แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 299 เสื้อผ้าสำเร็จรูปขยับราคาสูงขึ้น
ตอนที่ 299 เสื้อผ้าสำเร็จรูปขยับราคาสูงขึ้น
หัวหน้าสือลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ดูเหมือนหัวหน้าลู่จะมีสินค้าประเภทนั้นอยู่ ฉันจะลองติดต่อเขาดู”
หลินม่ายขอบคุณหล่อน จากนั้นก็ไปที่โกดังเพื่อดูตู้เย็นยี่ห้อ Toshiba จำนวนสามพันตู้ที่เคอจื่อฉิงพูดถึง พบว่าตู้เย็น Toshiba สามพันตู้นั้นค่อนข้างกินพื้นที่ในโกดังไปมากพอสมควร
เธอเดินวนดูสินค้าภายในโกดังเป็นเวลานาน พอเห็นว่ามีกล่องบรรจุชุดชั้นในก็เกิดสนใจขึ้นมา หันไปพูดกับเคอจื่อฉิง “ฉันขอดูแบบเสื้อชุดชั้นในพวกนี้หน่อยได้ไหม?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” เคอจื่อฉิงหยิบคัตเตอร์มากรีดเทปปิดฝากล่อง จากนั้นก็เปิดกล่องชุดชั้นในให้เธอดู
ชุดชั้นในพวกนั้นมีสีสันสดใสสะดุดตามาก
หลินม่ายหยิบยกทรงสีแดงกลีบกุหลาบขึ้นมาพิจารณาดู ก่อนจะออกแรงบีบเบา ๆ เพื่อตรวจสอบ
ชุดชั้นในพวกนี้ตัดเย็บจากเนื้อผ้าคุณภาพดี แถมยังตกแต่งด้วยลูกไม้อย่างสวยงาม ชุดชั้นในลายลูกไม้เป็นแฟชั่นที่เธอชอบมากที่สุดเมื่อยังมีชีวิตอยู่ในชาติที่แล้ว
เธอถามว่า “ชุดชั้นในพวกนี้ขายราคาเท่าไหร่?”
เคอจื่อฉิงรู้สึกประหลาดใจ “เธออยากซื้อไปขายเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้า
เคอจื่อฉิงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยายามโน้มน้าว “ฉันว่าเธออย่าซื้อชุดชั้นในพวกนี้ไปเลย”
หลินม่ายไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ?”
เคอจื่อฉิงร่ายยาวให้ฟัง “วัฒนธรรมของประเทศอื่นเขาเปิดกว้างกว่าประเทศของพวกเรามาก คงไม่มีใครกล้าสวมใส่ชุดชั้นในสีฉูดฉาดแบบนี้แน่ อีกอย่าง ปกติราคาขายชุดชั้นในพวกนี้ตกชิ้นละสามสิบหยวนเข้าไปแล้ว เธอคิดเหรอว่าจะมีใครยอมควักเงินซื้อชุดชั้นในที่มีราคาแพงขนาดนั้น? เอาเงินจำนวนเท่ากันไปซื้อเสื้อโค้ตสวย ๆ ยังคุ้มซะกว่า เกิดเธอเหมาชุดชั้นในพวกนี้ไปแล้วขายไม่ออกขึ้นมาจะไม่ขาดทุนแย่เหรอ? ต่อให้ต้นทุนตกตัวละสามหยวน แต่ถ้าซื้อสามหมื่นตัว เธอต้องจ่ายเก้าหมื่นหยวนเชียวนะ!”
