แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 253 ฉันหรือจะไม่อยากได้
ตอนที่ 253 ฉันหรือจะไม่อยากได้?
เฉินเฟิงเป็นคนตรงเวลามาก ยังไม่ทันถึงแปดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เขาก็มารออยู่หน้าประตูตลาดสดบนถนนเจี่ยฟางแล้ว
หลินม่ายเดินนำเข้าเข้าไปเยี่ยมชมภายในตลาด
ในตลาดไม่มีใครเลย ผักใบเขียวรวมถึงเศษผักคัดทิ้งที่เหลือจากการขายเมื่อวานหล่นเต็มพื้น
มองแวบเดียวก็พอจะคาดเดาได้ว่า หลังจากที่คนงานของตลาดสดถูกเลิกจ้าง พวกเขาก็แยกย้ายออกไปโดยไม่สนใจทำงานอีก
ตลาดสดขนาดใหญ่แห่งนี้มีแค่ผู้จัดการที่รอเธออยู่ภายในสำนักงานเท่านั้น หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการส่งมอบให้กับหลินม่ายแล้ว เขาก็จากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลินม่ายตบเก้าอี้ตัวที่ผู้จัดการคนเก่าเคยนั่ง หันไปพูดกับเฉินเฟิง “เอาล่ะ ต่อจากนี้ไปเก้าอี้ตัวนี้จะกลายเป็นของคุณแล้ว คุณอยากได้หรือเปล่า?”
เฉินเฟิงเข้าใจจุดประสงค์ที่หลินม่ายเรียกเขามาที่นี่แล้ว ที่แท้ก็เพื่อมอบหมายตลาดสดให้เขาจัดการดูแล
เขาฉีกยิ้มกว้างจนเผยให้เห็นฟันขาวซี่ใหญ่ “เธอมีน้ำใจกับฉันขนาดนี้ ฉันหรือจะไม่อยากได้?”
หลินม่ายหัวเราะ ก่อนจะพาเขาออกจากสำนักงาน แล้วเริ่มวางแผนภาพรวมการค้าของตลาดสดแห่งนี้
“โซนนี้จัดเป็นร้านขายผลไม้ โซนนี้จัดเป็นร้านขายผัก โซนโน้นขายพวกอาหารแห้ง อีกโซนหนึ่งขายอาหารทะเล อีกฝั่งขายอาหารทะเลตากแห้ง โซนต่อมาขายเนื้อสัตว์ โซนนั้นขายวัตถุดิบที่แปรรูปจากถั่ว… ไม่รู้ว่าทางเบื้องบนเขาจะอนุญาตให้ขายข้าวกับน้ำมันหรือเปล่า ถ้าขายสองอย่างนี้ได้ เราก็ควรจัดโซนสำหรับขายข้าวกับน้ำมันด้วย…”
เธออธิบายวิธีการปรับปรุงภูมิทัศน์และตกแต่งในแต่ละโซนอย่างชัดเจน
ทั้งหมดเป็นการบูรณะปรับปรุงอย่างเรียบง่าย เฉินเฟิงที่เป็นแค่คนธรรมดาสามารถทำความเข้าใจได้อย่างไม่ยากเย็น
หลังจากหารือกันเกี่ยวกับการปรับปรุงพื้นที่ของตลาดสดแล้ว หลินม่ายก็พูดต่อ “ถ้าตลาดสดเปิดบริการเมื่อไหร่ ที่นี่จะต้องรับสมัครพนักงานขายจำนวนมาก คุณหาลูกน้องที่หน้าตาพอเป็นมิตรมาทำงานได้นะ จะได้แก้ปัญหาการจัดสรรให้ลูกน้องของคุณได้ทำอาชีพสุจริตไปได้อีกเปลาะหนึ่ง”
เฉินเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “พนักงานรักษาความปลอดภัยของคลังสินค้า ยามเฝ้าประตู คนประจำเขียงปลา เขียงเนื้อสัตว์ ลูกน้องของฉันคงพอทำงานพวกนี้ได้ ส่วนคนขายอาหารแห้ง วัตถุดิบจากถั่ว ผักผลไม้ หรืออย่างอื่น ให้ผู้หญิงรับผิดชอบการขายดีกว่า ลูกน้องฉันคงไม่ถนัดทำงานจุกจิกพวกนี้”
