แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 288 ญาติของตู้กวงฮุย
ตอนที่ 288 ญาติของตู้กวงฮุย
แต่นคนร้ายทั้งสองคนกลับปฏิเสธไม่ยอมรับว่าพวกเขาทุบตีหวังหรงเพราะได้รับค่าจ้างจากหลินม่าย
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเรียกหวังหรงกลับมาที่สถานีตำรวจอีกครั้ง แล้วบอกหล่อนว่า “คนร้ายทั้งสองปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เขาจะยอมรับสารภาพก็ต่อเมื่อคุณสามารถพาพยานสองรายนั้นมาชี้ตัวพวกเขา แบบนั้นเราถึงจะระบุตัวตนของเขาได้”
หวังหรงคิดว่าตราบใดที่หล่อนแจ้งเบาะแส คนร้ายทั้งสองต้องให้การรับสารภาพว่าตัวเองรับเงินค่าจ้างจากหลินม่ายทันทีที่พวกเขาถูกจับกุม
เพราะนั่นเป็นฉากที่ตู้กวงฮุยจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า
นึกไม่ถึงว่าคนร้ายทั้งสองจะไม่สวมบทบาทเล่นไปตามแผนการที่เขาเตรียมการไว้ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจร้องขอให้หล่อนไปตามพยานทั้งสองมาให้ปากคำ
ปัญหาเกิดขึ้นแล้ว พยานที่เห็นเหตุการณ์สองคนนั้นไม่มีจริงสักหน่อย แล้วหล่อนจะไปหาพยานสองคนนั้นจากที่ไหนกันล่ะ?
หวังหรงหมดสิ้นหนทางจนต้องกลับไปหาตู้กวงฮุยเพื่อขอคำปรึกษา
หล่อนถามอย่างเป็นกังวล “คุณเคยยืนยันกับฉันไม่ใช่เหรอ ว่าตราบใดที่นักเลงสองคนนั้นถูกตำรวจตามจับได้ พวกเขาจะซัดทอดว่าเป็นฝีมือของนังสารเลวนั่นทันที ทำไมพวกมันถึงไม่ยอมทำตามแผนการที่คุณวางไว้ล่วงหน้าล่ะ? หรือระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ตู้กวงฮุยลูบคางสากของเขาพลางคาดเดา “ไม่มีอะไรผิดพลาดแน่ พวกเขาสองคนติดหนี้พนันฉันตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ถ้าพวกเขาไม่ยอมทำตามคำสั่ง ก็หนีไม่พ้นต้องหาเงินมาจ่ายหนี้พนันให้ครบ หรือไม่ก็ถูกสับมือสับเท้าจนไม่มีความกล้าไปสู้หน้าใครได้อีก อาจเป็นเพราะพวกเขาอยากสวมบทบาทให้สมจริงก็ได้ เลยจงใจไม่ยอมรับว่าตัวเองดักทำร้ายคุณ”
หวังหรงเริ่มกระวนกระวาย “แต่ถ้าเขาไม่ยอมสารภาพว่าดักทำร้ายฉัน งั้นก็หาทางลากนังนั่นเข้าคุกไม่ได้แล้วน่ะสิ แล้วความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาของเราจะไม่สูญเปล่าเอาเหรอ?”
