แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 31 ข้าวเที่ยงหนึ่งมื้อ
ตอนที่ 31 ข้าวเที่ยงหนึ่งมื้อ
มีคุณปู่ฟางช่วยรับซื้อมันเทศและสินค้าเกษตรอยู่ หลินม่ายจึงเตรียมตัวกลับเมือง
สองแม่ลูกเถียหนิวไม่ชำนาญการค้าขาย เธอจึงไม่วางใจ รีบกลับไปขายเกาลัดต่อ ถือโอกาสทำเงินให้ได้มากที่สุดก่อนปีใหม่
เธอยังไม่ทันได้กล่าวลา คุณย่าฟางเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง “ม่ายจื่อ ปีใหม่นี้พาโต้วโต้วกลับมาฉลองที่บ้านนะ”
สาเหตุที่หลินม่ายต้องซื้อมันเทศถึงสองพันชั่ง เพราะตั้งใจว่าในช่วงปีใหม่จะเหลือไว้ทำขนมฉาวเมี่ยนวอมาขายในเมือง
การกลับชาติมาเกิดใหม่ครั้งนี้ เธอไม่ได้คิดเรื่องอื่น คิดแต่จะหาเงินให้ได้เยอะ ๆ ให้ตัวเองและโต้วโต้วได้มีชีวิตที่ดี
แต่เมื่อเห็นสายตาที่ดูกระตือรือร้นของคุณย่าฟาง ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ได้แต่พยักหน้าตอบรับ
คุณย่าฟางคลี่ยิ้มทันใด
หลินม่ายยังสองจิตสองใจ เพราะอยากกลับไปขายของในเมืองโดยเร็ว
คุณย่าฟางจึงต้องตัดใจ “แม้จะบอกว่าการค้าขายเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ไม่น่ารีบร้อนขนาดนั้น รถไฟขบวนแรกมาถึงสถานีฮั่นโขวเวลาเที่ยงตรง เธอยากไปตอนนี้ก็คงไปไม่ได้ ย่าจะไปซื้อปลา หั่นเนื้อ เตรียมอาหารให้เธอกินก่อนออกเดินทาง ดูเธอตอนนี้สิ ผ่ายผอมเหลือแต่เนื้อหุ้มกระดูกแล้ว” กล่าวจบ ก็หยิบตะกร้าออกไป
หลินม่ายอยากบอกว่าเธอนั่งรถประจำทางกลับเมือง แต่ก็ไม่ได้พูด
รอจนคุณย่าฟางซื้อวัตถุดิบกลับมา หลินม่ายจึงได้แต่พับแขนเสื้อ แล้วลงมือทำอาหาร
ปลาเฉาที่มีน้ำหนักตัวถึงสองชั่งเป็นปลาที่เธอกินได้ถึงสองเมนู หัวปลาและเครื่องในทำเป็นซุปหัวปลาใส่เต้าหู้
ตัวปลาหั่นเป็นชิ้นนำมาทอดน้ำแดง จากนั้นก็เติมผักดองลงไปผัดเข้าด้วยกัน นี่คือทักษะการทำอาหารแบบง่าย ๆ
นำเนื้อส่วนหางจำนวนหนึ่งชั่งมาสับละเอียดจนนุ่มละมุนลิ้นละลายในปาก
เมื่อกินอาหารไปแล้วสองสามอย่างสองปู่ย่าก็ถึงกับชมไม่ขาดปาก
ขณะที่สองปู่ย่ากำลังอิ่มหนำสำราญกับมื้ออาหารนั้น พวกเขาพยายามให้หลินม่ายกินเยอะ ๆ ซึ่งนั้นทำให้เธอรู้สึกผิดในใจมากหลายเท่า
อาวุโสทั้งสองท่านเห็นเธอเป็นเหมือนหลานสาวคนหนึ่ง กลับมาครั้งนี้เธอกลับไม่ได้ซื้ออะไรมาฝากพวกเขา
หลินม่ายจึงรีบกินมื้อเที่ยง จากนั้นก็ตรงขึ้นรถไฟทันที
เมื่อลงจากรถไฟที่สถานีฮั่นโขว หลินม่ายก็ถือโอกาสไปเยี่ยมเยือนแม่เฒ่าผาง
กระทั่งเห็นนางกำลังขายข้าวเหนียวห่อปาท่องโก๋อยู่หน้าบ้านของตัวเองจากที่ไกล ๆ แม้ว่ากิจการค้าขายจะยังไม่ดีมากนัก แต่ก็ไม่ได้แย่ มีคนเข้าไปซื้ออย่างต่อเนื่อง
ลูกชายและลูกสะใภ้ของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกสกุลอู๋หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว แต่กลับมีใบหน้าที่คุ้นเคยสองสามคนออกมาตั้งขายเกาลัดและสินค้าตัวอื่น
หลินม่ายไม่ค่อยคุ้นหน้าพวกชาวบ้านที่อยู่ใกล้เมืองซื่อเหม่ยเหล่านั้นมากนัก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เดินเข้าไปทักทาย แต่ตรงมาหาแม่เฒ่าผางพลางเรียกขานนางว่าคุณย่า
แม่เฒ่าผางเงยหน้าขึ้นกระทั่งเห็นเธอ ก็พาลดีใจเสียยกใหญ่
ถึงขั้นจะทำข้าวเหนียวห่อปาท่องโก๋ให้เธอกิน แต่ถูกหลินม่ายปฏิเสธ บอกว่าเธอกินมื้อเที่ยงมาแล้ว แม่เฒ่าผางจึงต้องถอดใจ
หลินม่ายเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “กิจการไม่ดีเหรอ?”
