แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 391 เลื่อนตำแหน่งเหรินเป่าจู
ตอนที่ 391 เลื่อนตำแหน่งเหรินเป่าจู
หลินม่ายตกตะลึง
ไหนตอนแรกบอกว่าเชิญนักข่าวจากสำนักหนังสือพิมพ์มาอย่างไรล่ะ ทำไมถึงได้กลายเป็นนักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นไปได้
นี่ถือเป็นการกดดันให้เธอขยายธุรกิจร้านไป๋เหอโถวซื่อหรือเปล่าเนี่ย?
แต่ในยุคนี้ ระดับความสามารถในการบริโภคของประชาชนทั่วไปยังอยู่ในระดับต่ำ คนทั่วไปจะยอมควักเงินซื้อหมวกที่มีราคาแพงเกินความจำเป็นได้อย่างไร?
ผอ.เขตฆ่าเธอทางอ้อมชัด ๆ!
ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็ยังรักษาท่าทางนิ่งสงบ เข้าไปทักทายเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ผอ.เขตโอวหยางมาถึงแล้ว ยินดีต้อนรับค่ะ”
ผอ.เขตโอวหยางยิ้มรับด้วยความเต็มใจ ชี้ไปทางนักข่าวและช่างภาพพลางพูดว่า “คุณคือผู้ประกอบการเอกชนรายแรกในเมืองเรา อาจเป็นรายแรกของมณฑลด้วยซ้ำที่รับสมัครผู้พิการเข้าทำงาน คนดี งานดี รูปแบบสินค้าดี ผมเลยถือโอกาสเชิญสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นมาสัมภาษณ์คุณ ไม่ได้มีความหมายอื่นใดแอบแฝงเลย แค่ต้องการส่งเสริมคนที่คิดดีทำดีแบบคุณเท่านั้น หวังว่าคุณคงเข้าใจ”
หลินม่ายรีบตอบกลับ “ผอ.โอวหยางคะ ฉันยังไม่ใช่ผู้ประกอบการเอกชน เป็นแค่ผู้ประกอบการอิสระธรรมดา ๆ เท่านั้น ฉันแค่อยากช่วยเหลือผู้พิการให้มีรายได้ จึงถือโอกาสจ้างงานพวกเขาเสียเลย ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอบคุณความกรุณาจากคุณด้วย ถ้าไม่ได้รับการแนะนำจากคุณ ฉันคงไม่มีทางตระหนักถึงเรื่องแบบนี้ด้วยตัวเองแน่ค่ะ!”
การที่ผอ.เขตโอวหยางพานักข่าวและช่างภาพจากสถานีโทรทัศน์มาสัมภาษณ์หลินม่าย โดยผิวเผินอาจดูเหมือนต้องการยกย่องชมเชยหลินม่าย แต่แท้จริงแล้วเป็นการแสดงความสำเร็จทางการเมืองของเขาต่างหาก
แต่หลินม่ายกลับไม่ละโมบยึดเครดิตไว้คนเดียว แถมยังยกเครดิตทั้งหมดให้กับผอ.เขตโอวหยาง ซึ่งนี่ทำให้ผอ.เขตโอวหยางได้หน้าจนหน้าบาน
นักข่าวยื่นไมโครโฟนสีดำไปจ่อใต้คางของหลินม่าย “คำแนะนำจากท่านผอ.เขตโอวหยางมีอิทธิพลอย่างไรต่อคุณบ้างคะ?”
หลินม่ายเรียบเรียงบทสัมภาษณ์ให้สั้นกระชับ เนื้อหาส่วนใหญ่ไปในทางยกยอผอ.เขตโอวหยาง ยิ่งพูดเลือดลมแห่งความภาคภูมิใจของเขาก็ยิ่งเดือดพล่าน
หลังจากนักข่าวสัมภาษณ์หลินม่ายเสร็จแล้ว ก็หันไมโครโฟนไปสัมภาษณ์ผอ.เขตโอวหยางต่อ
ผอ.เขตโอวหยางเองก็ตอบแทนคำยกยอที่หลินม่ายมอบให้ พูดในเชิงส่งเสริมธุรกิจของเธออย่างเต็มที่
หลังจากนั้นก็มีการตัดริบบิ้น จุดประทัด เชิดมังกรและสิงโต
นักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ยังเข้าไปขอสัมภาษณ์หงซิ่วเหมยและพนักงานพิการคนอื่น ๆ ก่อนจะขอตัวจากไปเมื่อได้รับข้อมูลอย่างเพียงพอ
หลินม่ายพาสองสามีภรรยาชราและลูกสาวกลับบ้าน
พวกเขาเพิ่งก้าวเข้าไปในตัวบ้านได้ไม่นาน ฟู่เฉียงก็กลับมาพร้อมกับแม่เสียสติของเขา
หลินม่ายถามด้วยความประหลาดใจ “เธอเพิ่งกลับจากโรงพยาบาลเหรอ?”