หล่อนอยากเห็นหลินม่ายถูกส่งตัวเข้าคุกใจจะขาดอยู่แล้ว
ตู้กวงฮุยจ้องมองหล่อนด้วยสายตาโลมเลีย “ฉันคิดวิธีแก้ปัญหาดี ๆ ไม่ค่อยออกเลยแฮะ ถ้าเธอยอมให้ฉันกินเนื้อหวานอร่อยสักหน่อย บางทีฉันอาจจะคิดอะไรออกก็ได้”
เขาเคยได้เสียกับหวังหรงมาแล้วครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นมา เขาก็กระหายอยากจะได้ตัวหวังหรงเป็นครั้งที่สองอยู่เสมอ
ตู้กวงฮุยไม่รอให้หวังหรงตอบสนอง กลับโถมกายกระโจนเข้าใส่หล่อนราวกับตัวเองเป็นหมาป่าที่หิวโหย
หลังจากเสร็จสมอารมณ์หมายแล้ว เขาก็ลูบไล้ไปตามใบหน้าอันบอบบางของหวังหรงพลางพูดว่า “ผมจะไปหาพยานสองคนนั้นมาให้คุณเอง”
ตอนบ่าย หวังหรงจึงพาพยานหน้าม้าทั้งสองคนที่ตู้กวงฮุยจัดหามาไปยังสถานีตำรวจ
ทันทีที่พยานทั้งสองเห็นหน้าคนร้ายสองคนนั้นอย่างชัดเจน พวกเขาก็จดจำได้แทบจะในทันทีว่าพวกเขาคือคนที่รุมทำร้ายหวังหรงในคืนนั้น
พยานทั้งสองยังสามารถบรรยายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นฉาก ๆ
พวกเขาเล่าว่าคืนนั้น ตนเองได้ยินเสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากในป่า จึงชะเง้อมองเข้าไปจากบริเวณนอกแนวป่าด้วยความอยากรู้ เห็นว่าคนร้ายทั้งสองวิ่งสวนออกมาด้วยอาการตื่นตระหนก
พวกเขารีบวิ่งเข้าไปในป่าอย่างกล้าหาญทันที เห็นว่าหวังหรงกำลังกระเสือกกระสนถอดกระสอบออกจากศีรษะ
ด้วยกลัวว่าพวกคนร้ายจะย้อนกลับมา จึงพากันวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงออกไป
เจ้าหน้าที่ตำรวจฟังอย่างอดทน ก่อนจะหันไปถามคนร้ายทั้งสองอย่างจริงจัง “พวกคุณมีอะไรจะแก้ตัวไหม?”
คนร้ายทั้งสองกลับไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนก “เราไม่มีอะไรจะแก้ตัว แต่เรามีหลักฐานเป็นเทปเสียง อยากให้สหายตำรวจเปิดฟังดูประกอบการพิจารณา”
นายตำรวจคนหนึ่งหยิบเทปจากมือของเขา ก่อนจะเปิดเล่นในเครื่องบันทึกเทปซันโย
ทุกคนได้ยินบทสนทนาระหว่างผู้ชายหลายคน “ตราบใดที่พวกนายทำตามที่ฉันพูด รับสารภาพซัดทอดความผิดไปที่ผู้หญิงชื่อหลินม่ายได้ ฉันจะยอมยกหนี้พนันที่พวกนายค้างชำระให้ทั้งหมด ไม่อย่างนั้นละก็ พวกนายจะหาเงินมาจ่ายหนี้พนันให้ฉัน หรือจะยอมโดนตัดมือก็เลือกเอา”
ใบหน้าของพยานทั้งสองเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
ยังไม่ทันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสอบสวนพวกเขาเพิ่มเติม พวกเขาก็รีบสารภาพว่า “ตู้กวงฮุยจ่ายเงินจ้างพวกเราให้มาเป็นพยาน พวกเราไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น…”
ไม่นานหลังจากนั้น ตู้กวงฮุยจึงถูกจับกุมตัวไปที่สถานีตำรวจ
เขาไม่นึกเลยว่าคนร้ายทั้งสองจะแอบบันทึกเสียงในระหว่างที่เขากำลังเจรจาเตรียมแผนการ ถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ต้องการปฏิเสธแต่ก็จนด้วยหลักฐาน
เขาไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับสารภาพความผิดของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา แถมยังซัดทอดไปถึงหวังหรง