ทั้งสองเดินกลับไปที่สำนักงาน พูดคุยกันเพิ่มเติมว่าต้องการพนักงานทั้งหมดกี่คน และควรจัดหาสินค้าอะไรมาขายบ้าง
ตลาดสดของรัฐแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร ก่อนหน้านี้เคยมีพนักงานทำงานอยู่ที่นี่มากกว่าหนึ่งร้อยคน
แต่อย่าลืมว่าหน่วยงานรัฐมีขั้นตอนบริหารจัดการตำแหน่งที่เกินความจำเป็น บางทีตำแหน่งเดียวกลับมีพนักงานตั้งสองสามคน ตลาดสดที่ดำเนินการโดยรัฐก็ไม่มีข้อยกเว้น
หลินม่ายรับเหมาบริหารจัดการด้วยตัวเอง เธอไม่ยอมให้มีหน้าที่งานทับซ้อนกันแบบนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ถึงจำนวนพนักงานจะลดน้อยลง แต่เอาเข้าจริงก็จำเป็นต้องใช้คนมากพอสมควร
เพราะเธอตั้งใจว่าจะทำให้ตลาดสดแห่งนี้มีรูปแบบการซื้อขายแบบเดียวกับซูเปอร์มาร์เก็ตขายอาหารสดในความทรงจำของเธอเมื่อชาติที่แล้ว ข้อแตกต่างแค่อย่างเดียวคือไม่ต้องจ่ายเงินกับแคชเชียร์
เนื่องจากยุคนี้ยังไม่มีกล้องวงจรปิดหรือเครื่องตรวจจับสัญญาณกันขโมย หรือเครื่องคิดเงินที่สามารถตรวจสอบการจ่ายเงินได้ เกิดมีลูกค้าขโมยของขึ้นมาต้องโทรแจ้งตำรวจกันจ้าละหวั่น แถมไม่สามารถป้องกันการขโมยของได้ในระยะยาว!
ดังนั้นเธอจึงใช้วิธีซื้อของจากแผงไหนก็จ่ายเงินตรงโซนนั้นเลย จะได้รับทอนเงินอย่างสะดวก
ในเมื่อเธออยากให้รูปแบบการทำงานเป็นไปตามธุรกิจแบบซูเปอร์มาร์เก็ต เวลาทำงานก็ควรมีระบบระเบียบ
กะเช้าเธอกำหนดไว้ช่วง 6.00 – 14.00 น. ส่วนกะกลางคืนกำหนดไว้ช่วง 13.00 – 21.00 น.
ซึ่งการทำงานแบบสองกะ จะต้องใช้พนักงานประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบคนเป็นอย่างต่ำ
หลินม่ายจัดการเขียนประกาศรับสมัครด้วยตัวเอง ก่อนจะส่งให้เฉินเฟิงเอาไปติดไว้ตรงหน้าประตูทางเข้าตลาดสดในภายหลัง หลังจากนั้นก็หารือกันต่อว่าอาหารทะเลตากแห้งที่จะไปรับซื้อมาจากตามแนวชายฝั่งควรมีอะไรบ้าง และควรคิดราคาอย่างไร
ส่วนผักและพืชผลทางการเกษตรต่าง ๆ ตามฤดูกาล พวกเขาว่าจะไปรับซื้อมาจากชาวบ้านในเมืองซื่อเหม่ย
ความตั้งใจเดิมของเธอที่ตัดสินใจทำสัญญาการค้ากับตลาดสด ก็เพื่อช่วยสนับสนุนให้ชาวบ้านในเมืองซื่อเหม่ยมีรายได้จนสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ฉะนั้นเธอไม่มีทางลอยแพพวกเขา
หลินม่ายกับเฉินเฟิงหารือเรื่องงานเบื้องต้นจนเข้าใจตรงกันครบทุกส่วนแล้ว เรื่องอื่น ๆ ที่ยังคิดไม่ออก พวกเขาค่อยกลับมาคุยกันในภายหลัง
หลินม่ายลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินจากไป
พอเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูสำนักงาน ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันกลับไปถาม “คุณว่าตลาดสดของเราควรเรียกว่าอะไรดี?”
