แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 346 จุดพลิกผันของการหย่าร้าง
ตอนที่ 346 จุดพลิกผันของการหย่าร้าง
ท่ามกลางชาวบ้านกินเผือกที่มุงดูกันอยู่รอบๆ มีบางคนที่รู้กฎหมาย ทั้งยังไม่ชอบขี้หน้าคนชั่วร้ายอย่างแม่หม่า ก็พลันตะโกนขึ้นมาในทันที
“คุณยาย คนเขาไม่ได้พูดเหลวไหล ไปถามดูที่ศาลเอาก็รู้แล้ว!”
แม่หม่าใบ้กินเถียงไม่ออก ก่อนจะหันไปพูดกับเถาจืออวิ๋นอย่างร้ายกาจ “ที่เธออยากจะหย่านัก เพราะจะได้ไปหาชายชู้ล่ะสิ? ได้เลย เอาเงินให้ฉันหนึ่งพันหยวน แล้วฉันจะให้ลูกชายของฉันหย่ากับเธอทันที!”
เถาจืออวิ๋นโกรธจนพูดอะไรไม่ออก
เหล่าชาวบ้านกินเผือกพวกนั้นพากันส่งเสียงจอแจ วิพากษ์วิจารณ์กันไป
“ยายแก่คนนี้ไร้ยางอายจริงๆ สาดสีใส่ลูกสะใภ้ตัวเองแล้ว ยังจะขู่เอาเงินหนึ่งพันหยวนจากหล่อนอีก จะมีสักกี่คนที่ควักเงินออกมาได้ตั้งหนึ่งพันหยวน? ได้สักห้าร้อยก็ไม่เลวแล้ว!”
“ถ้ายายแก่นั่นมียางอายบ้าง ก็คงไม่ให้ลูกสะใภ้เลี้ยงดูพวกเขาทั้งครอบครัวหรอก”
แม้ว่าคำพูดของกลุ่มคนกินเผือกพวกนั้นจะระคายหู แต่แม่ลูกตระกูลหม่าก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจแต่อย่างใด
โดยเฉพาะแม่หม่า ซึ่งจิตใจฮึกเหิมเป็นพิเศษ
หลินม่ายยังคงยิ้มน่ามอง “ต้องการเงินไม่มีหรอก ต้องการชีวิตก็ไม่ให้เหมือนกัน! คุณจะไม่ยอมให้ลูกชายของคุณหย่ากับพี่เถาสินะ”
เธอเบนสายตาไปมองหม่าเทา “คุณเป็นชู้กับผู้หญิงคนไหนบ้าง พี่เถารู้หมดทุกอย่าง คุณว่า…ถ้าพี่เถาเอาเรื่องที่คุณไปยุ่มย่ามกับภรรยาของคนอื่นพวกนั้นไปบอกกับสามีของพวกหล่อน ก็ไม่รู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณบ้าง”
สีหน้าของหม่าเทาซีดเผือดในฉับพลัน
แม้เขาจะไม่ได้ปล่อยให้จุดอ่อนสำคัญตกอยู่ในมือของเถาจืออวิ๋น โดยที่ตำรวจและศาลก็ทำอะไรเขาไม่ได้
แต่สามีของผู้หญิงที่เล่นชู้กับเขาพวกนั้นไม่สนใจหรอกว่าจะมีหลักฐานหรือเปล่า
ในเมื่อภรรยาของเขามาหาถึงที่แล้ว เรื่องนั้นก็ไม่ใช่ข่าวโคมลอยไร้มูลเหตุ
ในเมื่อไม่ใช่ข่าวลือไร้มูลเหตุ จึงหมายความว่าเมียของพวกเขาเป็นชู้กับเขา พวกเขาคงต้องทุบตีเขาจนตายแหงแก๋!
โดนทุบตีมันเรื่องเล็ก แต่หากเกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ ภาพลักษณ์ของเขาจะต้องด่างพร้อย หัวหน้าจะต้องไล่เขาออกแน่ๆ
หม่าเทาตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “ผมหย่า ผมจะหย่าเดี๋ยวนี้แหละ!”
หลินม่ายรู้สึกยินดีปรีดา ถามซักไซ้ “เดี๋ยวนี้มันคือเดี๋ยวไหนล่ะคะ?”
หม่าเทาพูดตะกุกตะกัก “พรุ่ง พรุ่งนี้บ่ายสองได้ไหม?”
“ทำไมช่วงเช้าไม่ได้ล่ะคะ?”