หลินม่ายกลับไม่กังวลว่าชุดชั้นในพวกนี้จะขายไม่ออก
เธอเกิดใหม่มาครั้งหนึ่งแล้ว รู้ดีว่านับตั้งแต่มีการปฏิรูปและเปิดประเทศ สัญชาตญาณความรักสวยรักงามของสาว ๆ ก็เหมือนถูกปลดล็อกตามไปด้วย แน่นอนว่าพวกหล่อนต้องอยากแสวงหาความสวยงามในฐานะที่เป็นผู้หญิง
ก่อนยุคทศวรรษที่ 1980 ผู้หญิงในประเทศจีนไม่สวมชุดชั้นในกันด้วยซ้ำ พวกหล่อนสวมใส่เพียงเสื้อกั๊กทำมือที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับผ้าคาดหน้าอกในสมัยโบราณ
จนกระทั่งปี 1980 เป็นต้นมา ชุดชั้นในก็เริ่มมีวางจำหน่ายประปรายแต่ในห้างสรรพสินค้า แต่เนื้อผ้ากลับมีคุณภาพย่ำแย่ รูปแบบเฉิ่มเชย แตกต่างจากชุดชั้นในนำเข้าพวกนี้ที่นอกจากจะมีคุณภาพดีแล้วยังมีรูปแบบสวยงามน่าใส่
ชุดชั้นในแบบนี้ ถ้าวางขายตามท้องตลาดทั่วไปเข้าจริง ๆ ต่อให้มีราคาแพงแค่ไหนคนก็สนใจซื้อ
อย่าประเมินกำลังซื้อของผู้หญิงต่ำจนเกินไป
เธอหันไปตอบเคอจื่อฉิงอย่างฉะฉานมั่นใจ “ไม่ต้องกังวล ฉันหาทางขายได้แน่”
พอเห็นว่าเธออยากได้มันจริง ๆ เคอจื่อฉิงก็ไม่คิดจะเกลี้ยกล่อมอีกต่อไป แถมยังชี้ไปทางกล่องกระดาษลังอีกสองสามกล่องที่วางอยู่ไม่ไกล “ดูเหมือนว่ากล่องนั้นจะมีกางเกงชั้นในผู้ชายด้วยนะ เธออยากซื้อไปด้วยไหม?”
สำหรับหล่อนแล้ว กางเกงชั้นในผู้ชายที่ว่ายังดูมีแนวโน้มว่าจะขายดีกว่าชุดชั้นในพวกนั้นเสียอีก
หล่อนสนับสนุนให้หลินม่ายเหมากางเกงชั้นในชายไปขายด้วย เผื่อว่าเธอขาดทุนจากการที่ขายชุดชั้นในสตรีไม่ออก กางเกงชั้นในพวกนั้นอาจพอชดเชยการขาดทุนของเธอได้บ้าง
หลินม่ายขอให้เคอจื่อฉิงช่วยแกะกล่องกางเกงชั้นในชายเพื่อที่จะดูคุณภาพและรูปแบบการตัดเย็บ ปรากฏว่าพวกมันเป็นกางเกงชั้นในธรรมดาทั่วไป ดังนั้นจึงตัดสินใจซื้อมาด้วย
กางเกงชั้นในชายสามหมื่นตัว ราคาทุนตกอยู่ที่สามหมื่นหยวน เธอเอาไปขายตัวละห้าหยวนก็ยังพอได้กำไร
หลินม่ายวางแผนว่ารอบนี้จะซื้อชุดชั้นในสตรี กางเกงชั้นในชาย และตู้เย็นอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น
ทั้งสองออกมาจากโกดัง ขอให้หัวหน้าสือช่วยเซ็นใบอนุมัติให้
หัวหน้าสือเซ็นใบอนุมัติไปพลางก็พูดกับหลินม่ายไปพลาง “หัวหน้าลู่มีจักรเย็บผ้าอยู่ในมือพอดี เห็นว่าสินค้าเพิ่งขนย้ายเข้ามาในโกดังวันนี้ ฉันไปขอให้เขาช่วยแบ่งมาให้คุณสักหนึ่งร้อยหลัง ไม่รู้ว่าเพียงพอหรือเปล่า?”