ฟู่เฉียงพยักหน้า
หลินม่ายยกมือขึ้นเพื่อดูนาฬิกา “ทำไมถึงได้กลับมาช้าจังล่ะ นี่ก็สิบโมงกว่าแล้ว”
ฟู่เฉียงอธิบาย “ช่วงเช้าคุณหมอออกเอกสารตรวจร่างกายให้พ่อหลายรายการเลยครับ ผมต้องพาพ่อไปตรวจ ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเสร็จ”
หลินม่ายถามด้วยความเป็นห่วง “แล้วเธอกับแม่กินข้าวมื้อเช้าแล้วหรือยัง?”
จากนั้นก็หันไปบอกโต้วโต้วว่า “ลงไปที่ร้านเปาห่าวซือให้แม่หน่อย สั่งซาลาเปานึ่งมาสองสามเข่งให้พี่ฟู่เฉียงกับคุณป้ากิน”
โต้วโต้วตอบรับอย่างแข็งขัน ตั้งท่าจะเดินลงไปชั้นล่างเพื่อสั่งซาลาเปา
ฟู่เฉียงดึงแขนเธอไว้แล้วหันไปพูดกับหลินม่าย “จวนเที่ยงแล้ว เดี๋ยวผมกับแม่รอกินข้าวมื้อกลางวันที่เดียวเลยก็ได้”
คุณย่าฟางตำหนิ “กว่าจะถึงเวลาอาหารกลางวันก็อีกตั้งสองชั่วโมง เธอทนหิวไหวเรอะ? อย่าลืมว่าแม่ตัวเองป่วย เธอทนหิวไม่ได้แน่ ขืนไม่มีอะไรตกถึงท้องคงคลุ้มคลั่งจนเป็นบ้าแน่ เธอเองก็ต้องดูแลพ่อแม่ จะปล่อยให้ตัวเองอดอยากไม่ได้ ถ้าเธอหิวจนล้มป่วยขึ้นมา แล้วใครจะรับช่วงดูแลพ่อแม่ของเธอ ไม่เห็นเหรอว่าแต่ละวันม่ายจื่อยุ่งแค่ไหน!”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ฟู่เฉียงก็ไม่กล้าปฏิเสธความหวังดีอีก “ถ้าอย่างนั้นโต้วโต้วไม่ต้องลงไปชั้นล่างเพื่อซื้อซาลาเปาก็ได้ ผมต้มบะหมี่สักสองชามก็ได้แล้ว”
หลินม่ายพยักหน้า “ในครัวมีบะหมี่กับไข่อยู่พอดี ส่วนต้นหอมกับผักชีอยู่ในตู้เย็น เธอจัดการเองก็แล้วกันนะ เดี๋ยวฉันยังต้องออกไปข้างนอกอีก”
คุณย่าฟางรีบไล่ “ไปเถอะ เดี๋ยวเที่ยงนี้ฉันจะทำกับข้าวเอง ไม่ต้องรีบกลับนัก”
หลินม่ายหยิบหมวกบังแดดมาสวม แล้วออกไปที่โรงงานตัดเสื้อ Unique ท่ามกลางแสงแดดที่แผดจ้า
ถึงโรงงานตัดเสื้อ Unique จะอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านของเธอแค่ประมาณยี่สิบนาที แต่ถ้ามีจักรยานสักคันในการเดินทาง คงช่วยประหยัดกำลังและเวลาไปได้มาก
หลินม่ายคิดว่าจะไปขอคูปองอุตสาหกรรมจากฟางจั๋วหรานสักสองสามใบ แล้วเอาไปซื้อจักรยานสักคันให้ตัวเอง
เมื่อมาถึงโรงงานตัดเสื้อ Unique เธอก็เรียกเถาจืออวิ๋นให้มาคุยกันที่สำนักงาน เพื่อที่จะถามว่าเหรินเป่าจูมีความสามารถขนาดไหน
เถาจืออวิ๋นตอบว่า “ฉันว่าจะเล่าให้เธอฟังตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่เธอรีบร้อนออกไปซะก่อน เลยไม่มีเวลาได้คุยกัน”
หลินม่ายถาม “เรื่องที่จะเล่าเกี่ยวกับหล่อนด้วยเหรอ?”