หม่าเทาพูดละล่ำละลัก “ช่วงเช้าผมมีธุระน่ะ…”
ที่จริงแล้วพรุ่งนี้ช่วงเช้าเขาก็ไม่ได้มีธุระอะไรหรอก แต่สาเหตุหลักก็คือเขานัดพบหน้ากับคนรักเก่าเอาไว้แล้ว ซึ่งเขาไม่อยากผิดนัด
หลินม่ายขู่อย่างเย็นชา “พูดอะไรต้องรักษาคำพูด ไม่อย่างนั้นก็รับผิดชอบผลที่ตามมาเอาเอง”
หม่าเทาเอ่ยรับปากซ้ำๆ ราวกับลูกเจี๊ยบจิกข้าว “ผมรักษาคำพูดแน่นอน!”
เขาผลักหญิงชราที่มีสีหน้าไม่เต็มใจพร้อมเดินจากไป
ฟางจั๋วเยวี่ยเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว จึงโบกมือลาหลินม่าย “พี่สะใภ้ ผมไปก่อนนะ”
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “เรื่องวันนี้ต้องขอบคุณนายมากนะ วันหลังฉันจะเลี้ยงข้าวนายเอง”
ฟางจั๋วเยวี่ยพูดอย่างจริงจัง “พูดอะไรแล้วต้องรักษาคำพูดด้วยนะครับ ห้ามหลอกเด็กล่ะ”
“นายจะนั่งจะยืนก็ยังสูงกว่าฉัน ยังจะเรียกเด็กอีก มียางอายสักหน่อยเถอะน่า?” หลินม่ายมองค้อนเขา “วางใจได้เลย ฉันไม่มีทางหลอกนายเพราะข้าวมื้อเดียวหรอก”
ฟางจั๋วเยวี่ยหัวเราะแหะๆ แล้วจึงเดินไปพลางไตร่ตรองคำพูดของหลินม่ายไปพลาง
ที่บอกว่าเขายืนแล้วสูงกว่าเธอ คำพูดนี้ไม่ผิดอะไร
แต่บอกว่าเขานั่งลงก็ยังสูงกว่าเธอ ทำไมฟังดูแล้วเหมือนคำด่าเลยล่ะ?
พี่สะใภ้กำลังด่าเขาสินะ เธอกำลังด่าเขาสินะ…
พี่สะใภ้ตัวร้าย…
เถาจืออวิ๋นเห็นฟางจั๋วเยวี่ยเดินออกไปไกลแล้ว จึงพูดด้วยความเสียใจ “ฉันยังไม่ได้บอกขอบคุณน้องสามีของเธอเลย”
หลินม่ายพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ต่อไปยังมีโอกาสน่า”
ในตอนนั้นเอง ลูกน้องที่เฉินเฟิงส่งมาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็มาถึงแล้ว
หลินม่ายพาพวกเขามาส่งให้กับหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัย หลังจากมอบหมายคำสั่งให้กับหัวหน้าฝ่ายแล้ว เธอจึงกลับบ้านด้วยกันกับเถาจืออวิ๋น
ตลอดทางเถาจืออวิ๋นรู้สึกตื่นเต้นมาก การหย่าที่หล่อนพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายก็หย่าไม่ได้ จู่ๆ ก็เกิดจุดพลิกผันขึ้นมาด้วยคำพูดไม่กี่คำของหลินม่าย
หล่อนจึงถามขึ้น “อยู่ๆ ทำไมเธอถึงนึกพูดแบบนั้นขึ้นมาได้น่ะ? ถ้ารู้แต่แรกว่าพูดแบบนั้นแล้วได้ผล ฉันคงพูดไปนานแล้ว ไม่ยืดเวลามาถึงตอนนี้หรอก!”