จักรหนึ่งร้อยหลังนั้นไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลย แต่หัวหน้าสือกลับพูดอย่างสบาย ๆ ราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ในตอนนี้มันอาจจะยังมากเกินความจำเป็น แต่ในอนาคตอาจจะพอดีก็ได้ เพราะกิจการโรงงานอาจขยายตัวอย่างรวดเร็ว
หลินม่ายพยักหน้าพร้อมตอบกลับ “พอแล้ว พอแล้วค่ะ ขอบคุณหัวหน้าสือมากนะคะ”
เคอจื่อฉิงเดินออกมาจากห้องทำงานของหัวหน้าสือ เสนออีกทางหนึ่งว่า “ถ้าเธออยากซื้อจักรโพ้งเพิ่ม งั้นลองไปดูที่เซิ่งเสียนลี่สิ ที่นั่นมีตลาดมืดที่ขายเครื่องจักรกลกับเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะ แต่ฉันยังต้องทำงานต่อ คงไปส่งเธอไม่ได้”
หลินม่ายจึงไปที่เซิ่งเสียนลี่ตัวคนเดียวตามเส้นทางที่อีกฝ่ายบอก
ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าเดินเข้าไปจนสุดซอยเพราะกลัวเหตุไม่คาดฝัน
เธอหยุดอยู่แค่หน้าปากซอย ขอให้คนแถวนั้นช่วยกระจายข่าวว่าเธอสนใจซื้อจักรโพ้งจำนวนมาก วันพรุ่งนี้เธอจะมาที่นี่ในเวลาเดียวกันกับวันนี้ ให้พ่อค้าที่มีของนำตัวอย่างสินค้ามาต่อรองราคาได้เลย
มื้อเที่ยงวันนี้เธอแวะกินบะหมี่เกี๊ยวตามลำพัง หลังจากกินอิ่มแล้ว ก็เดินทางต่อไปที่ตลาดค้าส่งเสื้อผ้า
เนื่องจากเวลานี้เป็นช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวที่สุดของวัน ทำให้มีผู้คนมาจับจ่ายซื้อของในตลาดค้าส่งเสื้อผ้าน้อยกว่าตอนเช้า
หลินม่ายไล่ถามราคาเสื้อผ้าจากทุกร้าน และแล้วก็พบว่าเสื้อผ้าสำเร็จรูปทั้งหมดมีราคาแพงขึ้นมาก
เสื้อปีกค้างคาวที่เคยมีราคาขายส่งอยู่ที่ตัวละแปดหยวน ตอนนี้ขยับขึ้นเป็นตัวละสิบหยวน
เธอถามเจ้าของร้านขายส่งเสื้อผ้าด้วยความฉงนสนเท่ห์ “ทำไมเสื้อผ้าถึงมีราคาแพงขึ้นกว่าเดิมขนาดนี้ล่ะคะ?”
เถ้าแก่เนี้ยผายมือออก ตอบกลับอย่างจนปัญญา “คุณคงไม่รู้ว่าช่วงนี้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เสื้อผ้าสำเร็จรูปก็พลอยขยับราคาสูงขึ้นตามไปด้วย เสื้อผ้าขึ้นราคา เจ้าของธุรกิจอย่างเรา ๆ ยิ่งค้าขายลำบาก”
หัวใจหลินม่ายเต้นตึกตักเมื่อได้ยินแบบนั้น
เจียงเฉิงตั้งอยู่กลางแผ่นดินใหญ่ ความเจริญเข้าถึงช้ากว่าเมืองที่ตั้งอยู่แถบชายฝั่งทะเลประมาณครึ่งหนึ่ง
ถึงราคาวัตถุดิบในเมืองชายแดนจะพุ่งสูง แต่ผลกระทบนี้ก็ยังไปไม่ถึงที่นั่น
ถ้าเธอลงมือเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ เริ่มกักตุนผ้าไว้ตั้งแต่ตอนนี้ แล้วค่อยตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปออกมาขายตอนที่ราคาตลาดพุ่งสูงทันกัน นั่นเท่ากับว่าเธอสามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้นไม่ใช่เหรอ?
