แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 315 สหายน้องชายส่งข่าว
ตอนที่ 315 สหายน้องชายส่งข่าว
เหตุผลที่ฟางจั๋วหรานได้ตู้เย็นสองตู้ ก็เพราะเขามีบ้านสองหลัง
ถึงเขาจะไม่ค่อยได้อาศัยอยู่ที่บ้านตรงถนนต้งถิง แต่เขาก็แวะมาพักบ้างเป็นครั้งคราว อย่างน้อยก็ควรมีตู้เย็นสำหรับถนอมอาหาร
ไม่ว่าเขาจะไปพักอาศัยที่บ้านหลังไหน ก็จะได้เก็บอาหารไว้ในตู้เย็นอย่างสะดวกสบาย
บ้านของฟางจั๋วหรานที่อยู่บนถนนต้งถิงอยู่ห่างจากบ้านของหลินม่ายไปแค่ไม่กี่ช่วงถนน
เธอขอแรงลูกน้องสองคนของเฉินเฟิงให้ช่วยขับรถแทรกเตอร์ขนตู้เย็นไปส่งให้ฟางจั๋วหรานที่บ้านบนถนนต้งถิง โดยไม่ลืมขอที่อยู่จากเขา
พอขับไปตามที่อยู่ พวกเขาก็มาจอดอยู่หน้าคฤหาสน์สไตล์ยุโรปพร้อมสวนอันเป็นพื้นที่สัมปทานตั้งแต่ก่อนยุคปฏิรูป
หลินม่ายและลูกน้องสองคนของเฉินเฟิงจ้องมองไปยังคฤหาสน์หรูหราราคาแพงตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า
สหายน้องชายคนหนึ่งโพล่งถาม “ผู้จัดการหลิน พวกเรามาผิดที่หรือเปล่าครับ?”
สหายน้องชายสองคนนี้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นพนักงานขนส่งให้กับโรงงานตัดเสื้อของหลินม่าย ดังนั้นสรรพนามที่เขาใช้เรียกเธอจึงเปลี่ยนไป
หลินม่ายก็สงสัยว่าตัวเองอาจดูที่อยู่ผิดไป
ในตัวเมืองมีคฤหาสน์หลังใหญ่พร้อมสวนแบบเดียวกันนี้เหลืออยู่ไม่ถึงยี่สิบหลัง หลังจากมีการแบ่งสันปันส่วนสัมปทานที่ดินเรียบร้อยแล้ว ในยุคสมัยนี้ ถ้าไม่มีเงินหลายล้านหยวนอยู่ในมือก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อมัน
ไม่ว่ารายได้ของฟางจั๋วหรานจะสูงแค่ไหน หรือเขาจะมีฐานะร่ำรวยแค่ไหนก็ตาม เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะซื้อบ้านราคาแพงขนาดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย
ทั้งยังมีโอกาสน้อยมากที่จะเป็นสมบัติของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
สองสามีภรรยาใจบุญสุนทานขนาดนั้น จะเหลือเงินพอซื้อบ้านราคาแพงขนาดนี้ได้อย่างไร!
หลินม่ายหยิบที่อยู่ที่ฟางจั๋วหรานเขียนไว้ออกมาจากกระเป๋าเพื่อตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำอีก ปรากฏว่าไม่ผิด!
เธอเริ่มสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ
สหายน้องชายคนหนึ่งเกาศีรษะ “หรือว่าหมอฟางเขาจะเขียนผิดซะเอง?”
