แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 309 ความหวาดผวาของซุนกุ้ยเซียง
ตอนที่ 309 ความหวาดผวาของซุนกุ้ยเซียง
หลินเพ่ยกลัวจนหน้าซีดเผือด พลันคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหัวขอร้องอ้อนวอน “พี่ชายทั้งหลาย ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันขอร้องล่ะ!”
ผู้ชายคนหนึ่งถีบหล่อนล้มกลิ้งลงกับพื้น “ก้มหัวอะไรของแก! พวกเรารับคำสั่งจากพี่เฟิง ให้ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดี จัดระเบียบแกกับแม่โสเภณีแก่ของแก แล้วส่งพวกแกกลับบ้านเก่า”
เมื่อได้ยินคำว่า“กลับบ้านเก่า” หลินเพ่ยกับซุนกุ้ยเซียงที่ขดตัวหลบอยู่ในมุมห้องต่างก็ตกใจกลัวสุดขีด ร้องไห้วิงวอนขอความเมตตา
“หนวกหูจริงเลยโว้ย!” ผู้ชายคนหนึ่งบ่นขึ้น เขากับลูกน้องอีกสองสามคนใช้ผ้าขี้ริ้วอุดปากหลินเพ่ยสองแม่ลูกเอาไว้
โดยไม่สนการต่อต้านสุดแรงเกิดของพวกหล่อน พวกเขาบังคับถอดเสื้อผ้าเปื้อนเลือดที่ถูกฉีกเป็นเศษเล็กเศษน้อยบนร่างของพวกหล่อนออก
แล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าดูดีที่ค่อนข้างใหม่สองชุด ทั้งยังมีรองเท้าแบบสวม แถมยังหวีผม แต่งหน้าให้กับพวกเธออีกด้วย
สองแม่ลูกที่ดูจนตรอกกระเซอะกระเซิงเหลือทนเมื่อครู่นี้ ในตอนนี้ต่างก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาแล้ว
มองแวบแรก คงไม่มีใครมองออกว่าพวกหล่อนเพิ่งจะถูกทุบตีอย่างรุนแรงมา
ลูกน้องคนหนึ่งมองตรวจสอบหลินเพ่ยสองแม่ลูกอยู่สองสามครั้ง แล้วจึงพูด “เอาล่ะ น่าจะส่งพวกหล่อนออกเดินทางได้แล้วล่ะ”
สองแม่ลูกได้ยินคำว่าออกเดินทางก็ตกใจกลัวจนน้ำตานองหน้า พลันส่ายหน้าสุดชีวิต แต่ไม่มีใครสนใจพวกหล่อนเลยสักคนเดียว
ลูกน้องอีกคนหนึ่งนึกภาพที่สองแม่ลูกคู่นี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อครู่ขึ้นมา ใบหน้าของเขาก็เผยสีหน้าผะอืดผะอมขึ้นมา
เขาเอามือปิดปากแล้วพูด “รอเดี๋ยว ให้ฉันไปอ้วกก่อน” พูดจบก็พุ่งออกไปอาเจียนข้างนอกห้องในทันที
คนอื่นๆ เองก็พูดขึ้น “พวกเราเองก็ขอไปอ้วกบ้าง” แล้วพวกเขาก็วิ่งออกไปอาเจียนกันอุตลุด
ลูกน้องคนหนึ่งที่เหลืออยู่ชำเลืองมองหลินเพ่ยแม่ลูกอย่างคลื่นไส้ แล้วก็วิ่งออกไปอาเจียนเช่นเดียวกัน
หลินเพ่ยนั้นหมดอาลัยตายอยาก แม้แต่การร้องไห้คร่ำครวญก็ลืมไปแล้ว
กลุ่มคนหนุ่มในช่วงวัยกำลังคึกคะนองเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หล่อน หวีผมแต่งหน้าให้ ไม่เพียงไม่มีแผนมิดีมิร้ายเลยแม้แต่น้อย ยังพากันไปอาเจียนด้วยความคลื่นไส้กันหมด
หากตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกผู้ชายเห็นหล่อนแล้วมีปฏิกิริยาเช่นกันกันหมด หล่อนยังจะสามารถจับผู้ชายคนไหนได้อีก!
