แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 387 พาแม่ฟู่เฉียงไปหาหมอ
ตอนที่ 387 พาแม่ฟู่เฉียงไปหาหมอ
หลินม่ายรีบแวะไปที่บ้านของเถาจืออวิ๋น เห็นว่าแม่ว่านกำลังล้างจานอยู่ในครัว
พอได้ยินว่าใครบางคนผลักประตูส่วนกลางที่ทุกบ้านใช้ร่วมกันเข้ามา หล่อนก็โผล่หน้าออกมาจากครัว
เมื่อเห็นว่าเป็นหลินม่าย หล่อนก็รีบหดคอกลับทันควัน เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัว
หลินม่ายมองเห็นทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
บางคนเป็นแค่โครงกระดูกไร้ค่า ถ้าเธอปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเหมือนเป็นมนุษย์ อีกฝ่ายคงทำตัวเป็นผีเป็นเทพ
ความสงบเสงี่ยมไม่แยแสเท่านั้น จึงจะทำให้อีกฝ่ายเจียมตัว
เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ในเมื่อแม่ว่านไม่กล้าสร้างความรำคาญให้กับเถาจืออวิ๋นอีกต่อไป เธอก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเงียบสงบ
หลินม่ายเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องเถาจืออวิ๋น จากนั้นก็เคาะประตู
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจของเถาจืออวิ๋นดังออกมาจากข้างใน “ใครน่ะ”
หลินม่ายตอบ “ม่ายจื่อ”
เสียงฝีเท้าในห้องดังขึ้น ก่อนที่บานประตูจะเปิดออก
เถาจืออวิ๋นเชิญหลินม่ายเข้ามาในห้อง พูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันคิดว่ายายป้าเพื่อนบ้านมาเคาะประตูซะอีก นึกว่าแม่ว่านกลับมาทำตัวเป็นนางมารร้ายอีกแล้ว โชคดีที่เป็นเธอ”
หลินม่ายเดินไปที่โต๊ะแล้วนั่งลงพร้อมพูดว่า “ฉันมาหาพี่เพราะมีหลายเรื่องที่ต้องคุยกัน”
เถาจืออวิ๋นรินน้ำเย็นให้เธอหนึ่งแก้ว ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม “มีเรื่องอะไรบ้าง”
“เรื่องแรก ฉันตั้งใจว่าจะเปิดโรงงานและร้านไป๋เหอโถวซื่ออย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ พี่ว่าดีไหม?”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “ดีสิ ฉันรอให้เธอกลับมาเปิดอยู่พอดี”
หลินม่ายลังเลไปจังหวะหนึ่ง “ฉันว่าจะเชิญผอ.เขตมาตัดริบบิ้นด้วย แล้วเชิญสำนักหนังสือพิมพ์มาทำข่าว”
เถาจืออวิ๋นบ่นพึมพำขึ้นมา “ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เชียวเหรอ”
“ใช่” หลินม่ายพยักหน้า “ฉันอยากหาช่องทางโฆษณาแบรนด์ไป๋เหอโถวซื่อให้เป็นที่รู้จัก ผู้คนจะได้ให้ความสนใจและอุดหนุนเครื่องประดับศีรษะของเรา”
เถาจื่ออวิ๋นพยักหน้า “แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พี่อย่าลืมปูพรมแดงที่หน้าร้านไป๋เหอโถวซื่อด้วยล่ะ พยายามตกแต่งสถานที่ให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
เถาจืออวิ๋นตอบรับแข็งขัน
หลินม่ายกำชับอีกเรื่องหนึ่งว่าวันพรุ่งนี้ช่วงบ่ายนายช่างจางจะมารับค่าจ้างในส่วนของเขา ให้ฝ่ายบัญชีเตรียมเงินไว้ให้พร้อม
ในระหว่างที่หลินม่ายกำลังวุ่นอยู่กับธุรกิจของตัวเอง คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางก็กำลังวางแผนการทำแปลงเกษตรในคฤหาสน์ของฟางจั๋วหราน