หลินม่ายหัวเราะพลางพูด “ฉันเองก็พูดไปตามสถานการณ์ ไม่นึกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่เกินคาดแบบนี้”
เธอหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนประเด็น “ฉันอยากเปิดโรงงานทำหมวกเล็กๆ สักแห่ง”
เถาจืออวิ๋นตบไหล่ของเธอเบาๆ แล้วพูดขึ้น “เธอเป็นทั้งเจ้าของโรงงานเสื้อผ้า ทั้งเถ้าแก่ร้านอาหารสองร้าน แถมยังมีตลาดสดอีกหนึ่งแห่ง เธอยังเตรียมจะเปิดโรงเรียนอนุบาลอีก เธอไม่เหนื่อยหรือไง ถึงคิดจะเปิดโรงงานทำหมวกอีกโรงงานทำหมวกมันเปิดกันง่ายๆ เสียที่ไหน ต้องซื้อวัสดุกับอุปกรณ์ ยกตัวอย่างเช่นที่คาดผมพลาสติกที่ได้รับความนิยมที่สุดในตอนนี้ ถ้าไม่มีวัสดุอุปกรณ์ก็ทำไม่ได้หรอก แถมหมวกก็ไม่ได้ทำกำไรเยอะเหมือนเสื้อผ้าด้วย ฉันว่าเธออย่าทำนั่นนี่มากไปเลย”
หลินม่ายส่ายหน้า “ฉันไม่ได้วางแผนจะทำที่คาดผมพลาสติกพวกนั้นเสียหน่อย ฉันคิดจะใช้ประโยชน์จากของที่ไม่ใช้แล้ว ใช้เศษผ้าที่เหลือจากการทำเสื้อผ้ามาทำเป็นหมวกน่ะ”
เถาจืออวิ๋นได้ยินก็รู้สึกแปลกใหม่อย่างมาก “ทำยังไงเหรอ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะเอาเศษผ้านิดหน่อยกลับมาทำให้พี่ดู พี่ก็รู้แล้วว่าทำยังไง”
หลินม่ายยังพูดถึงแผนที่จะนำเศษผ้าชิ้นใหญ่มารวมกัน แล้ววางขายที่หน้าประตูโรงงานในราคาถูก
เถาจืออวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้ยังต้องให้เธอพูดอีกเหรอ? ฉันจัดการแบบนั้นไปตั้งนานแล้วล่ะ แต่ว่าไม่ได้เอาเศษผ้าพวกนั้นวางขายที่ประตูโรงงาน แต่ขายส่งให้พ่อค้าแม่ค้าแผงลอยโดยตรงเลย”
หลินม่ายตะลึงไปเล็กน้อย “อย่างนั้นทำไมเมื่อกี้นี้ฉันเห็นพวกพนักงานทำความสะอาดกำลังคัดแยกเศษผ้าขนาดหนึ่งฟุตมากมายขนาดนั้นกันล่ะ?”
“เรื่องนี้เธอไม่เข้าใจหรอก” เถาจืออวิ๋นอธิบายให้เธอฟัง “เวลาตัดผ้าออกมาผืนหนึ่ง เราไม่สามารถใช้ผ้าทั้งหมดมาตัดเสื้อผ้าได้แบบพอดิบพอดี จะต้องเผื่อความยาวไว้ประมาณหนึ่งเมตรเสมอ ปกติแล้วฉันจะขายเฉพาะผ้าที่เหลือนี้เท่านั้น หากซื้อเศษผ้าแบบนี้กลับไป ก็สามารถทำเสื้อผ้าให้เด็กต่ำกว่า 12 ขวบลงไปได้ทั้งชุดเลยล่ะ ทั้งหมดที่เธอเห็นคือเศษผ้าเล็กๆ ที่เกิดจากกระบวนการตัดเย็บ ชิ้นที่ใหญ่ที่สุดก็คงไม่เกินประมาณหนึ่งฟุต ถ้าจะทำเสื้อผ้าก็ต้องเย็บต่อกัน เศษผ้าแบบนี้ฉันไม่ต้องการแล้ว เพราะขนาดเล็กเกินไปที่จะเอามาขาย”
หลินม่ายพยักหน้าอย่างเข้าใจขึ้นมาในทันใด
เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเสื้อผ้าตัวหนึ่งไม่สามารถใช้วัสดุผ้าทั้งหมดที่พอดีเป๊ะๆ และจะต้องเผื่อเอาไว้อีกหน่อยเสมอ
ในเมื่อเศษผ้าราวหนึ่งฟุตนั้นขายไม่ได้ งั้นก็ไม่ขาย แล้วเอาทั้งหมดมาทำหมวกกับผ้าเช็ดหน้าเล็กๆ เลยแล้วกัน
หลังจากแยกกับเถาจืออวิ๋น หลินม่ายก็ไปซื้อกับข้าวที่ตลาดสดฝูตัวตัว แล้วจึงรีบไปรับโต้วโต้ว
หลังจากสองแม่ลูกกลับมาถึงบ้าน ขณะหลินม่ายกำลังจะลงมือทำอาหาร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