ถึงความเป็นไปได้นี้จะน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย
แต่ก่อนที่พวกเขาจะมาที่นี่ ฟางจั๋วหรานได้ฝากกุญแจเอาไว้ให้หลินม่าย ตราบที่ที่เขาเขียนที่อยู่ถูกต้อง กุญแจพวกนั้นก็ควรจะเปิดล็อกได้
ตรงข้าม ถ้ากุญแจพวกนั้นไม่สามารถปลดล็อกได้ แค่ย้อนกลับไปขอที่อยู่ใหม่จากฟางจั๋วหรานก็ยังไม่สาย
หลินม่ายกระโดดลงจากรถแทรกเตอร์ ถือกุญแจสองสามดอกที่ฟางจั๋วหรานฝากไว้ในมือ
จากนั้นก็หยิบลูกกุญแจดอกที่ใหญ่กว่าดอกอื่น แหย่เข้าไปในแม่กุญแจที่ขนาดใหญ่ซึ่งคล้องอยู่ที่ประตูลานบ้านสองสามครั้ง สิ้นเสียงคลิก แม่กุญแจขนาดใหญ่ก็เปิดออกอย่างง่ายดาย
หลินม่ายกับสหายน้องชายทั้งสองหันมองหน้ากัน
ไม่นานหลังจากนั้น สหายน้องชายคนหนึ่งก็หัวเราะร่า “นึกไม่ถึงเลย คฤหาสน์หลังนี้เป็นของหมอฟางจริง ๆ ด้วย”
สหายน้องชายทั้งสองจัดการขนตู้เย็นเข้าไปไว้ในห้องครัวอันกว้างขวาง
หลินม่ายเดินสำรวจภายในคฤหาสน์จนทั่ว พบว่ามีทั้งหมดสิบสองห้อง นี่แทบไม่ใช่คฤหาสน์แล้ว แต่เป็นปราสาทขนาดย่อมชัด ๆ
พอออกจากบ้านของฟางจั๋วหรานและแยกทางกับหลินม่ายแล้ว สหายน้องชายสองคนก็กลับไปทำงานที่โรงงาน
ระหว่างทาง สหายน้องชายคนหนึ่งหันไปพูดกับอีกคน “เราควรบอกลูกพี่เฟิงดีไหมว่าหมอฟางมีบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้?”
สหายน้องชายอีกคนเป็นคนสะเพร่า ดังนั้นจึงไม่คิดอะไรมาก
พอได้ยินเพื่อนเสนอมา เขาก็คิดอย่างจริงจัง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย “เอาสิ”
พวกเขาไม่รู้ว่าหลินม่ายกับฟางจั๋วหรานวางแผนว่าจะหมั้นหมายกันในเร็ววันนี้ และไม่รู้ว่าลูกพี่เฟิงไม่ได้มีเจตนาจะทำลายพวกเขาทั้งสอง
พวกเขารู้แค่ว่าลูกพี่เฟิงชอบหลินม่าย ส่วนคุณหมอฟางคือคู่แข่งในเรื่องความรักของเขา
ฉะนั้นจึงต้องบอกให้ลูกพี่เฟิงรู้ข้อได้เปรียบของศัตรูหัวใจ
รู้เขารู้เรา ย่อมได้รับชัยชนะในทุกสมรภูมิ
สหายน้องชายสองคนกระตือรือร้นอยากส่งข่าวนี้เอามาก ๆ เร่งรุดไปที่ตลาดสดฝูตัวตัว ซึ่งเป็นสำนักงานของเฉินเฟิงทันที
เฉินเฟิงนั่งอยู่บนโซฟา กำลังนับเงินที่ได้รับจากลูกค้าคนสุดท้ายที่สั่งจองตู้เย็นไว้ล่วงหน้า ยอดเงินรวมทั้งหมดนับว่าไม่เลวเลย
ขณะที่เขาจะหันไปสั่งลูกน้องให้ออกไปส่งตู้เย็น ก็เห็นลูกน้องทั้งสองคนของตัวเองยืนอยู่หน้าประตู
เขาขมวดคิ้ว ถามว่า “พวกนายมาหาฉันทำไม นี่ยังไม่ใช่เวลาเลิกงานเลยนะ?”
สหายน้องชายปิดประตูห้องทำงาน “ลูกพี่…”
“เรียกผู้จัดการเฉิน” เฉินเฟิงหยิบแตงโมอีกชิ้นหนึ่งที่เหลือจากการรับรองแขกขึ้นมา แล้วเริ่มแทะกินเสียงดัง ไม่ลืมเชื้อเชิญให้ลูกน้องกินด้วย
รูปลักษณ์นั้นของเขา ทำให้ทุกคนแทบจำภาพหัวหน้าแก๊งอันธพาลขาโหดคนเดิมไม่ได้เลย
ตอนนี้เขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่ชินเสียที
“ครับ ผู้จัดการเฉิน” สหายน้องชายทำตามอย่างว่าง่าย รีบเปลี่ยนคำเรียกขานทันที
เขาเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับเพื่อนอีกคน นั่งลงตรงข้ามกับเฉินเฟิง แล้วหยิบแตงโมขึ้นมากัดกินสองสามคำ
จากนั้นก็พูดอย่างมีเลศนัย “เมื่อกี้นี้ ผมกับเถี่ยโถวออกไปช่วยผู้จัดการหลินขนตู้เย็นไปที่ไว้ที่บ้านของหมอฟางมา”
เถี่ยโถวก็คือเพื่อนอีกคนของเขา ซึ่งตอนนี้กำลังแทะแตงโมหวานฉ่ำอย่างเอร็ดอร่อย
เถี่ยโถวพยักหน้าอย่างแรงเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
เฉินเฟิงชำเลืองมองลูกน้องทั้งสองคน พูดอย่างไม่เข้าใจ “แล้วนายมาบอกฉันทำไม?”