“ฉันแค่อยากเล่าให้ฟังว่าหล่อนเป็นคนที่จัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ดีมาก” เถาจืออวิ๋นบอก “เธอคงไม่ทันสังเกตเห็นวัสดุที่โรงงานของเราใช้ทำยางรัดผม กิ๊บติดผม และที่คาดผมสินะ วัสดุที่มีคุณภาพดีแถมยังราคาถูกพวกนี้ ได้มาเพราะหล่อนไปเจรจากับผู้ผลิตรายอื่น ในเมื่อหล่อนมีความสามารถในการจัดการถึงขั้นนี้ จะเรียกใช้หล่อนให้มากขึ้นก็ยังได้”
หลินม่ายพยักหน้า “ฉันเองก็วางแผนไว้แบบนั้นเหมือนกัน ฉันอยากเลื่อนตำแหน่งให้หล่อนเป็นรองผู้จัดการโรงงานตัดเสื้อ พี่มีความเห็นว่ายังไงบ้าง?”
ถึงเถาจืออวิ๋นจะไม่ใช่รองผู้จัดการโรงงาน แต่หลินม่ายก็มอบหมายงานให้จนหล่อนเป็นเหมือนรองผู้จัดการไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ แทนที่หลินม่ายจะเลื่อนตำแหน่งหล่อนขึ้นเป็นรองผู้จัดการ กลับคิดจะเลื่อนคนอื่นขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน หลินม่ายจึงกลัวว่าหล่อนอาจคิดเล็กคิดน้อย จึงมาแจ้งให้อีกฝ่ายทราบด้วยตัวเองเพื่อให้เธอรู้สึกดีขึ้น
แต่แน่นอนว่าถ้าเถาจืออวิ๋นคัดค้าน เธอคงไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนปรนตามง่าย ๆ แน่
ในฐานะผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ เธอยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยหัวใจที่เปิดกว้างเสมอ แต่เธอจะไม่ยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของตัวเองโดยเด็ดขาด
ต่อให้เถาจืออวิ๋นไม่เห็นด้วย เธอก็จะพยายามเกลี้ยกล่อมจนได้
ท้ายที่สุดหากการโน้มน้าวใจไม่สำเร็จ ผลลัพธ์การตัดสินใจก็จะยังคงเดิม ไม่ไขว้เขวหรือเปลี่ยนแปลงเพราะเถาจืออวิ๋น
เถาจืออวิ๋นยิ้มร่า “ฉันต้องออกความเห็นด้วยเหรอ? หัวหน้าเหรินเก่งเจรจามากกว่าฉันซะอีก ถือเป็นเรื่องดีเสียอีกที่เธอจะเลื่อนเขาขึ้นเป็นรองผู้จัดการโรงงาน ไฟฉันไม่แรงพอที่จะจัดการโน่นนี่แบบนั้นแล้ว เธอก็รู้นี่ ว่าฉันชอบออกแบบเสื้อผ้ามากกว่า”
หลินม่ายยิ้มออกทันที “ถ้าอย่างนั้น พี่ช่วยเรียกหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการและทุกคนในแผนกบัญชีมาประชุมร่วมกันที่ห้องประชุมทีนะ”
ถึงจะเรียกอย่างหรูหราว่าหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ แต่บุคลากรที่ว่ามีแค่เถาจืออวิ๋น เหรินเป่าจู และหัวหน้างานอีกคนหนึ่งเท่านั้น
ไม่นาน ทุกคนก็มาถึงห้องประชุม
หลินม่ายขอตรวจสอบรายงานทำบัญชีก่อนเป็นอันดับแรก เห็นว่ายอดขายเสื้อผ้าแบรนด์ Unique เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ยอดขายพุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว
หลินม่ายคาดเดาว่าคงเป็นเพราะตรงกับช่วงใกล้เปิดเทอมพอดี
เธอคืนสมุดบัญชีแยกประเภทให้กับทังชุ่นอิง
สีหน้าตึงเครียดของทังชุ่นอิงผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
หลินม่ายสอบถามความเป็นไปในโรงงานจากหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการทั้งสองคน รวมถึงทังชุ่นอิง ปรากฏว่าได้รับข่าวดีทั้งหมด
เธอมองไปทางเหรินเป่าจูก่อนจะพูดว่า “ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาหัวหน้าเหรินทำผลงานได้ดีมาก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองผู้จัดการโรงงาน Unique อย่างเป็นทางการ” หลังจากพูดจบ เธอก็ปรบมือเป็นคนแรก
อีกหลายคนในห้องประชุมต่างปรบมือด้วยความยินดี
เหรินเป่าจูหน้าแดงด้วยความตื่นเต้น
หล่อนอายุแค่ยี่สิบเจ็ดปีเท่านั้น เรียนจบชั้นปวช. ทำงานให้กับที่ทำงานเก่ามาประมาณเจ็ดถึงแปดปี
สมัยที่ยังทำงานอยู่ในหน่วยงานเดิม หล่อนเป็นแค่พนักงานระดับล่าง ไม่เคยถูกเรียกใช้งานด้วยซ้ำ งานที่ทำก็มีแต่อะไรที่ซ้ำซากจำเจ
นึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะได้รับโอกาสเลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้จัดการ หลังจากที่สมัครเข้าทำงานในโรงงานตัดเสื้อของหลินม่ายได้ไม่นาน แบบนี้จะไม่ให้หล่อนตื่นเต้นได้อย่างไร!