กว่างโจวในยุคสมัยนี้เริ่มมีการติดตั้งโทรศัพท์สาธารณะตามท้องถนนบ้างแล้ว แต่ยังมีจำนวนไม่มากนัก
หลินม่ายเองก็เพิ่งสังเกตเห็นตอนเดินทางมาที่กว่างโจวในครั้งนี้
เธอใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรหาฟางจั๋วหราน ขอให้เขาช่วยบอกเถาจืออวิ๋นให้ไปที่โรงงานสิ่งทอขนาดใหญ่เพื่อกว้านซื้อผ้าจำนวนมาก รวมถึงสั่งผ้าบางชนิดไว้
เน้นย้ำด้วยว่าให้สั่งผ้าไนลอน(1)กับผ้าเรยอน(2)เป็นพิเศษ
เธอจำได้ว่าเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ไปปีนเขาเป็นที่นิยมมากในยุคนี้
และเนื้อผ้าที่นิยมนำมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าปีนเขาก็คือผ้าไนลอนกับผ้าเรยอน
วันรุ่งขึ้น หลินม่ายไปที่เซิ่งเสียนลี่ตามเวลานัดหมาย
ครั้งนี้เธอไม่ได้ไปคนเดียว แต่ยอมควักเงินสิบหยวนเพื่อจ้างช่างตัดเสื้อชายวัยกลางคนให้ไปกับเธอด้วย เหตุผลหลักก็เพื่อให้เขาช่วยตรวจสอบอีกแรงหนึ่งว่าเครื่องจักรที่พ่อค้าในตลาดมืดเอามาเสนอขายนั้นดีหรือไม่ดี
พ่อค้าหลายคนยืนรออยู่หน้าปากซอย แต่ละคนมีจักรโพ้งวางอยู่ข้างตัว
ทันทีที่รู้ข่าวว่าหลินม่ายสนใจซื้อจักรโพ้งเป็นจำนวนมาก พวกเขาก็รีบแบกตัวอย่างสินค้าออกมาเสนอขาย
หลินม่ายพาคุณลุงช่างตัดเสื้อเดินดูจักรโพ้งหลายหลังด้วยกัน จากนั้นก็ถอยออกมายืนห่าง ๆ
คุณลุงช่างตัดเสื้อชี้ไปที่จักรโพ้งของพ่อค้าหนุ่มร่างอ้วน “ไอ้หนุ่มคนนั้นขายจักรที่ลักลอบนำเข้ามาจากฮ่องกง คุณภาพสินค้าดีกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศมาก”
หลังจากนั้นก็ชี้ไปที่จักรโพ้งอีกหลังหนึ่งพลางวิเคราะห์ด้วยสายตาเฉียบแหลม “จักรโพ้งที่ไอ้หนุ่มนั่นเอามาขายดูเหมือนมีการยกเครื่องใหม่”
หลินม่ายพอใจมากที่ตัวเองตัดสินใจจ้างผู้เชี่ยวชาญไม่ผิดคน ถ้าเธอเดินดุ่ม ๆ มาเลือกซื้อเอง มีหวังถูกหลอกแน่
เธอจ่ายทิปให้คุณลุงช่างตัดเสื้อเพิ่มอีกสิบหยวน “ครั้งต่อไปถ้าฉันอยากได้จักรเย็บผ้าหรือจักรโพ้งอีก ฉันจะใช้บริการคุณอีกครั้งนะคะ”
คุณลุงช่างเย็บผ้าตอบรับอย่างยินดี ก่อนจะเดินจากไปอย่างมีความสุขพร้อมกับค่าเสียเวลาที่ได้รับจากหลินม่ายเป็นจำนวนมาก
หลินม่ายเดินเข้าไปต่อรองกับชายอ้วน ขอให้เขาช่วยส่งจักรโพ้งจำนวนสามสิบหลังไปที่เขตชุมชนที่เคอจื่อฉิงอาศัยอยู่ในอีกห้าวันหลังจากนี้ ตอนนั้นเธอถึงจะจ่ายเงินค่าสินค้าให้
ชายคนนั้นถามด้วยความสงสัย “ทำไมต้องรออีกห้าวันล่ะครับ ขนไปส่งให้ตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ?”