แม่เฒ่าผางเอ่ยด้วยสีหน้าพึงพอใจ “ก็พอขายได้อย่างน้อยวันละห้าหยวน สำหรับหญิงแก่อย่างฉันแค่นี้นับว่าไม่เลวแล้ว”
แม้นางจะเป็นคนเก่าคนแก่ของเมืองเจียงเฉิง แต่ก็ไม่มีงานทำ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเงินเกษียณรองรับ
แก่ตัวก็ต้องอาศัยลูก ๆ ดูแล กลายเป็นภาระของลูก ๆ ทำให้รู้สึกหดหู่ใจมาตลอด
ตอนนี้อาชีพแม่ค้าขายข้าวเหนียวห่อปาท่องโก๋ไม่เพียงแต่จะหาเลี้ยงตัวเองได้ ยังหาเงินได้มากกว่าลูกชายและลูกสะใภ้อีกด้วย ได้ยืดเส้นยืดสายอยู่ในบ้านบ้างก็ดี
หลินม่ายพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “งั้นก็ดีค่ะ”
จากนั้นก็คุยถึงหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นว่าทำไมถึงไม่มาขายเกาลัดแล้ว
แม่เฒ่าผางจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “จะมาได้ยังไง ตราบใดที่พวกเขามาเปิดแผงตั้งขาย จะมีนักศึกษาที่ยืนอยู่หน้าแผงขายของพวกเขาเข้ามาโน้มน้าวลูกค้าให้กลับไปทันที พวกเขาจะขายต่อไปได้ยังไง ทำได้แค่ต้องเก็บร้านไป!”
หลินม่ายอึ้งงันไปครู่หนึ่ง เธอคาดไม่ถึงว่าฟางจั๋วหรานจะออกหน้าอย่างร้ายกาจขนาดนี้เพื่อเธอ ใช้วิธีการนี้มาบีบบังคับจนหญิงหน้าไหว้หลังหลอกหนีกระเจิง
เมื่อนำวิธีการของตัวเองมาเทียบกับวิธีการของเขา นับว่าวิธีของเธออ่อนประสิทธิภาพอย่างมาก
ใช่ว่าเธอจะไม่เคยคิดจ้างคนรายงานหลังจากที่ตัวเองจากไป ให้คุณป้าอู๋ไม่สามารถตั้งแผงขายของที่นี่ได้
แต่มันก็หยิกเล็บเจ็บเนื้อ เธอกลัวว่าการทำแบบนี้ นอกจากจะตัดช่องทางหาเงินของหญิงอ้วนข้างบ้านแล้ว หญิงอ้วนคนนั้นอาจจะอาฆาตพยาบาทแม่เฒ่าผางก็ได้
ไม่ว่ายังไง หญิงอ้วนคนนั้นยังพอหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำจากหญิงหน้าไหว้หลังหลอกสกุลอู๋คนนั้น
แต่เจ้าตัวถูกนักศึกษาขับไล่ หญิงอ้วนต้องมาหาเรื่องแม่เฒ่าผางแน่นอน
หลินม่ายยังไม่วายเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “คุณป้าบ้านนั้นถูกขับไล่แบบนั้น เพื่อนข้างบ้านจะมาหาเรื่องคุณยายไหมคะ?”
แม่เฒ่าผางเอ่ยอย่างดูถูก “หล่อนจะมีสิทธิ์อะไรมาหาเรื่องฉันเล่า ฉันไม่กลัวหล่อนหรอก ลูก ๆ ของฉันเยอะ หล่อนไม่กล้ามาหาเรื่องฉันหรอก”
หลินม่ายจึงวางใจ จากนั้นพูดคุยอีกเล็กน้อยแล้วกลับไป
เธอตรงไปยังห้างสรรพสินค้าเมืองเจียงเฉิงที่อยู่ไม่ไกลนัก ตั้งใจจะซื้อของขวัญ กระทั่งช่วงบ่ายคุณปู่ฟางกลับมาถึงจะฝากเขากลับไป
ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงเป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเจียงเฉิง และมีของแพงที่สุดด้วย สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลูกต้าต่างหลั่งไหลกันมายอย่างไม่ขาดสาย
ตอนนี้เป็นแบบนี้ อีกยี่สิบหรือยี่สิบเอ็ดปีข้างหน้าก็ยังคงเป็นเช่นนี้ พูดได้ว่านครแห่งนี้ไม่มีทางขาดแคลนเศรษฐีมีเงินแน่นอน
หลินม่ายกำลังมองหาอาหารบำรุง
อาหารบำรุงในยุคสมัยนี้หนีไม่พ้นนมผง น้ำผึ้ง ลำไย เม็ดบัว และนมมอลต์
นอกจากนมผงและน้ำผึ้งที่ต้องซื้อด้วยคูปองอาหารแล้ว นอกนั้นไม่จำเป็นต้องใช้คูปอง แต่ราคาแพงจนน่าตกใจ
หลินม่ายอยากซื้อแค่นมผงและน้ำผึ้ง ของเหล่านี้เหมาะกับอาวุโสทั้งสองท่าน
แต่เธอไม่มีคูปองอาหาร จึงต้องเสียเวลาไปตลาดมืดอีกครั้ง แถมเธอยังต้องรีบกลับไปขายของอีกด้วย
กระทั่งนึกถึงบะหมี่แห้งในครั้งที่แล้ว ลูกจ้างหน้าร้านมีคูปองอาหารอยู่ หลินม่ายจึงลองเข้าไปถามพนักงานคนหนึ่ง “พี่สาว พี่มีคูปองอาหารขายบ้างไหมคะ?”