ลูกน้องที่ชื่อเถี่ยโถวรีบเช็ดปาก “เราแค่จะมาบอกพี่ว่าบ้านของหมอฟางที่ว่าเนี่ย เป็นคฤหาสน์สไตล์ยุโรปหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่บนที่ดินสัมปทานเก่า”
เฉินเฟิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “ที่ดินสัมปทานเก่า? แถวถนนต้งถิงน่ะเหรอ?”
ลูกน้องอีกคนพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “นอกจากแถวนั้นแล้ว ในเจียงเฉิงยังมีที่ดินสัมปทานเก่าที่ไหนอีกล่ะครับ?”
เฉินเฟิงหยุดกินแตงโม ครุ่นคิดอย่างหนัก
ฟางจั๋วหรานมีคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนที่ดินสัมปทานเก่า ช่างรวยอะไรขนาดนี้…
พอเถี่ยโถวกินแตงโมจนหมดไปหนึ่งชิ้น เขาก็หยิบอีกชิ้นขึ้นมากินต่อ
ขณะที่กำลังกัดกินอยู่ก็พูดเสียงอู้อี้ไปด้วย “ผู้จัดการเฉิน พี่ควรวางแผนตั้งแต่เนิ่น ๆ นะ เจียดเงินที่พี่มีซื้ออสังหาริมทรัพย์สักหลังที่พอจะแข่งขันกับอาจารย์ฟางได้ ไม่งั้นพี่จะเอาอะไรไปสู้อาจารย์ฟางเขาล่ะ? ด้านวุฒิการศึกษา พี่ก็สู้ไม่ได้อยู่แล้ว ด้านหน้าที่การงาน เขาก็เป็นถึงศัลยแพทย์เชียว ด้านหน้าตา…” พอพูดมาถึงตรงนี้ เถี่ยโถวก็หันไปมองหน้าเจ้านายอย่างจริงจัง “พี่เหลือแค่หน้าตาอย่างเดียวแล้ว ที่พอจะสูสีกับอาจารย์ฟางเขาได้”
เฉินเฟิงหรี่ตามองเถี่ยโถว ทันใดนั้นควันก็แทบพวยพุ่งออกมาจากหู ไอ้หมอนี่ชักจะพูดมากเกินไปแล้ว คิดจะสรรหาข้อบกพร่องทั้งหมดที่เขามีมาตอกย้ำหรือไง!
จู่ ๆ ก็เหมือนเขานึกอะไรขึ้นมาได้ ถามอย่างจริงจัง “ทำไมนายถึงเอาแต่เปรียบเทียบฉันกับหมอฟางล่ะ?”
ลูกน้องทั้งสองมองหน้าเขาเหมือนคนโง่ทันที “พี่กับอาจารย์ฟางเป็นศัตรูหัวใจกันไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ให้เปรียบเทียบพี่กับเขา แล้วจะให้ผมเปรียบเทียบกับใคร?”