โต้วโต้วนั้นชอบการรับโทรศัพท์เป็นพิเศษ หล่อนจึงรีบเข้าไปรับสาย
เมื่อรับเสร็จแล้ว จึงวิ่งไปพูดกับหลินม่ายในห้องครั้ว “แม่ขาๆ คุณอาโทรมาค่ะ ให้แม่ไม่ต้องทำอาหารเย็น เดี๋ยวคุณอาจะเอาข้าวจากที่โรงเรียนมาให้เรากินค่ะ”
หลินม่ายกำลังไม่อยากทำอาหารเย็นอยู่พอดี เธอเหนื่อยล้าเกินไป
ฉะนั้นเธอจึงเอาวัตถุดิบทั้งหมอเก็บไว้ในตู้เย็น ต้มน้ำหม้อใหญ่บนเตาไฟ แล้วอาบน้ำอย่างรวดเร็ว
วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน เหงื่อท่วมไปทั่วตัว รู้สึกอึดอัดมากจริงๆ
หลังจากอาบน้ำเสร็จไม่นาน ฟางจั๋วหรานก็ถือกล่องข้าวมาหลายกล่อง
โต้วโต้วรีบรับกล่องข้าวในมือของเขามา ก่อนเขย่งปลายเท้าวางบนโต๊ะอาหาร จากนั้นจึงเปิดออกทีละกล่อง ปากก็พูดเจื้อยแจ้ว “ซี่โครงหมูอบมันฝรั่ง แกงจืดผักกาดขาวลูกชิ้นหมู ปลาต้มผักกาดดอง โอ้โห ของที่หนูชอบกินทั้งนั้นเลย!”
หล่อนดีอกดีใจจนตบมือไม่หยุด
ฟางจั๋วหรานพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นของที่แม่หนูชอบกินด้วยเหมือนกันนะ”
หลินม่ายหยิบชามกับตะเกียบมา “ทำไมคุณถึงนึกจะซื้ออาหารจากมหาวิทยาลัยกลับมากินล่ะคะ?”
“วันนี้คุณยุ่งมาทั้งวันแล้ว ผมทนให้คุณลำบากทำอาหารอีกไม่ได้หรอก”
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างจริงจัง ทำให้หลินม่ายรู้สึกมีความสุขไปถึงในหัวใจ
หลังกินข้าวเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็เก็บชามและตะเกียบไปล้าง จากนั้นจึงหยิบน้ำมันดอกคำฝอยขวดหนึ่งกับแผ่นแปะแก้ปวดส่งให้หลินม่าย
หลินม่ายค่อนข้างประหลาดใจ “คุณเอาของพวกนี้ให้ฉันทำไม? ฉันไม่ได้เป็นโรคไขข้อหรือโรคเหน็บชาเสียหน่อย”
“ไม่ได้มีแต่โรคไขข้อหรือโรคเหน็บชาหรอกถึงจะสามารถใช้ของพวกนี้ได้”
ฟางจั๋วหรานพูด “ตอนกินข้าวเที่ยง ไม่ใช่ว่าคุณเอาแต่บ่นว่าเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวหรอกเหรอ ยาพวกนี้ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้นะ เดี๋ยวผมจะไปต้มน้ำ คุณกับโต้วโต้วรีบอาบน้ำแล้วพักผ่อนให้สบายเถอะ ผมจะซักผ้าให้พวกคุณก่อนแล้วค่อยไป”
หลินม่ายรีบส่ายหน้า “ถึงวันนี้จะเหนื่อยมาก แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยถึงขั้นที่ซักผ้าไม่ไหวเสียหน่อยค่ะ คุณกลับไปเถอะ”
ทว่าฟางจั๋วหรานไม่ฟังเธอ และยืนกรานที่จะต้มน้ำอาบให้สองแม่ลูก จัดการดูแลให้พวกเธออาบน้ำ แล้วซักผ้าให้พวกเธอ ตากผ้าเสร็จแล้วถึงจะกลับไป
โต้วโต้ววิ่งไปที่หน้าต่างห้องนอนมองแผ่นหลังของฟางจั๋วหรานที่ห่างออกไปเรื่อยด้านล่าง แล้วถามหลินม่าย “แม่คะ เมื่อไหร่คุณอาถึงจะกลายเป็นคุณพ่อล่ะคะ?”
หลินม่ายเกาคิ้ว “ใกล้แล้วล่ะจ้ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ถ้าไม่หย่าจะแฉแล้วนะ มีแต่ต้องยอมหย่าอย่างเดียวแล้วล่ะ ยินดีกับจืออวิ๋นด้วยนะคะที่หลุดพ้นผู้ชายเส็งเคร็งนี่ได้สักที
พี่หมออบอุ่นมากไมโครเวฟมากเลยยย
ไหหม่า(海馬)