เฉินเฟิงกำลังก้มอ่านดูรายการสินค้าที่พวกเขาเพิ่งเขียนขึ้นมาคร่าว ๆ
พอได้ยินแบบนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้น “ฉันว่าชื่อเดิมก็ดีอยู่แล้ว คนได้ยินชื่อตลาดสดถนนเจี่ยฟางปุ๊บ พวกเขาจะรู้ทันทีว่าตลาดนี้ตั้งอยู่ที่ไหน ถ้าเธอเปลี่ยนไปใช้ชื่อที่หรูหราเกินไป บางทีอาจไม่เป็นที่จดจำสำหรับพวกเขา กลายเป็นชื่อที่แพ้ภัยตัวเอง”
หลินม่ายมีแผนการอยู่ในใจ เนื่องจากตลาดที่ดำเนินการโดยรัฐแห่งนี้เน้นขายสินค้าประเภทของสด ดังนั้นจึงควรมีชื่อเรียกที่ติดหู เพื่อเป็นการวางรากฐานสำหรับเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต
เมื่อชาติที่แล้วเธอจำได้อย่างแม่นยำว่าร้านค้าประเภทซูเปอร์มาร์เก็ตเปิดตัวในจีนเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1993 ถึงตอนนี้จะยังไม่ถึงปี 1993 แต่การวางแผนไว้ล่วงหน้าเป็นสิ่งที่ดีกว่าเสมอ
“ฉันว่า… ตั้งชื่อใหม่ดีกว่า ชื่อเดิมออกจะเรียบง่ายเกินไปหน่อย”
“เธอเป็นเจ้านาย สิทธิ์การตัดสินใจอยู่ที่เธอแล้ว เธออยากเปลี่ยนชื่อเป็นอะไรล่ะ?”
ตอนแรกหลินม่ายอยากให้เขามีส่วนร่วมในการตั้งชื่อ แต่พอเห็นว่าเขาไม่ได้วางแผนว่าจะเปลี่ยนชื่อตลาดใหม่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เธอจึงต้องคิดชื่อตลาดไว้หลาย ๆ ชื่อด้วยตัวเอง
เฉินเฟิงช่วยเลือกในขั้นตอนสุดท้าย ในที่สุดเขาก็เลือกชื่อ ‘ฝูตัวตัว’ นอกจากจะเป็นชื่อมงคลแล้วยังเรียกง่ายและติดหู
ขณะที่หลินม่ายกำลังจะจากไปอีกครั้ง จู่ ๆ เฉินเฟิงก็ถามขึ้นมา “การสอบเข้าชั้นมัธยมปลายเป็นยังไงบ้าง?”
หลินม่ายชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจ้องมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า
ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยบอกเขาว่าตัวเองกำลังจะสอบเข้าชั้นมัธยมปลาย แต่เขากลับรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แสดงว่าเขาแอบจับตามองเธอมาโดยตลอด
ความจริงข้อนี้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด และแปลกใจที่เขาให้ความสนใจชีวิตของเธอขนาดนั้น
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “ก็ดี” จากนั้นก็พยักหน้าแล้วหันหลังเดินออกไป
เมื่อมองตามแผ่นหลังเรียวบางของเธอไป เฉินเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจไม่แพ้เธอ
เขาจงใจถามเพราะอยากรู้ว่าการสอบเข้าชั้นมัธยมปลายของเธอในช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง เพราะต้องการบอกเป็นนัย ๆ ว่าเขาเองก็ห่วงใยเธออยู่ห่าง ๆ และอยากรู้ว่าเธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ดูเหมือนเธอจะรังเกียจเขา…
หลินม่ายเดินออกจากตลาดสด จากนั้นก็แวะเข้าไปหาผู้อำนวยการเขตโอวหยาง
ผู้อำนวยการเขตโอวหยางต้อนรับเธออย่างอบอุ่น ถามอย่างใจดี “คุณติดปัญหาตรงไหนหรือเปล่า?”