เพื่อไม่ให้ขัดกับภูมิทัศน์อันสวยงามของคฤหาสน์ พวกเขาจึงตั้งใจจะทำแปลงผักไว้ในสวนด้านหลัง
ผักที่ต้องการปลูกมีไม่มากนัก แปลงผักขนาดยี่สิบถึงสามสิบตารางเมตรก็เพียงพอแล้ว ปลูกเยอะเกินไปก็ไม่ทันกิน
หลังจากวางแผนทำแปลงเกษตรและเลือกห้องพักสำหรับตัวเองเรียบร้อยแล้ว สองสามีภรรยาชราก็พาโต้วโต้วกลับบ้าน
หลินม่ายกลับมาถึงบ้านในเวลาไล่เลี่ยกัน
พอเห็นว่าอากาศร้อนอบอ้าวทำให้เธอเสียเหงื่อมาก คุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางก็ไล่หลินม่ายไปล้างหน้าล้างตา แล้วนั่งพักผ่อนสักหน่อย
หลินม่ายโบกมือ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังต้องพาพ่อแม่ของฟู่เฉียงไปโรงพยาบาล ถ้าไปสายเกินไปอาจลงทะเบียนเข้ารับการรักษาไม่ทัน”
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางรู้ดีว่าระบบรับลงทะเบียนผู้ป่วยของโรงพยาบาลผู้จี้ค่อนข้างยุ่งยาก ดังนั้นจึงไม่ได้รั้งตัวเธอไว้
หลินม่ายตะโกนเข้าไปในห้องรับแขกที่พ่อแม่ของฟู่เฉียงพักอยู่ “ฟู่เฉียง รีบพาพ่อแม่ออกมาเร็วเข้า เราต้องไปโรงพยาบาลกันแล้ว!”
ฟู่เฉียงขานรับ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องพร้อมกับพ่อผู้อ่อนเปลี้ยเพลียแรงและแม่ผู้เสียสติ
ก่อนหน้านี้แม่เสียสติของเขาเคยมีประสบการณ์วิ่งหนีเตลิดแล้วครั้งหนึ่ง ฟู่เฉียงจึงค่อนข้างกังวล ถามหลินม่ายว่า “คุณอามีเชือกไหมครับ?”
“มีสิ เธอจะเอาเชือกไปทำอะไรล่ะ?” หลินม่ายถามด้วยความสงสัย
ฟู่เฉียงใช้สายตาบุ้ยใบ้ไปที่แม่ของเขา “ผมว่าจะผูกเชือกไว้รอบเอวตัวเอง ส่วนปลายเชือกอีกด้านจะผูกไว้รอบเอวแม่ ด้วยวิธีนี้ ต่อให้ผมวิ่งตามท่านไม่ทัน ผมยังกระตุกเชือกรอบเอวเพื่อป้องกันไม่ให้ท่านวิ่งหนีได้ หรือถ้าท่านหลุดไปได้ก็จะรู้ตัวเร็วขึ้นมาหน่อย แม่จะได้ไม่หนีเตลิดไปจากผมอีก”
หลินม่ายโบกมือ “เอาล่ะ ไม่ต้องคิดจะทำถึงขั้นนั้นหรอก ฉันเข้าใจว่าเธออยากใช้เชือกผูกแม่ตัวเองไว้ แต่แม่เธอแค่มีอาการทางจิต ไม่ได้พิการซะหน่อย ถ้าเขาอาศัยจังหวะที่เธอไม่ทันตั้งตัวแก้ปมเชือกตรงเอวสำเร็จก็วิ่งหนีไปได้อยู่ดี ถ้าเป็นแบบนั้นเข้าจริง ๆ เกรงว่าเธออาจวิ่งไล่จับไม่ทัน”
ฟู่เฉียงร้อนใจ “แล้วผมควรทำยังไงดี?”
หลินม่ายจับมือแม่ฟู่เฉียงไว้ “ฉันจะจับมือแม่เธอไว้เอง เธอตั้งใจประคองพ่อไว้ก็แล้วกัน ไปกันเถอะ”
ทั้งสี่เดินออกจากบ้านไป
แค่ข้ามถนนไปก็ถึงโรงพยาบาลผู่จี้แล้ว
พ่อฟู่เฉียงนอนพักอยู่ในบ้านหลินม่ายเป็นเวลานาน พอได้ยินอาหารอย่างดีสองมื้อติดต่อกันจึงมีกำลังวังชามากขึ้น
ถึงแม้การเดินจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่ไม่นานก็มาถึงโรงพยาบาลผู่จี้
เมื่อเห็นว่าห้องโถงแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลผู่จี้แออัดยัดเยียดไปด้วยผู้คน เด็กหนุ่มที่ไม่เคยออกจากเมืองซื่อเหม่ยก็ตกตะลึง
เขาถามหลินม่ายด้วยความกังวล “วันนี้พ่อแม่ผมจะได้พบคุณหมอไหมครับ?”
