินม่าย
และได้รับคำถามจากเพื่อนบ้านคนหนึ่ง “เมื่อไรจะพาช่างทำเตามาเจอกับเราสักทีล่ะ”
หลินม่ายบอกเขาว่า “น่าจะต้องรอซักสองวันนะคะ วันนี้ฉันมีเรื่องยุ่ง ๆ “
นายช่างจางทำงานตกแต่งร้านฝั่งตรงข้ามของเธออยู่ เขาอยู่แค่ตรงข้ามถนนนี่เอง ความจริงแล้วถึงจะยุ่งอย่างไรก็ไปหาเขาได้ง่าย ๆ
แต่เธอตั้งใจบอกเป็นนัย ๆ ว่าไม่อยากให้พวกเขามายุ่มย่ามกับเธอมากนัก ถ้ารบกวนกันเกินไปเธอก็จะไม่ยอมพวกเขาง่าย ๆ เหมือนกัน
ได้คำตอบแบบนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่อยากเซ้าซี้มาก เลยพากันหัวเราะแล้วบอกหลินม่ายว่าไม่เป็นไร รอได้ แล้วก็แยกย้ายกลับบ้านไป
หลินม่ายนึกถึงเค้กที่เคยทำให้ฟางจั๋วหรานกับโต้วโต้วกินครั้งล่าสุด ทั้งคู่ต่างบอกว่าอร่อยมาก ระหว่างเตรียมมื้อเย็นหลินม่ายเลยทำเค้กแบบนั้นขึ้นมาอีกก้อนใหญ่พร้อมขนมปังนุ่ม ๆ อีกหลายชิ้น
เธอแบ่งขนมทั้งหมดออกเป็นสามส่วน สำหรับโต้วโต้วหนึ่งส่วน ให้คุณปู่คุณย่าฟางหนึ่งส่วน และของคุณยายเถียนอีกหนึ่ง
แต่ส่วนที่แบ่งไว้ให้ลูกนั้นน้อยที่สุด เพราะเดี๋ยวยังไงก็มีเวลาทำให้โต้วโต้วกินได้อีกเรื่อย ๆ อยู่แล้ว
เมื่อถึงเวลาไปขายเสื้อผ้า หลินม่ายก็แบ่งเค้กบางส่วนของโต้วโต้วมาให้เสี่ยวม่านกินด้วย
เสี่ยวม่านรับของกินเล่นจากหลินม่ายมากินอย่างมีความสุขเช่นเคย ชมไม่ขาดปากว่าอร่อยมาก ซ้ำยังแนะนำให้เธอลองเปิดร้านขนมน่าจะขายดี
แม้ว่าหลินม่ายจะทำขนมอบเป็นหลายอย่างและรสชาติก็จัดว่าไม่เลว แต่ชาติที่แล้วเธอทำขนมพวกนี้เป็นงานอดิเรกกินเองยามว่างและไม่เคยเปิดร้านมาก่อน
สาเหตุหลัก ๆ คือชาติก่อนมีร้านขายขนมแบบนี้อยู่เยอะมาก และของที่ขายอยู่ในร้านนั้นอร่อยกว่าของที่เธอทำเองเยอะ ไม่มีทางที่จะไปเป็นคู่แข่งกับพวกเขาได้
แต่พอมาเป็นยุคนี้ เธอก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน คิดดูแล้วก็น่าลองดูเพราะความเจริญที่ยังไม่เท่าชาติก่อนก็อาจจะมีโอกาสขายดี
แต่คิดว่าควรรอให้การสอบผ่านไปก่อนค่อยเริ่มดูอีกทีจะดีกว่า
ระหว่างทางกลับจากตลาดกลางคืน หลินม่ายก็ยังคงเห็นว่าลูกน้องของเฉินเฟิงตามมาส่งเธออย่างเงียบ ๆ เช่นเคย เมื่อพวกเขาเห็นว่าเธอกับหลี่หมิงเฉิงเข้าบ้านแล้ว ก็หันหลังจากไป
หลินม่ายตื่นตั้งแต่ก่อนแสงแรกของรุ่งเช้า