“ตอนนี้ไม่ติดปัญหาอะไรแล้วค่ะ” หลินม่ายนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขาพร้อมกับส่งยิ้มให้ “ฉันแค่แวะมาปรึกษาท่านค่ะ พอดีฉันต้องการขายข้าวสารกับน้ำมันในตลาดสดด้วย ไม่แน่ใจว่าจะเป็นไปได้หรือเปล่า”
ผู้อำนวยการเขตโอวหยางเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบว่า “ผมขอคุยกับสำนักจัดการข้าวและน้ำมันก่อน”
ว่าแล้วเขาก็กดหมายเลขโทรหาผู้อำนวยการสำนักงานจัดการข้าวและน้ำมัน
ผู้อำนวยการสำนักงานจัดการข้าวและน้ำมันตอบกลับมาทางโทรศัพท์ว่าสามารถขายได้ แต่จะต้องขายในราคาท้องตลาด ไม่ใช่ราคาที่ทางสำนักงานควบคุม
เพราะถ้าตั้งราคาขายในราคาเดียวกันกับราคาที่วางขายอยู่ในร้านค้าที่ดำเนินการโดยรัฐ เกรงว่าข้าวและน้ำมันในร้านค้าของรัฐอาจขายไม่ออก
ส่วนราคาตลาดที่ผู้อำนวยการสำนักงานจัดการข้าวและน้ำมันพูดถึง เป็นราคาเดียวกันกับที่วางขายในตลาดมืด ซึ่งแพงกว่าราคาในร้านค้าของรัฐแน่นอนอยู่แล้ว
ผู้อำนวยการเขตโอวหยางถ่ายทอดคำพูดของผู้อำนวยการให้หลินม่ายรับทราบ
หลินม่ายคิดในใจ ถึงขายข้าวและน้ำมันในราคาดังกล่าวก็น่าจะพอขายได้
เพราะเธอรู้ดีว่าข้าวสารและน้ำมันในปัจจุบันที่มีวางขายอยู่ แทบไม่เพียงพอต่อความต้องการของปากท้อง
โดยเฉพาะน้ำมัน ทุกคนถูกจำกัดให้ซื้อได้แค่ครั้งละหนึ่งขีด แถมยังเป็นน้ำมันพืช
ถ้าเธอขายน้ำมันที่จำเป็นสำหรับการบริโภค ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันพืช น้ำมันถั่วลิสง รวมถึงธัญพืชต่าง ๆ ในตลาดสด ต้องมีคนสนใจซื้อเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน
ก่อนกลับเข้าร้าน หลินม่ายแวะเข้าไปตรวจดูความคืบหน้าของห้องเดี่ยวริมถนน
นายช่างจางจัดการเดินท่อและเดินสายไฟใหม่ตามที่หลินม่ายร้องขอจนเสร็จตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ผนังห้องถูกทาสีขาวแล้วเรียบร้อย ประตูห้องก็ทาสีใหม่ หน้าต่าง รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ก็ได้รับการซ่อมแซมใหม่ทั้งหมด
ตอนที่งานตกแต่งภายในเพิ่งเสร็จใหม่ ๆ กลิ่นสีในห้องเหม็นตลบเป็นพิเศษ หลินม่ายไม่อยากให้หลี่หมิงเฉิงรีบย้ายเข้า เพราะกลัวว่าการสูดดมสารเคมีอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเขา
แต่พอเข้าไปเช็กดูอีกครั้งในวันนี้ ภายในห้องไม่เหม็นกลิ่นสีอีกต่อไป สารเคมีที่อยู่ในสีคงระเหยไปจนหมดแล้ว ดังนั้นหลี่หมิงเฉิงสามารถย้ายเข้ามาที่นี่ได้เลย
ออกจากห้องเดี่ยวแล้ว หลินม่ายก็แวะไปที่ตึกแถวสไตล์ตะวันตก
นายช่างจางกำลังคุมคนงานผู้ชายสองสามคนให้จัดการตกแต่งภายในอยู่พอดี
หลังจากพูดคุยกับนายช่างจางอีกครั้ง เขาคาดการณ์ว่าตึกทั้งหลังจะเสร็จสิ้นการปรับปรุงภายในเวลาครึ่งเดือน หลินม่ายจึงติดประกาศรับสมัครงานไว้ตรงประตูทางเข้าร้านเปาห่าวซือที่กำลังเปิดกิจการอยู่ในขณะนี้
เธอไม่อยากใช้ร้านใหม่เป็นสถานที่สำหรับรับสมัครงาน เพราะกลัวว่าอาจมีคนสนใจมาสมัครงานมากเกินไป ถ้าพวกเขาแห่มาพร้อมกันทีละหลาย ๆ คน อาจส่งผลกระทบต่องานของนายช่างจางและลูกมือของเขา
แต่ถ้าใช้ร้านเปาห่าวซือเป็นสถานที่รับสมัคร จะไม่เกิดปัญหาทำนองนั้นขึ้นแน่
ปกติข้างในร้านของเธอก็แน่นขนัดพออยู่แล้ว ผู้สมัครงานเหล่านั้นไม่มีทางเบียดเสียดยัดเยียดกันเข้าไป เว้นแต่พวกเขาจะมีปัญหาทางสมอง ปกติแล้วพวกเขาควรรออยู่นอกร้าน
พนักงานในร้านรู้สึกแปลกใจมากเมื่อเห็นว่าหลินม่ายติดประกาศรับสมัครคนอีกแล้ว จึงถามว่า “ร้านของเรามีพนักงานเพียงพอแล้ว ทำไมถึงต้องรับสมัครคนงานเยอะขนาดนี้ด้วยล่ะคะ?”