หลินม่ายยิ้มแล้วตอบกลับว่า “นี่เพิ่งจะบ่ายสองเอง บัตรคิวผู้ป่วยยังไม่หมดหรอก ต้องมีคิวรับการรักษาสำหรับพ่อแม่ของเธอแน่ ตราบใดที่ได้รับหมายเลขคิว ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็จะพบหมอเบื้องต้นภายในวันนี้ อย่ามัวคุยกันอยู่เลย เราแยกย้ายกันไปต่อแถวดีกว่า พ่อแม่เธอจะได้ลงทะเบียน”
ฟู่เฉียงรีบเข้าประคองผู้เป็นพ่อ เดินตามหลินม่ายไปยังเก้าอี้แถวหลังบริเวณจุดลงทะเบียนในห้องโถงแผนกผู้ป่วยนอก แล้วประคองพ่อให้นั่งลงบนเก้าอี้ว่าง
หลินม่ายกำชับพ่อฟู่เฉียง “พี่ใหญ่ฟู่ พยายามอย่าเปลี่ยนที่นั่งของตัวเองโดยพลการนะ ฉันจะกลับมาหาคุณหลังจากพาฟู่เฉียงไปติดต่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว”
ว่าแล้วก็ชี้ไปทางบุคลากรทางการแพทย์ที่เดินไปมา “ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมา ให้เรียกพยาบาลได้ทันที พยาบาลที่นี่มีทัศนคติที่ดีต่อประชาชน แถมยังมีความมืออาชีพมาก”
พ่อฟู่เฉียงพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้อย่างเชื่อฟัง กระตุ้นให้เธอกับฟู่เฉียงรีบไปเข้าคิวเพื่อลงทะเบียน
หลินม่ายหันไปบอกฟู่เฉียง “เธอไปเข้าแถวแผนกจิตเวช เดี๋ยวฉันจะต่อแถวแผนกอายุรศาสตร์ให้”
ฟู่เฉียงตอบรับ รับช่วงดูแลผู้เป็นแม่ต่อจากหลินม่าย ก่อนจะพาหล่อนเดินไปเข้าแถว
พวกเขาทั้งสองใช้เวลาต่อแถวนานกว่าครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็ลงทะเบียนผู้ป่วยสำเร็จ
ระหว่างนี้ แม่เสียสติของฟู่เฉียงพยายามจะสลัดหลุดจากฟู่เฉียงหลายครั้ง แต่พอถูกลูกชายตำหนิ หล่อนก็ไม่กล้าวิ่งหนีไปไหนตามใจชอบ
หลินม่าย ฟู่เฉียง และแม่ของเขากลับมาหาพ่อของฟู่เฉียง
หลินม่ายหันไปบอกฟู่เฉียง “แผนกจิตเวชน่าจะมีคนรอเข้ารับการรักษาไม่เยอะ เดี๋ยวฉันพาแม่เธอไปที่นั่นเอง เธอพาพ่อไปที่แผนกอายุรศาสตร์ถ้าถูกขานเลขคิว ถ้าแม่เธอตรวจเสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะพาเขากลับมาหาเธอกับพ่อทันที”
ฟู่เฉียงตอบรับ กำชับให้แม่เสียสติเชื่อฟังหลินม่าย จากนั้นก็นั่งรอเรียกเลขคิวอยู่ด้านนอกแผนกอายุรศาสตร์เป็นเพื่อนผู้เป็นพ่อ
หลินม่ายคาดเดาได้ถูกต้อง ที่แผนกจิตเวชมีคนไข้น้อยมาก
เก้าอี้ด้านนอกแผนกมีผู้ป่วยนั่งรอเรียกเลขคิวอยู่แค่สิบกว่าคน
ผู้ป่วยบางคนมีอาการคล้ายคลึงกับแม่ฟู่เฉียง บางคนนิ่งเงียบ บางคนเอาแต่พูดพึมพำอยู่คนเดียว