หลินม่ายบอกเขาอย่างตรงไปตรงมา “ตอนนี้ฉันยังไม่มีเงินก้อนพอจ่ายหรอกค่ะ รอธนาณัติส่งมาถึงที่นี่เมื่อไหร่ฉันถึงจะมีเงินซื้อ”
ขณะที่หลินม่ายกำลังยุ่งอยู่กับการซื้อของในกว่างโจว หวังเหวินฟางกับครอบครัวของหวังหรงก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ
นับตั้งแต่วันที่หวังเหวินฟางไปตามหาฟางจั๋วเยวี่ยถึงโรงงานแต่กลับคว้าน้ำเหลว ครอบครัวตระกูลหวังก็เริ่มสืบหาที่อยู่ของฟางจั๋วเยวี่ยจากทุกพื้นที่ใกล้เคียง
ถ้ายังตามตัวเขาไม่พบ วิดีโอเปิดโปงความอนาจารของหวังหรงที่อยู่ในมือเขาก็ไม่ต่างอะไรจากระเบิดเวลา
ท้ายที่สุด หวังเหวินฟางก็จำเป็นต้องไปดักรอลูกชายแท้ ๆ อย่างฟางจั๋วเยวี่ยอยู่ที่หน้าประตูโรงงาน
ทุกครั้งที่ฟางจั๋วเยวี่ยมองเห็นผู้เป็นแม่ เขาอดเลื่อมใสในความพยายามของอีกฝ่ายไม่ได้
เพื่อหลบหน้าหล่อน เขาถึงกับยอมไม่ไปทำงาน ไม่กล้าอยู่แม้แต่หอพักสวัสดิการ ต้องเปิดห้องในโรงแรมเพื่อซุกหัวนอนเป็นเวลาหลายวัน
พอเห็นว่าแม่เอาแต่นั่งยอง ๆ รออยู่หน้าโรงงานของเขาอย่างไม่ละความพยายาม ความเพียรที่จะหลบหน้าหล่อนก็เริ่มหายไป
เขาไม่อยากอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะเขาไม่สามารถหนีหน้าหล่อนไปตลอดได้
เขาเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาหล่อน ถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “แม่ต้องการอะไรจากผม?”
หวังเหวินฟางลากเขาออกไปคุยด้านข้าง ออกคำสั่งเสียงต่ำอย่างกระวนกระวายใจ “วิดีโอที่แกถ่ายไว้อยู่ไหน เอาออกมาลบให้แม่เห็นเดี๋ยวนี้เลย!”
ฟางจั๋วเยวี่ยแกล้งทำเป็นไขสือ “วิดีโออะไร?”
“วิดีโอที่แกแอบถ่ายหรงหรงไงล่ะ”
ฟางจั๋วเยวี่ยแกล้งทำเป็นสับสน “ถึงหวังหรงจะสวยออกปานนั้น แต่ผมไม่สนใจแอบถ่ายวิดีโอหล่อนไว้หรอกน่า”
ทันใดนั้นก็เบิกตากว้างเหมือนคนรู้แจ้ง “แม่หมายถึงวิดีโอที่หวังหรงพยายามจะยั่วยวนพี่ชายผมใช่ไหม ผมไม่ส่งให้แม่หรอก ผมจะเก็บมันไว้ข่มขู่แม่กับญาติ ๆ ตราบใดที่พวกเขายังกล้าวางแผนลอบกัดพี่ชายผมอีก ผมจะเผยแพร่วิดีโอนั้นเพื่อประจานทันที ทุกคนจะได้มีมนุษยธรรมกันซะบ้าง”
หวังเหวินฟางโมโหลูกชายจนแทบอาเจียนออกมาเป็นเลือด
ถึงหล่อนจะพยายามโน้มน้าวทุกวิถีทางเพื่อขอให้ฟางจั๋วเยวี่ยส่งวิดีโอเทปนั้นให้ แต่ลูกชายของหล่อนกลับไม่ยอมทำตามคำสั่งโดยดี
ท้ายที่สุด แม่เฒ่าหวังกับคนอื่น ๆ จึงต้องเป็นฝ่ายผลัดกันมาขอร้อง
ครอบครัวหวังหรงให้สัญญาว่าพวกเขาจะไม่วางแผนรวบหัวรวบหางฟางจั๋วหรานอีก แทบจะกราบกรานให้เขาส่งวิดีโอเทปนั้นให้
ฟางจั๋วเยวี่ยเยาะเย้ยว่าถ้าคำสัญญาจากปากคนตระกูลหวังเชื่อถือได้ แม่หมูคงปีนขึ้นต้นไม้ได้แล้ว
แม่เฒ่าหวังถึงขั้นขู่ว่าถ้าเขาไม่ยอมส่งวิดีโอเทปนั้นให้ นางจะฆ่าตัวตายต่อหน้าเขา
ฟางจั๋วเยวี่ยพูดกวนประสาทกลับว่า ถึงการได้เห็นคนฆ่าตัวตายต่อหน้าจะฟังดูน่ากลัวไปบ้าง แต่เขาก็กล้าหาญพอที่จะสัมผัสประสบการณ์ใหม่