โจวฉายอวิ๋นเตรียมบะหมี่ไข่ลวกเอาไว้ให้หลินม่าย ระหว่างที่กิน คนเป็นพี่ก็มองเธออยู่นานเหมือนมีอะไรจะพูด
หลินม่ายคีบบะหมี่เข้าปากแล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอ “พี่มีอะไรจะพูดก็บอกได้เลย เราคุยกันได้ทุกเรื่อง”
“ฉัน…ฉันแค่อยากให้เธอรับข้าวโพดจากที่บ้านฉันนะถ้าได้ไปที่นั่น”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ อยู่ห่างกันไม่เท่าไรเอง”
พอได้ยินแบบนั้นหลี่หมิงเฉิงก็อยากให้เธอมารับซื้อข้าวโพดที่บ้านเขาด้วย
แต่ก็คิดได้ว่าบ้านของตัวเองอยู่ค่อนข้างไกล ไม่เหมือนบ้านของโจวฉายอวิ๋น
นอกจากระยะทางที่ว่าไกลแล้ว ยังต้องคิดเรื่องเส้นทางที่ยากลำบากเพราะเป็นภูเขา แทรกเตอร์ไม่น่าจะขึ้นไปที่นั่นได้ เขาเลยต้องล้มเลิกความคิดนั้นไป
เมื่อหลินม่ายกลับมาที่ชนบทพร้อมกับความต้องการซื้อข้าวโพดถึง 8,000 ฝัก ชาวบ้านก็ตื่นเต้นดีใจกันมาก พากันมาลงชื่อขายข้าวโพดกันยกใหญ่
ชาวชนบทส่วนมากจะปลูกข้าว ข้าวสาลี ไม่ได้ปลูกข้าวโพดเป็นหลัก แต่ละหลังมีข้าวโพดอยู่ประมาณครึ่งถึงหนึ่งหมู่* เท่านั้น
*亩 หมู่ หน่วยวัดพื้นที่ 1 ไร่ เท่ากับ 2.4 หมู่
ข้าวโพดแปดพันฝักสามารถเก็บเกี่ยวจากครัวเรือนได้หลายหลัง แต่ก็ยังมีเกษตรกรจำนวนมากที่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวข้าวโพดและข้าวสาลีได้
หลินม่ายเห็นว่าพวกเขาแทบจะต้องต่อสู้กันเพื่อแย่งกันเอาข้าวโพดมาขายให้เธอ
เห็นแบบนั้นก็เลยรีบออกปากห้าม “ทุกคนคะ ไม่ต้องห่วงนะ ยังไงถ้าข้าวโพดของคุณมีคุณภาพดีฉันก็ยินดีซื้อ แต่ต้องค่อย ๆ เก็บเป็นรอบ ๆ ไปนะ”
หลายคนเริ่มกังวลขึ้นมา “แต่ถ้ามันแก่เกินไปแล้วเราก็จะขายไม่ได้น่ะสิ”
หลินม่ายชะงักไปเมื่อได้ยินคำถามนั้น
เธอลืมคิดไปเลยว่าข้าวโพดเองก็มีอายุของมัน ถ้าปล่อยให้แก่เกินไปก็จะเอาไปปิ้งขายไม่ได้
ข้าวโพดต้องไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป จะเป็นช่วงที่เอาไปปิ้งแล้วอร่อยที่สุด
หญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสัญญากับพวกเขา “ฉันจะพยายามรวบรวมคำสั่งซื้อมาให้ทันก่อนที่พวกมันจะแก่นะคะ”
พวกชาวบ้านต่างรู้ดีว่าหลินม่ายพยายามเป็นอย่างมาก จึงไม่มีใครทักท้วงให้เธอลำบากใจ
หลินม่ายรับปากกับโจวฉายอวิ๋นไว้แล้วว่าจะรับซื้อข้าวโพดจากบ้านของพี่ แม้เธอจะซื้อข้าวโพดมาครบ 8,000 ฝักแล้ว แต่ก็ต้องไปรับข้าวโพดที่บ้านโจวต่อ