ว่ากันตามคำพูดที่เป็นที่นิยมแพร่หลายในเจียงเฉิง อาการป่วยทางจิตประเภทแรกเรียกว่าบ้าใบ้ ส่วนประเภทที่สองเรียกว่าบ้าเพ้อ
ในบรรดาผู้ป่วยหลายสิบคนตรงหน้า ครึ่งหนึ่งมีอาการคลุ้มคลั่ง
ถ้าสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยไม่คอยควบคุมพฤติกรรม เกรงว่าข้าวของทุกอย่างที่อยู่นอกแผนกคงถูกทำลายด้วยฝีมือของพวกเขาแน่
หลินม่ายประคองแม่ฟู่เฉียงอย่างใกล้ชิด พยายามปลีกตัวออกมายืนอยู่ห่าง ๆ เพราะกลัวว่าคนบ้าเพ้อเหล่านั้นจะคลุ้มคลั่งจนคนในครอบครัวเอาไม่อยู่ แล้วหันมาทุบตีตัวเอง
คนในครอบครัวของผู้ป่วยทางจิตเหล่านั้นต่างมีใบหน้าซีดเซียว ไร้ความหวัง เพราะต้องแบกรับแรงกดดันทางจิตใจและทางการเงินอย่างมหาศาล
หลินม่ายคิดว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเด็กอย่างฟู่เฉียง ซึ่งสามารถแบกรับความกดดันที่แม้กระทั่งผู้ใหญ่ยังแทบอดทนไม่ได้มาเป็นเวลานานหลายปี
ที่สำคัญเด็กคนนี้อาศัยอยู่ในแถบชนบทที่แทบสิ้นไร้ซึ่งความหวัง กระนั้นเขาก็ยังอุทิศตนเพื่อความหวังอันริบหรี่ เป็นอะไรที่น่ายกย่องมาก
ได้แต่หวังให้เขาแน่วแน่ต่อปณิธานเดิมนี้ไปตลอดทั้งชีวิต
ทั้งสองรอต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงคิวของแม่ฟู่เฉียง
หลินม่ายพาหล่อนเข้าไปในแผนก
แม่ฟู่เฉียงเหลือบไปเห็นบุคลากรทางการแพทย์สวมเสื้อกาวน์เดินปะปนอยู่ทั่วทั้งแผนก ก็จับมือหลินม่ายเอาไว้แน่นด้วยความตื่นตระหนก พยายามหดคอให้ต่ำลง
หลินม่ายคาดไม่ถึงว่าแม่ฟู่เฉียงจะมีแรงบีบที่แข็งแกร่งขนาดนี้ จนเธอรู้สึกเหมือนกระดูกมือจะหัก
เธอพยายามอดทนต่อความเจ็บปวด พาแม่ฟู่เฉียงเข้าไปนั่งลงตรงหน้าคุณหมอสูงวัยที่มีเส้นผมหงอกขาวทั่วทั้งศีรษะ เพราะเห็นว่าหน้าโต๊ะออกตรวจของเขาว่างเปล่า
พอบังคับให้แม่ฟู่เฉียงนั่งลงได้แล้ว หลินม่ายก็เหลือบไปอ่านป้ายชื่อและตำแหน่งที่ตั้งอยู่บนโต๊ะออกตรวจของเขา
ป้ายนั้นระบุข้อความว่า ‘รองศาสตราจารย์ไต้กั๋วเชิ่ง’
เขาเป็นถึงรองศาสตราจารย์เชียวหรือนี่!
ไอหยา ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ เธอต่อแถวลงทะเบียนในฐานะผู้ป่วยทั่วไป แต่กลับได้พบคุณหมอที่มีคุณวุฒิเป็นถึงรองศาสตราจารย์ออกตรวจที่แผนกผู้ป่วยนอก!
หลินม่ายดีใจมาก
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ดูแลคนที่มีอาการทางจิตหรือคนป่วยนี่ต้องใช้กำลังกายและกำลังใจมหาศาลเลยนะคะ น้องฟู่เฉียงเก่งมากที่ทนมาได้เป็นหลายปีโดยไม่สติแตกตามไปเสียก่อน
ไหหม่า(海馬)