ในเมื่อแม่เฒ่าหวังอยากฆ่าตัวตายต่อหน้าเขาก็อย่ามัวลังเล ต่อให้นางฆ่าตัวตายจริง เขาก็ไม่ต้องรับผิดทางกฎหมายเสียหน่อย
หวังเหวินฟางร้องไห้ด้วยความขมขื่น กล่าวหาว่าเขาทั้งเย็นชาและโหดเหี้ยม
ฟางจั๋วเยวี่ยโต้กลับว่าพวกเขาต่างหากที่ไร้จิตสำนึก ตอนที่ทุกคนรู้แผนลอบกัดพี่ชายของเขา ทุกคนกลับเห็นดีเห็นงามไปกับมัน ตัวเองเป็นอีกาแต่กลับหัวเราะเยาะหมูดำ(3)เสียอย่างนั้น
จนแล้วจนรอด แม้แต่ฟางเว่ยกั๋วก็เจรจาขอวิดีโอเทปจากเขาไม่สำเร็จ
ทุกคนจำใจต้องใช้ชีวิตต่อไปเหมือนรอคอยให้ระเบิดถึงเวลาปะทุของมัน
ห้าวันต่อมา หลินม่ายเอาเงินไปซื้อจักรโพ้งสามสิบตัวตามที่เจรจานัดหมาย แถมยังซื้อสินค้าทั้งหมดที่สั่งจองไว้จากโกดังด่านศุลกากรด้วย
พอทำเรื่องขนส่งเสร็จเรียบร้อย หลินม่ายก็ขึ้นรถไฟกลับบ้าน
เธอกลับมาถึงเจียงเฉิงในเวลาประมาณห้าโมงเย็น
ทันทีที่เดินมาตามถนนเจี่ยฟาง หลินม่ายก็ได้กลิ่นหอมเตะจมูกของผงยี่หร่าลอยมาแต่ไกล
เธอเดินตามกลิ่นมาเรื่อย ๆ เห็นว่าร้านรวงและแผงลอยต่าง ๆ เริ่มออกมาค้าขายริมถนนในช่วงตลาดกลางคืนบางแล้ว กลิ่นยี่หร่าที่ว่าก็ลอยมาจากแผงลอยร้านหนึ่งที่ชื่อช่วนช่วนเซียง
ร้านไหนก็ตามที่ปิ้งย่างแล้วโรยด้วยผงยี่หร่า กิจการจะคล่องตัวเป็นพิเศษ แผงช่วนช่วนเซียงนี้ก็มีลูกค้ามาอุดหนุนเต็มทุกที่นั่ง
หลินม่ายเร่งฝีเท้ากลับไปที่ร้านเซาเข่าของตัวเองทันที ทันใดนั้นก็โล่งใจเมื่อเห็นว่ายังมีลูกค้าเต็มร้าน
นี่แสดงให้เห็นว่า ‘เหรินเจียนเยียนหั่ว’ ของเธอยังคงมีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมเช่นเคย ร้านคู่แข่งรอบข้างไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อเธอมากนัก
ตอนนี้โจวฉายอวิ๋นกลายเป็นผู้จัดการร้านเหรินเจียนเยียนหั่วเต็มตัว
พอหลินม่ายเดินเข้าไปในร้านก็ถามทันที “แผงลอยช่วนช่วนเซียงมีผงยี่หร่าขายตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ตั้งแต่วันที่เธอไปกว่างโจวแรก ๆ แล้ว” โจวฉายอวิ๋นพูดอย่างไม่แยแส “ฉันเลิกสนใจกิจการของคนอื่นไปนานแล้ว ตั้งใจทำธุรกิจของตัวเองให้ดีอย่างสม่ำเสมอ ร้านของเราถึงจะอยู่ยงคงกระพัน”
หลินม่ายเห็นว่าทัศนคติของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปจากเดิม แถมยังใจเย็นขึ้น ทำให้รู้สึกโล่งใจมาก
ยิ่งเห็นว่าหล่อนบริหารจัดการร้านอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เธอก็ยิ่งชื่นใจเข้าไปใหญ่
ในที่สุดการที่เธอพยายามฝึกฝนอีกฝ่ายอย่างหนักก็ไม่เสียเปล่า หล่อนเติบโตขึ้นจนยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้แล้ว
หลินม่ายเดินออกมาจากร้าน ขณะที่กำลังจะกลับเข้าบ้านทางประตูด้านหลัง ป้าเผิงที่เป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวเสี่ยวหงก็เดินเข้ามาคว้าแขนเธอไว้ ถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “เสี่ยวหลิน เธอใช่ไหมที่รับปากว่าจะจ่ายเงินค่าต่อเติมบ้านให้เสี่ยวหง?”