หลินม่ายขยิบตาให้อีกฝ่าย “เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดร้านใหม่ยังไงล่ะ”
นอกเหนือจากโจวฉายอวิ๋น ทุกคนต่างถามหลินม่ายด้วยความฮือฮาว่าร้านใหม่อยู่ที่ไหน
หลินม่ายตอบอย่างคลุมเครือ “ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่แหละ”
หลังจากทำงานนี้เสร็จแล้ว หลินม่ายก็เรียกหลี่หมิงเฉิงขึ้นไปคุยกันที่ชั้นบน
ปกติแล้วหลินม่ายไม่อนุญาตให้หลี่หมิงเฉิงขึ้นไปชั้นบนโดยไม่จำเป็น แต่จู่ ๆ เธอกลับเรียกเขาให้ขึ้นไปคุยกันข้างบน ไม่ใช่แค่หลี่หมิงเฉิงคนเดียว แม้แต่โจวฉายอวิ๋นยังประหลาดใจ “เธอเรียกหมิงเฉิงขึ้นไปข้างบนทำไมกัน!”
หลินม่ายสังเกตเห็นความอยากรู้อยากเห็นบนใบหน้าอีกฝ่าย จึงเชื้อเชิญ “ถ้าพี่อยากรู้ว่ามีเรื่องอะไร งั้นพี่ก็ขึ้นมาฟังด้วยกันสิ”
ทั้งสามเดินขึ้นบันไดไป ก่อนจะนั่งลงในห้องนั่งเล่นขนาดย่อม
หลินม่าย “คืออย่างนี้ ฉันซื้อห้องเดี่ยวแบบมีห้องครัวแยกต่างหากบนถนนเฉียนจิ้นไว้ จ้างช่างมาเดินระบบน้ำไฟและปรับปรุงใหม่เรียบร้อยแล้ว เลยว่าจะให้หมิงเฉิงย้ายไปอยู่ที่นั่น เขาจะได้ไม่ต้องนอนบนเตียงเปลในร้านทุกคืน”
หลี่หมิงเฉิงยิ้มอย่างมีความสุข “ผมตั้งตารอวันย้ายเข้าเลยแหละ!”
ตั้งแต่หลินม่ายบอกเขาว่าเธอซื้อห้องเดี่ยวไว้ให้เขาแล้ว เขาก็ตั้งตาคอยตลอดทั้งวันทั้งคืน นับวันรอที่ตัวเองจะได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่น
ถึงแม้เขาจะเป็นเด็กบ้านนอก แถมยังเป็นผู้ชาย แน่นอนว่าเข้าไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมากนัก แต่การที่ต้องขึงเตียงเปลนอนในร้านทุกคืนก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง
การมีห้องส่วนตัวเป็นอะไรที่ดีกว่า อย่างน้อยก็อยู่ได้อย่างสะดวกสบาย
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สมฐานะเถ้าแก่เนี้ยมากค่ะ จัดการอะไรต่างๆ เป็นระบบดีมากเลย
ไหหม่า(海馬)