เขาบอกว่าที่ทำทุกอย่างลงไปก็เพื่อแก้แค้นแทนแฟนสาวของเขา
หวังหรงกำลังนั่งรอข่าวดีอยู่ที่บ้านของแม่เฒ่าหวัง
ใครจะคิดว่าหล่อนอุตส่าห์รอแล้วรอเล่า แต่กลับได้รับข่าวอันน่าเศร้าว่าตู้กวงฮุยถูกจับกุม
ในขณะที่หล่อนกำลังสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาหาหล่อนถึงหน้าประตู แล้วพาตัวหล่อนออกไป ขอให้หล่อนกลับไปที่สถานีตำรวจเพื่อให้ความร่วมมือในการสอบสวนคดีนี้
ระหว่างที่หวังหรงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจพาตัวไป เพื่อนบ้านหลายคนในละแวกนั้นเห็นเข้า ต่างก็ชี้นิ้วนินทาไปทางบ้านของแม่เฒ่าหวัง
แม่เฒ่าหวังรู้สึกหดหู่ใจมาก อยากให้บรรดาเพื่อนบ้านหยุดพุ่งเป้าความสนใจมาที่ตน และหยุดพูดถึงตนกันเสียที
ทว่าตัวซวยอย่างหวังหรงดูเหมือนกลัวว่าชีวิตบั้นปลายของนางจะสงบราบรื่นจนเกินไป จึงสร้างเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาอีกครั้งจนเพื่อนบ้านกลับมานินทากันอย่างสนุกปาก ลากศพออกไปโบยซ้ำ
ถึงแม้ตู้กวงฮุยจะมีความสัมพันธ์พิศวาสกับหวังหรง แต่เขากลับรับสารภาพว่าตัวเองจงใจสร้างสถานการณ์เพื่อปกป้องหล่อน ไม่ยอมพูดความจริงว่าหล่อนเป็นคนล่อลวงเขา
ไม่ว่าจะอย่างไร หวังหรงก็เป็นผู้หญิงที่เขารักใคร่อย่างสุดซึ้ง เขายอมทนเห็นหล่อนเข้าคุกไม่ได้
ดังนั้นหลังจากที่หวังหรงโยนความผิดทุกอย่างให้กับตู้กวงฮุย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เอาแต่วิจารณ์และอบรมหล่อนอยู่นาน คุมขังหล่อนไว้ที่สถานีตำรวจเป็นเวลาห้าวัน ก่อนจะได้รับการปล่อยตัว
แต่ตู้กวงฮุยกลับถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลาห้าปี โทษฐานมั่วสุมเล่นการพนัน
หวังหรงซีดเซียวไปทั้งใบหน้าและร่างกาย เดินออกมาจากสถานีตำรวจด้วยความงุนงง กลับไปที่บ้านของแม่เฒ่าหวัง
เมื่อมองจากระยะไกล หล่อนเห็นเพื่อนบ้านหลายคนยืนอยู่หน้าประตูลานบ้านที่เปิดโล่งของแม่เฒ่าหวัง หลายคนต่างชะเง้อมองเข้าไป
หวังหรงอดสงสัยไม่ได้ ปกติแล้วแม่เฒ่าหวังมักจะปิดประตูลานบ้านเงียบเชียบ ทำไมวันนี้ถึงได้เปิดประตูลานบ้านกว้างนัก?
แล้วเพื่อนบ้านเหล่านี้กำลังสอดรู้สอดเห็นเรื่องอะไรกัน?
เมื่อหล่อนสืบเท้าเข้าไปใกล้ด้วยความสงสัย ก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญปนกับเสียงสาปแช่งของผู้หญิงและเด็กหลายคนที่อยู่ในลานบ้าน นั่นยิ่งทำให้หล่อนรู้สึกงงงวยยิ่งกว่าเก่า
ทันทีที่เพื่อนบ้านในละแวกเดียวกันเห็นการมาของหล่อน จึงปรี่เข้ามาทักทายอย่างหวังดีประสงค์ร้าย “หรงหรง เธอกลับมาได้สักที ถ้ากลับมาช้ากว่านี้ เห็นทีลานบ้านของคุณย่าเธอคงพังยับเยินแน่”
หวังหรงตอบรับคำทักทายของพวกเขาด้วยท่าทางงุ่มง่าม
เพื่อนบ้านเหล่านั้นยังคงรวมตัวกันอยู่หน้าประตูลานบ้านของแม่เฒ่าหวังเพื่อรับชมความตื่นเต้น แหวกทางให้หวังหรงเดินเข้าไปแต่โดยดี
เมื่อหวังหรงเดินเข้าไปในลานบ้าน หล่อนเห็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกหวายตัวโปรดของแม่เฒ่าหวัง เอาแต่ปาดน้ำตาพลางร้องไห้อย่างขมขื่น “เวรกรรมอะไรของฉัน!”