หลังจากบ้านของหลินม่ายต่อเติมชั้นเพิ่ม บ้านของเสี่ยวหงกับบ้านของป้าเผิงก็มีการต่อเติมชั้นเพิ่มด้วยเช่นกัน
นับตั้งแต่หลินม่ายย้ายมาอยู่ที่นี่ เธอมักจะได้ยินสองครอบครัวนี้ทะเลาะกันเสียงดังเรื่องผนังบ้านที่ต้องต่อเติมร่วมกัน
หลินม่ายหันไปมองแม่เสี่ยวหงที่เดินออกจากบ้านของตัวเองมาพอดี แล้วหันกลับมาตอบคำถามของป้าเผิง “เปล่าค่ะ แม่เสี่ยวหงเป็นคนรับปากว่าถ้าบ้านของเธอต่อเติมเสร็จเมื่อไหร่ เธอจะออกเงินจ่ายค่าผนังบ้านให้ฉันอีกครึ่งหนึ่ง”
ป้าเผิงถามต่อ “แล้วหล่อนจ่ายให้เธอหรือยัง?”
หลินม่ายส่ายหน้า “ยังค่ะ ช่วงนี้ฉันงานยุ่งมากเลยไม่ได้ติดตามเรื่องนี้เลย”
ว่าแล้วก็ส่งยิ้มให้พลางพูดขอตัว “ฉันนั่งรถไฟมาทั้งวันแล้ว เหนื่อยและเมื่อยมาก ขอกลับเข้าบ้านไปพักผ่อนก่อนนะคะ”
จากนั้นเธอก็เดินเข้าบ้านไป ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างเพื่อนบ้านทั้งสองอีก
หลินม่ายเดินจากไปยังไม่ทันถึงห้าเมตร ก็ได้ยินป้าเผิงตะคอกใส่แม่เสี่ยวหง “ก่อนหน้านี้หล่อนเคยด่าว่าฉันขี้เหนียว ไม่ใจกว้างเหมือนเสี่ยวหลินงั้นเรอะ? ที่แท้เสี่ยวหลินก็ไม่ได้มีน้ำใจออกค่าใช้จ่ายในการต่อเติมผนังบ้านทั้งหมดให้หล่อนซะหน่อย หล่อนต่างหากที่ติดหนี้ไม่ยอมจ่ายเงินให้คนอื่น! ฉันอยู่มาจนอายุห้าสิบ นี่เป็นครั้งแรกที่พบเจอเพื่อนบ้านจอมเอาเปรียบแบบหล่อน!”
แม่เสี่ยวหงอดกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่อีกต่อไป “เงินแค่ไม่กี่สิบหยวน ฉันจะหามาจ่ายให้คุณเดี๋ยวนี้แหละ!”
………………………………………………………………………………………………………………………….
ผ้าไนลอน เป็นผ้าใยสังเคราะห์ 100% เส้นใยจะเรียบและเป็นมัน ให้สัมผัสที่นุ่มลื่น นิยมนำมาทำร่มกันแดด เสื้อคลุมกันฝน และกระเป๋า
ผ้าเรยอน ผลิตจากเส้นใยไฟเบอร์หรือไหมเทียม มีลักษณะนิ่ม ลื่น ซึ่งต่างจากไหมธรรมชาติเพราะมีความมันวาวกว่า นิยมนำมาตัดกระโปรง ชุดเดรส ผ้าม่าน หรือผ้าปูโต๊ะ
เป็นอีกาแต่หัวเราะเยาะหมูดำ เปรียบเปรยว่า เห็นข้อบกพร่องของอีกฝ่าย แต่ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง
สารจากผู้แปล
หู้ววว กิจการรุ่งเรืองกว่าเดิมแล้ว ขนาดเอาตู้เย็นมาขายได้คือไม่ธรรมดา
ครอบครัวหวังนี่อย่าหวังว่าจะทำอะไรสองพี่น้องฟางได้เลยค่ะ แสบกันทั้งคู่
ไหหม่า(海馬)