เฉินเฟิงหน้าแดงพรึ่บ “พวกนาย… รู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ลูกน้องสองคนหัวเราะเสียงดัง “โธ่ ในหมู่พวกเรา มีใครไม่รู้บ้างว่าพี่ชอบผู้จัดการหลิน…”
ว่าแล้วเถี่ยโถวก็ฮัมเพลงขึ้นมา
“…ผมรักคุณเกินจะเอ่ยไป…ไม่รู้ว่าคุณจะคิดเหมือนผมไหม…โอ้ ผมรักคุณเกินเอ่ยจริงๆ…โว้วโว เยเย้…ผมเฝ้ารอคุณทั้งคืนทั้งวัน…มีรอยยิ้มเมื่อเห็นหน้าคุณเท่านั้น…”(1)
ควันจากหูพวยพุ่งขึ้นไปอยู่เหนือศีรษะของเฉินเฟิงครั้งแล้วครั้งเล่า
จากนั้นเขาก็ขยับไปตบศีรษะเถี่ยโถวสามครั้งติด “ใครอนุญาตให้นายร้องเพลง หา? อยู่ดีไม่ว่าดี อยากโดนฉันเฉดหัว! ฉันไม่ไล่นายออกก็ดีแค่ไหนแล้ว!”
เถี่ยโถวถูกตบจนกระเด็นไปไกล
เฉินเฟิงกลอกตามองลูกน้องทั้งสองคนไปมาหลายครั้ง ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากบีบคอพวกเขาขนาดนี้?
เขาลูบคางพลางถามว่า “นายเห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เขาคิดว่าตัวเองเก็บซ่อนความรู้สึกไว้เป็นอย่างดี นอกเหนือจากเหลียนเฉียวที่ติดตามเขาอย่างใกล้ชิดจะมองออกแล้ว
ใครจะคิดว่าลูกน้องสองคนนี้ก็มองออกเหมือนกัน…
ลูกน้องสองคนพยักหน้าหงึกหงัก
เถี่ยโถวที่เพิ่งถูกซ้อมต่างกระสอบทรายพูดขึ้นอีกครั้ง “ทุกครั้งที่พี่มองหน้าผู้จัดการหลิน สายตาของพี่ไม่เคยเป็นปกติเลยสักครั้ง ทั้งอ่อนโยน ทั้งหวานฉ่ำ ทำให้พวกผมขนลุกไปทั้งตัว”
ทันทีที่เขาพูดจบ เฉินเฟิงก็ทำเป็นโกรธเพื่อข่มความอับอาย เดินเข้าไปเตะอีกฝ่ายที่เพิ่งจะหย่อนก้นลงนั่งได้ไม่นาน
“เอาล่ะ หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว กลับไปแจ้งผู้จัดการหลินให้มารับเงินที่ได้จากการขายตู้เย็นซะ”
ลูกน้องทั้งสองคนของเขารีบออกมาจากสำนักงานทันที เถี่ยโถวหันไปถามเพื่อนด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมลูกพี่เฟิงถึงลงมือกับฉันคนเดียว แต่ไม่ทำอะไรนายเลยล่ะ?”
เพื่อนของเขาหันกลับมามอง “เพราะนายพูดมากกว่าฉันไง…”
หลังจากลูกน้องสองคนนั้นออกไปแล้ว เฉินเฟิงก็หันไปคุ้ยของในกล่อง ในที่สุดก็เจอกระจกทรงกลมขนาดเล็กของเหลียนเฉียวอยู่ในลิ้นชักโต๊ะ
เขาหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง แล้วยกกระจกขึ้นส่อง “ฉันทำสายตาแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ฉันว่าฉันเก็บอาการดีแล้วแท้ ๆ…”
มองซ้ายมองขวาอยู่นาน เขาก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ
ตอนที่เขามองหัวไชเท้า มันฝรั่ง หรือผักกาดขาว เขาก็ใช้สายตาแบบเดียวกันนี่แหละ จะกลายเป็นสายตาแสดงความรักได้ยังไงกัน? ไร้สาระทั้งเพ!
เฉินเฟิงวางกระจกลง เอนหลังนอนลงบนโซฟา สมองกำลังครุ่นคิด แต่ดวงตาฉายแววเศร้าเล็กน้อย
…………………………………………………………………………………………………………………………
ส่วนหนึ่งของเนื้อเพลง 愛你在心口難開 หรือ Love you more than I can say เวอร์ชันจีน
สารจากผู้แปล
โอ้ ไม่น่าเชื่อว่าพี่หมอจะรวยขนาดนี้ สงสารลูกพี่เฟิงเลย สภาพนั่งจ๋องก๊งเหล้าย้อมใจอยู่หน้าบาร์ลอยมาเลย
ไหหม่า(海馬)