เด็กอายุประมาณสามสี่ขวบก็แหกปากร้องไห้จนเหมือนจะขาดใจตายอยู่รอมร่อ
หญิงวัยกลางคนคนนั้นสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาทั่วไป ส่วนผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าก็รุมชี้หน้าและตะโกนด่าทอพ่อกับแม่ของหวังหรงไม่หยุดปาก
ผู้หญิงสามคนนี้หน้าตาละม้ายคล้ายตู้กวงฮุยมากทีเดียว
หัวใจของหวังหรงดิ่งวูบลงทันที ผู้หญิงทั้งสามคนนี้ไม่ใช่ญาติของตู้กวงฮุยหรอกหรือ?
ถ้าพวกหล่อนเป็นญาติของตู้กวงฮุยจริง ๆ แล้วทำไมรูปลักษณ์ภายนอกถึงดูไม่มีสง่าราศีแบบที่เจ้าพนักงานรัฐวิสาหกิจควรจะเป็นเลยล่ะ
ฉันถูกหลอกอย่างนั้นเหรอ?
หญิงวัยกลางคนชี้หน้าด่าแม่หรง “ลูกสาวแกหลอกให้ลูกชายฉันเปิดร้านอาหาร ครอบครัวของพวกแกต้องชดใช้ความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น! ที่ลูกชายฉันโดนจับเข้าคุกก็เพราะลูกสาวแกเหมือนกัน ไม่ว่ายังไงวันนี้พวกแกต้องให้คำอธิบายกับฉัน!”
หญิงสาวอีกสองคนพูดเสริมขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม “ถ้าพวกคุณไม่ยอมให้คำอธิบายเรื่องพี่ชายของฉัน เราก็จะอยู่ในบ้านของพวกคุณนี่แหละ!”
พอหวังหรงได้ยินแบบนั้น จึงแน่ใจแล้วว่าผู้หญิงทั้งสามคนนี้ต้องเป็นญาติของตู้กวงฮุยไม่ผิดแน่
คิดแล้วหล่อนก็แทบอยากร้องไห้ ที่แท้ตู้กวงฮุยโกหกหล่อนมาโดยตลอด ไม่ใช่แค่หลอกลวงหล่อน แต่ยังหลอกลวงเพื่อนร่วมงานทุกคนในสำนักงาน จนทุกคนคิดว่าพ่อแม่ของเขาเป็นถึงพนักงานระดับอาวุโสของหน่วยงานรัฐ
แม่หรงรู้สึกโล่งใจมากเมื่อเห็นว่าในที่สุดหวังหรงก็กลับมาสักที หล่อนพยักพเยิดไปทางแม่ตู้และพี่สาวทั้งสองคนของตู้กวงฮุยพลางพูดด้วยความเหนื่อยหน่าย “ในเมื่อคนที่สร้างปัญหาคือหล่อน งั้นพวกคุณก็ไปเรียกร้องเอาจากหล่อนสิ ไม่ใช่จากเรา พวกเราไม่มีเงินจ่ายให้คุณหรอกนะ”
แม่ตู้ชำเลืองมองหวังหรงอย่างเฉยเมย ก่อนจะตอบกลับอย่างเย็นชา “ฉันไม่สนว่าคนที่จ่ายเงินให้พวกเราจะเป็นใคร แต่เราไม่ยอมออกไปแน่ถ้าพวกแกไม่ยอมจ่ายค่าชดเชยให้กับฉัน!”
หวังหรงพยายามเกลี้ยกล่อมแม่ตู้อย่างสิ้นหวัง “ขอเวลาให้ฉันสักสิบวันเถอะค่ะ ครบสิบวันเมื่อไหร่ ฉันจะจ่ายเงินค่าชดเชยที่คุณต้องการให้แน่นอน แต่ตอนนี้ฉันยังไม่มีปัญญาหาเงินมาจ่ายให้คุณจริง ๆ ขืนพวกคุณอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์”
หลังจากงัดความพยายามออกมาใช้ทุกวิถีทาง ในที่สุดพวกเขาก็สามารถเชิญญาติ ๆ ของตู้กวงฮุยออกไปจากลานบ้านได้สำเร็จ
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ยิ่งแก้แค้นผลกรรมยิ่งย้อนเข้าหาตัวเอง เธอควรหยุดรังควานม่ายจื่อตั้งนานแล้วยัยหรง
ไหหม่า(海馬)