พนักงานหญิงวัยรุ่นในเครื่องแบบคนนั้นมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยามตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าราวกับตนเป็นเจ้าหญิงผู้สูงส่ง ก่อนจะจีบปากจีบคอตอบกลับไป “ใบละหนึ่งหยวน เธอจะซื้อไหม?”
หลินม่ายมีน้ำโหอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับไม่ได้แสดงสีหน้าใด “ซื้อได้ค่ะ พี่มีกี่ใบล่ะ?”
พนักงานขายคนนั้นไม่พูด แต่มองเธอด้วยสายตากึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
หลินม่ายแสดงสีหน้าเป็นกังวล “แม่ของฉันป่วยหนัก อยากดื่มนมและน้ำผึ้ง แต่ฉันเป็นแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ไม่มีคูปองอาหารซื้อของพวกนี้ พี่สาวช่วยขายคูปองให้ฉันเถอะค่ะ”
พนักงานขายคนนั้นยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูด้วยเสียงต่ำ “ฉันมีสิบใบ เธอจะเอาหมดเลยไหม?”
“ฉันมีเงิน ซื้อได้ค่ะ” หลินม่ายหยิบธนบัตรสองใบจากในกระเป๋าออกมาแสดง “ฉันขอถามอะไรสักหน่อย คูปองอาหารสิบใบนี้พอซื้อนมผงสองกระป๋องและน้ำผึ้งสองขวดได้ไหมคะ?”
เมื่อพนักงานขายคนนั้นเห็นธนบัตรสองใบในมือของเธอ ดวงตาก็พลันลุกวาวเหมือนกับหลอดไฟในทันที
คูปองอาหารในตลาดมืดถูกขายอยู่ที่สามเหมาต่อหนึ่งใบ ของหล่อนแพงกว่าอยู่ที่ห้าเหมาต่อหนึ่งใบ
แต่เมื่อเห็นหลินม่ายแต่งตัวไร้ราศี หน้าตาสกปรกมอมแมม ทันทีที่เห็นก็คิดว่าเป็นชาวบ้านธรรมดา ก็ตัดสินไปว่าเธอคงซื้อไม่ได้
ดังนั้นจึงตั้งใจเสนอราคาใบละหนึ่งหยวน คิดจะหลอกให้เธอถอดใจ
แต่กลับคาดไม่ถึงว่าชาวบ้านคนนี้จะมีเงินมากมายขนาดนั้น ถึงขั้นล้วงหยิบธนบัตรสองใบออกมาจากกระเป๋า
แล้วรีบเอ่ยว่า “นมผงหยางจื่อเจียงในปริมาณหนึ่งชั่งต้องใช้คูปองอาหารถึงสามใบ น้ำผึ้งหนึ่งขวดต้องใช้คูปองอาหารสองใบ คูปองอาหารสิบใบซื้อนมผงได้สองกระป๋องบวกกับน้ำผึ้งอีกสองขวดได้พอดี”
หลินม่ายยื่นธนบัตรใบหนึ่งให้หล่อน “งั้นพี่สาวขายมันให้ฉันเถอะ”
พนักงานคนนั้นมองซ้ายแลขวา จากนั้นก็ลากเธอเดินเข้ามุม ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำว่า “เรื่องแบบนี้จะทำโจ่งแจ้งได้ยังไงเล่า?”
กล่าวจบก็ยื่นมือออกไปคว้าธนบัตรใบนั้นในมือของเธอ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าหลินม่ายจะดึงกลับ
เด็กสาวบ้านนอกนั้นขี้ขลาด ขี้ระแวง กลัวโดนหลอก อนุมานให้เหมือนกับความจริงทุกอย่าง “พี่สาวเอาคูปองให้ฉันก่อนสิ”
พนักงานคนนั้นไม่ยอม “เรามายื่นหมูยื่นแมวกัน”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
พี่หมอร้ายกาจ ตัดหนทางทำกินของป้าอู๋คนนั้นได้โหดร้ายมาก
ม่ายจื่อจะได้คูปองในราคาสมน้ำสมเนื้อไหม
ไหหม่า(海馬)