หลังพวกลูกน้องอาเจียนจนหมดแล้ว ก็พาสองแม่ลูกไปส่งขึ้นรถไฟกลับบ้านแล้วจึงจากไป
สองแม่ลูกต่างโล่งใจไปเปลาะใหญ่ ที่แท้คำว่า“กลับบ้านเก่า”ที่ลูกน้องของเฉินเฟิงพูดนั้นหมายถึงกลับบ้านเก่าตามตัวจริงๆ
พวกหล่อนนึกว่าหมายถึงจะสังหารพวกหล่อนมาตลอด กลัวจนปัสสาวะแทบเล็ดอยู่แล้ว
ซุนกุ้ยเซียงชิงชังที่หลินเพ่ยใช้นางเป็นเครื่องมือครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้ตนต้องเจอความลำบากไม่น้อย
จึงทั้งทุบทั้งตีหล่อนไปตลอดทาง กระทั่งถึงบ้านก็ยังไม่ให้หล่อนเข้าบ้าน
หลินเพ่ยสิ้นเนื้อประดาตัวทั้งไร้ที่จะไป
ต่อให้หล่อนอยากจะขายเรือนร่าง ก็ต้องรักษาบาดแผลบนร่างกายก่อน
ด้วยเหตุนี้ต่อให้ซุนกุ้ยเซียงจะทุบตีเตะต่อยหล่อนอย่างไรหล่อนก็ไม่ยอมจากไป แต่เกาะประตูรั้วเอาไว้แน่น แล้วร้องเสียงดังอย่างน่าเวทนา คร่ำครวญโหยหวนจนคนในหมู่บ้านได้ยินกันหมด
จนแทบจะทำให้คนทั้งหมู่บ้านคร่ำครวญ
เหล่าชาวบ้านต่างพากันเกลี้ยกล่อมซุนกุ้นเซียง “เธอบอกว่าเธอเป็นแม่คนไม่ใช่เหรอ คนเล็กถูกบังคับจนออกไปแล้ว แม้แต่วันฉลองปีใหม่ก็ยังไม่กลับมา ตอนนี้ยังติดจะไล่คนโตไปอีก นี่เธอไม่คิดจะเอาลูกสาวสักคนเลยเหรอ?”
“พวกเธอบอกว่าลูกคนเล็กเป็นตัวซวย ดวงข่มพ่อขัดแม่ แต่คนโตคนนี้พวกเธอประคบประหงมเลี้ยงดูเติบโตขึ้นมา แล้วทำไมยังจะไล่ออกไปข้างนอกอีกเล่า?”
ทุกคนแย่งกันพูดเจี๊ยวจ๊าว จนเรียกให้ผู้ดูแลหมู่บ้านออกมา
สุดท้าย ด้วยแรงกดดันจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และผู้ดูแลหมู่บ้านออกหน้ามาเอง ซุนกุ้ยเซียงจึงเก็บหลินเพ่ยเอาไว้พร้อมก่นด่าสาปแช่ง
เมื่อแม่สามีกับน้องสามีไปในเมืองกลับมา เติ้งซิ่วจือจึงถือโอกาสไปดูสักหน่อย
หล่อนคาดหวังว่าพวกหล่อนจะกอบโกยผลประโยชน์มาจากหลินม่ายมาได้ แต่กลับเห็นเพียงแม่สามีทุบตีน้องสามีราวกับศัตรูคู่แค้นก็ไม่ปาน
ทั้งยังด่าทอหลินม่ายเป็นลูกอกตัญญู อุตส่าห์ทำงานหาเลี้ยงแทบตาย พอได้ดีมีทรัพย์สินเงินทองอยู่ในเมือง เงินแม้แต่เฟินเดียวก็ไม่ให้!