หล่อนตอบกลับทันที “ฉันจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดค่ะ!”
หลินม่ายส่งยิ้มให้ “ในฐานะรองผู้จัดการโรงงาน คุณมีงานที่ต้องรับผิดชอบมากกว่าเดิมแน่อยู่แล้ว ไม่ใช่แค่จัดการเรื่องต่าง ๆ ในโรงงานตัดเสื้อ แต่ยังต้องจัดการงานต่าง ๆ ของโรงงานไป๋เหอโถวซื่อด้วย”
ตอนนี้โรงงานทำหมวกของเธอยังเป็นแค่กิจการขนาดย่อม หลินม่ายไม่จำเป็นต้องสรรหาคนมาดูแลอย่างจริงจัง มอบหมายให้เหรินเป่าจูช่วยจัดการชั่วคราวก็ได้แล้ว
รอจนกว่าโรงงานไป๋เหอโถวซื่อจะเติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ ถึงตอนนั้นค่อยสรรหาคนมาจัดการแทน
จริง ๆ แล้วเธอคิดวางแผนการหนึ่งไว้ในใจ นั่นคือรอจนกว่าโรงงานไป๋เหอโถวซื่อจะมั่นคงจนสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้ ค่อยพิจารณาว่าจะเลือกผู้จัดการจากพนักงานพิการสักคนได้ไหม
เหรินเป่าจูตอบกลับยิ้มแย้ม “ฉันไม่กลัวงานหนักแน่ค่ะ”
หลินม่ายส่งยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อ “ช่วงนี้ยอดขายเสื้อผ้าแบรนด์ Unique ของเรามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งสาขาในห้างเจียงเฉิง และสาขาในห้างซือเหมินโข่ว หมายความว่าตั้งหลักในเจียงเฉิงได้อย่างมั่นคงแล้ว สามารถขายฐานการผลิตได้ ในเมื่อจะขยายฐานการผลิตก็ต้องทำยอดขายให้ได้มากขึ้น” พูดมาถึงจุดนี้ เธอก็มองกลับไปที่เหรินเป่าจูอีกครั้ง “เพราะฉะนั้นคุณต้องรับผิดชอบด้านการเปิดตลาดใหม่”
เถาจืออวิ๋นหันไปพูดติดตลกกับเหรินเป่าจู “ตราบใดที่เธออยากได้งาน งานจะถาโถมเข้ามาหาเธออย่างต่อเนื่อง!”
เหรินเป่าจูหัวเราะออกมาทันที
หลินม่ายพูดกับเธอว่า “ไม่ว่าคุณวางแผนจะเปิดตลาดใหม่ยังไง ฉันอยากให้คุณร่างแผนมานำเสนอโดยเร็วที่สุด อย่างน้อยก็ก่อนถึงเวลาเลิกงานตอนบ่าย”
เหรินเป่าจูตอบกลับอย่างระมัดระวัง “ไม่ต้องรอจนกว่าจะเลิกงานหรอกค่ะ ฉันสามารถนำเสนอแผนงานให้คุณได้ตอนนี้เลย”
หลินม่ายส่งสายตาให้กำลังใจ “ถ้าอย่างนั้นก็นำเสนอตอนนี้เลยสิ”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เลือกใช้คนเหมาะกับงาน กิจการก็รุ่งเรืองแบบนี้แหละค่ะ
ไหหม่า(海馬)