โชคดีที่ครั้งก่อนเธอคำนวณพลาดไป คิดว่ารถแทรกเตอร์จะจุข้าวโพดได้แค่ 8,000 ฝักเท่านั้น
แต่ความจริงแล้วยังบรรทุกข้าวโพดได้เกินหมื่นฝัก ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถขนข้าวโพดของบ้านโจวมาเพิ่มอีกได้
พ่อแม่ของโจวฉายอวิ๋นรู้สึกขอบคุณหลินม่ายมาก พวกเขายืนกรานว่าจะจับไก่สาวให้เธอตัวหนึ่ง
หลังจากซื้อข้าวโพดเสร็จแล้ว หลินม่ายก็นำเค้กที่ทำเตรียมมาพร้อมกับเนื้อชิ้นใหญ่ไปเยี่ยมคุณยายเถียนและคุณปู่คุณย่าฟาง
เมื่อเห็นว่าพวกท่านสบายดี เธอก็โล่งใจ
คุณยายเถียนถามอย่างใจดี “หนูบอกว่าจะส่งคนมาเรียนทำกะปิกับยายนี่ จะมาเมื่อไรล่ะ”
ในช่วงนี้การจะส่งโจวฉายอวิ๋นกลับมาเรียนน่าจะเป็นเรื่องยาก อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่าร้านใหม่จะเสร็จแล้วเปิดได้ก่อน เพราะตอนนี้งานที่ร้านกำลังไปได้ดีและค่อนข้างยุ่ง
หลินม่ายตอบหญิงชรา “น่าจะอีกสองเดือนค่ะ”
คุณยายเถียนอยากให้เธออยู่กินข้าวกลางวันด้วยกันก่อน แต่หลินม่ายกลัวว่าคุณปู่คุณย่าฟางจะเตรียมมื้อกลางวันรอเธออยู่เหมือนกันจึงไม่กล้ารับปาก
คุณยายเถียนไม่มีทางเลือกเลยต้องพาหลานชายออกมาส่งด้วยกัน
ทันทีที่ทั้งสามออกจากบ้าน ผู้หญิงคนหนึ่งก็ตรงเข้ามาพร้อมกับเด็กที่ดูมอมแมมสองคน พวกเขาน่าจะอายุประมาณแปดเก้าขวบ เมื่อเห็นหลินม่ายก็รีบโผเข้ามาจะกอด
วันนี้หลินม่ายสวมชุดที่ฟางจั๋วหรานเป็นคนซื้อที่กว่างโจว แถมยังเป็นผ้าสีอ่อนอีกด้วย
เพราะกลัวว่าชุดจะเลอะเมื่อเด็กกระโจนเข้ามาใส่ เธอจึงรีบขยับตัวถอย
เด็กทั้งสามที่โผตัวเข้ามาเลยหน้าคะมำล้มลงไปกับพื้น
ผู้หญิงคนนั้นร้องเสียงดังและยังคงนั่งอยู่ที่พื้น “โอ้ย ลูก ๆ ของฉันไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว แถมยังมาล้มแบบนี้อีก”
เด็กทั้งสองก็เริ่มร้องไห้เสียงดัง
คุณยายเถียนเหลือบมองสามแม่ลูกด้วยความรังเกียจแล้วกระซิบกับหลินม่าย “อย่าไปสนใจพวกนั้นเลย สามคนนี้เป็นขอทานมืออาชีพ วนเวียนอยู่แถว ๆ หมู่บ้านเรานี่แหละ มีคนในหมู่บ้านโดนหลอกมาแล้วเหมือนกัน”
หลินม่ายพยักหน้า ปีนขึ้นไปรถแทรกเตอร์เพื่อจะกลับไป
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
หาช่องทางรวยได้หลายช่องทางเลยม่ายจื่อ แบ่งเวลายังไงเนี่ยมีประสิทธิภาพมาก
ไหหม่า(海馬)