เติ้งซิ่วจือมองดูอยู่สักพักก็กลับไป
เดิมทีหล่อนวางแผนเอาไว้ว่า หากแม่สามีกับน้องสามีกอบโกยผลประโยชน์จากหลินม่ายมาได้ หล่อนเองก็จะไปเอาจากหล่อนมาสักหน่อยเหมือนกัน
ในเมื่อแม่กับน้องสามียังเอามาไม่ได้ ตนเองก็อย่าไปหวังเลย
หลินเพ่ยนั้นแม้จะถูกซุนกุ้ยเซียงฝืนใจเก็บเอาไว้ แต่ต่อให้ไม่ตายก็อยู่อย่างทุกข์ทรมาน ทั้งยังถูกหลินเจี้ยนกั๋วทุบตีอีกรอบหนึ่ง
ทุบตีจนกระทั่งท่อนไม้ในมือหัก เขาถึงยอมหยุดมือ
ในตอนนั้นเองก็ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว
หลินเจี้ยนกั๋วหันหน้าไปมองซุนกุ้ยเซียง เห็นนางนั่งเหม่อลอยอยู่บนม้านั่งไม่ขยับเขยื้อน สายตาว่างเปล่าทอดมองไปที่ไหนสักแห่ง ทันใดนั้นเขาก็โมโหขึ้นมา และพุ่งเข้าตะคอกใส่นาง “ฟ้ามืดแล้ว ยังไม่ไปทำกับข้าวอีก? เธอเองก็อยากโดนบ้างงั้นเหรอ!”
ซุนกุ้ยเซียงนึกถึงฉากที่ถูกหลินเจี้ยนกั๋วทารุณเมื่อก่อนขึ้นมาในฉับพัน
ความหวาดผวาที่ถูกทุบตีทำให้นางกระโดดลุกขึ้นมาจากม้านั่ง แล้วพูดอย่างหวาดกลัว “ฉันจะไปทำกับข้าวเดี๋ยวนี้แหละ”
หลินเจี้ยนกั๋วชำเลืองมองลูกสาวคนโตที่นอนหายใจรวยรินเหมือนกับซากสุนัขบนพื้นเล็กน้อย แล้วนั่งสูบบุหรี่ราคาถูกรอกินข้าวเย็นอยู่ในห้องนั่งเล่น
ยังไม่ทันที่ซุนกุ้ยเซียงจะทำอาหารเย็นเสร็จ ก็กลับได้กลิ่นข้าวไหม้โชยออกมาจากในครัว
สีหน้าของหลินเจี้ยนกั๋วบูดบึ้งขึ้นมาทันใด
เขาโยนบุหรี่ที่สูบจนเหลือแต่ก้นลงพื้นอย่างแรง ลุกยืนขึ้นแล้วใช้เท้าขยี้มัน ก่อนมุ่งไปที่ห้องครัวด้วยความโกรธเกรี้ยว
เห็นซุนกุ้ยเซียงนั่งอยู่หน้าเตาด้วยท่าทางเลื่อนลอย เพิ่มฟืนเข้าไปในเตาเหมือนกับเครื่องจักร พร้อมกับกลิ่นไหม้ที่โชยออกมาจากหม้อ
หลินเจี้ยนกั๋วยกขาถีบใส่ ทำเอาซุนกุ้ยเซียงโดนถีบจนหงายล้มขาชี้ฟ้า
หลินเจี้ยนกั๋วพูดด้วยความโมโห “ข้าวไหม้หมดแล้ว ไม่ได้กลิ่นเหรอ? เธอเป็นซากศพหรือยังไง?”
เมื่อนั้นซุนกุ้ยเซียงถึงได้สติกลับมา หล่อนไม่สนใจความเจ็บปวดของร่างกายที่ถูกถีบ แล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาเปิดฝาหม้อออกอย่างลนลาน
มันเทศและข้าวสวยดีๆ ทั้งหม้อ ตอนนี้กลายเป็นก้อนสีดำ ไม่มีทางกินได้เลย
เพราะเงินเก็บออมที่มีไม่มากของครอบครัวถูกหลินเพ่ยขโมยไป แถมยังเอาไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย จึงทำให้หลินเจี้ยนกั๋วมีอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายอยู่ตลอด
เมื่อเห็นซุนกุ้ยเซียงทำข้าวเย็นไหม้จนเป็นถ่านดำ ทันใดนั้นเขาก็เดือดดาลเหลือทน แล้วถีบซ้ำเข้าไปอีกครั้ง “นังผู้หญิงล้างผลาญครอบครัว ให้เธอทำข้าวเย็น เธอก็ยังทำจนกลายเป็นแบบนี้อีกเหรอ?”
ซุนกุ้ยเซียงถูกถีบลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง
หล่อนตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาอีกครั้ง เผยสีหน้าหวาดกลัว พูดพลางหลั่งน้ำตา “ฉันเจอมันแล้ว!”
ตั้งแต่ได้พบกับคนคนนั้นที่หล่อนหวาดกลัว ก็จิตใจสับสนวุ่นวายมาตลอด
ตอนนี้กลับมาที่บ้านแล้ว ความหวาดกลัวนั้นก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น รุนแรงเสียจนทำให้นางพังทลายลง
หลินเจี้ยนกั๋วถามด้วยความรำคาญ “เธอเจอใครงั้นเหรอ?”
“เป็น… เป็นผู้ชายของนักบัญชีเหมิง…”
พอหลินเจี้ยนกั๋วได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงทันที
เขาชะโงกหัวออกมาจากห้องครัว มองไปยังห้องนั่งเล่น
เห็นหลินเพ่ยนอนอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อนราวกับคนตาย
แล้วจึงหดศีรษะกลับมา กดเสียงเบา “เจอแล้วยังไงต่อ? เขาไม่รู้เสียหน่อยว่าพวกเราเป็นคนฆ่า!”
ซุนกุ้ยเซียงเม้มปากแล้วพูด “แต่…ถ้าไม่ใช่เขา คดีก็คงปิดลงและตัดสินว่านักบัญชีเหมิงหอบเงินหนีไปนานแล้ว แล้ว…แล้วจะเปลี่ยนเป็นคดีฆาตกรรมอีกได้ยังไง?”
ในตอนแรกถ้าคดีนั้นไม่กลายเป็นคดีฆาตกรรม พวกเขาสองสามีภรรยาเองก็คงไม่ลุกลนหนีจากในเมืองมาอยู่ชนบทห่างไกลความเจริญนี่หรอก
ยิ่งไม่มีทางทำเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้นหายไประหว่างหลบหนีด้วย
นางกลัวเหลือเกินว่าตอนนี้ผู้ชายของนักบัญชีเหมิงจะยังสืบคดีนั้นอยู่ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องขุดคุ้ยมาถึงพวกนางสองสามีภรรยาแล้ว
หลินเจี้ยนกั๋วอย่างไรก็เป็นผู้ชาย เขาเพียงตื่นตระหนกเล็กน้อยในตอนแรกสุด ก่อนจะใจเย็นลง
เขาโบกมือ “อย่าตื่นตระหนกไปเองเลย ถ้าผู้ชายของนักบัญชีเหมิงมีความสามารถมากขนาดนั้น ก็คงตรวจสอบมาถึงตัวพวกเราตั้งนานแล้ว หลายปีมานี้พวกเราต่างก็อยู่อย่างสงบสุข ศพของนักบัญชีเหมิงน่ากลัวว่าคงจะเน่าเปื่อยเป็นซากแล้ว คดีนี้ก็เหมือนหินที่จมลงใต้ทะเล ไม่มีทางผุดขึ้นมาเจอแสงเดือนแสงตะวันอีก สิ่งที่เราต้องทำก็แค่อดทนรออีกไม่กี่ปี รอจนพ้นอายุความ ก็จะกลับไปที่เมืองได้แล้ว”
สองสามีภรรยาสนใจแต่การพูดคุยกัน ไม่มีใครสังเกตบางสิ่งในห้องนั่งเล่นเลย ว่าตอนนี้หลินเพ่ยหูผึ่งตั้ง และกำลังพยายามจับคำพูดของพวกเขา
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ครอบครัวนรกนี่จะไปสุดที่ตรงไหน กรรมตามทันแล้วสินะ
หรือว่านักบัญชีเหมิงนี่จะเป็นแม่ตัวจริงของหลินม่าย?
ไหหม่า(海馬)