แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 392 โปรโมชันรับเปิดเทอม
ตอนที่ 392 โปรโมชันรับเปิดเทอม
เหรินเป่าจูกระแอมในลำคอ พูดว่า “เราควรกระจายสาขาไปตามห้างสรรพสินค้าทุกที่ในเจียงเฉิง แล้วเปิดร้านเสื้อผ้าให้ครบทุกห้างไปเลยค่ะ”
โฮ่วซินอี้ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการอีกคนคัดค้าน “ผมคิดว่าการเปิดร้านขายเสื้อผ้าในห้างทุกห้างดูไม่เหมาะเท่าไหร่… ตัวอย่างเช่น ห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวอยู่ห่างจากห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงแค่ไม่กี่ช่วงถนน ถึงเปิดร้านในห้างลิ่วตู้เฉียวจริง ยอดขายคงเพิ่มขึ้นแค่นิดหน่อย ช่วยอะไรไม่ได้มาก แค่ช่วยให้กระจายสินค้าให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้นเท่านั้นเอง”
เหรินเป่าจูโต้เถียงอย่างจริงจัง “ฉันกลับไม่คิดอย่างนั้น ผู้บริโภคบางคนขี้เกียจเกินไป ต่อให้อยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ช่วงถนนก็ล้มเลิกความตั้งใจซะแล้ว กลับกันถ้าห้างลิ่วตู้เฉียวมีร้านค้าของเราไปเปิดที่นั่น ยังเปิดโอกาสให้กลุ่มลูกค้าที่ขี้เกียจเดินทางเข้าถึงสินค้าได้”
โฮ่วซินอี้ส่ายหน้า “คุณคิดว่าการซื้อเสื้อผ้าเหมือนกันกับการซื้อกะหล่ำปลีหรอกเหรอ? ลูกค้าที่ขี้เกียจอาจซื้อกะหล่ำปลีจากร้านค้าที่อยู่ใกล้บ้านมากกว่า ต่อให้มันจะมีราคาแพงกว่าร้านที่อยู่ไกลก็ตาม แต่นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ว่าใครก็สามารถยอมรับได้ แต่ไม่เหมือนกับเสื้อผ้า มันเป็นสินค้าที่มีราคาสูง ตราบใดที่ลูกค้าสนใจซื้อ หมายความว่าพวกเขาได้คิดอย่างรอบคอบแล้ว ไม่สำคัญว่าจะต้องเดินไกลไปอีกกี่ช่วงถนน ยิ่งไปกว่านั้น คุณผู้หญิงทั้งหลายชื่นชอบการช้อปยิ่งกว่าอะไรดี พวกเธอยอมลากขาข้ามสองสามช่วงถนน เพื่อที่จะได้กระหน่ำช้อปอย่างเต็มที่”
พอเขาพูดแบบนี้ออกมา ผู้หญิงคนอื่น ๆ ต่างก็หัวเราะ
แต่หลังจากหัวเราะแล้ว เหรินเป่าจูก็กลับมาทำหน้าจริงจังอีกครั้ง “ที่คุณว่ามาก็มีเหตุผล แต่คุณอาจลืมนึกไปว่าลูกค้าที่ขี้เกียจจริง ๆ อาจไม่เลือกซื้อสินค้าทั้งใกล้และไกลเพื่อตัดปัญหา แน่นอนว่าลูกค้าประเภทนี้ นอกจากจะขี้เกียจแล้ว ยังมีนิสัยการใช้จ่ายที่ค่อนข้างรัดกุม จะควักเงินออกมาแต่ละครั้งยังลังเล ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าพวกเธอจะไม่ชอบเสื้อผ้าของร้านเราเสียเลย ยังมีลูกค้าอีกประเภทหนึ่งที่มีกำลังซื้อสูง คนกลุ่มนี้มีเสื้อผ้าอยู่แล้วเป็นจำนวนมาก จะซื้อเพิ่มหรือไม่ซื้อก็ได้ เมื่อลูกค้าขี้เกียจทั้งสองประเภทนี้เกิดความลังเล ประกอบกับห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้บ้านไม่มีเสื้อผ้าแบรนด์ Unique ขาย เมื่อพวกเธอไปซื้อของที่ห้างแล้วไม่เจอร้าน Unique ก็หมดสิ้นความกระตือรือร้นที่จะซื้อมันอีก แต่ถ้าเราเปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าทุกแห่ง พอพวกเธอออกไปซื้อของแล้วเจอร้าน Unique จากที่เคยลังเลก็อาจไขว้เขวกันได้ ลองคิดดูสิว่าพวกเธอจะยินดีจ่ายเงินซื้อหรือเปล่า?”
เมื่อโฮ่วซินอี้ได้ยินว่าสิ่งที่เธอพูดมามีเหตุผล เขาก็นิ่งเงียบไป
หลินม่ายพูดกับเหรินเป่าจู “ดำเนินการตามแผนที่คุณเสนอมาเถอะ”
เหรินเป่าจูพยักหน้า
เถาจืออวิ๋นเป็นกังวล “ถ้าต้องการขยายฐานการผลิต งั้นเราคงต้องรับสมัครคนงานและซื้ออุปกรณ์เพิ่ม การจ้างคนไม่ใชเรื่องยาก แต่ตราบใดที่จักรเย็บผ้าหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ไม่พร้อม แล้วจะผลิตสินค้าออกมาในปริมาณมากได้ยังไง”
หลินม่ายโบกมือ “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนรับสมัครคนหรือซื้ออุปกรณ์เพิ่มหรอก ไว้หลังวันที่ 15 กันยายน พวกเราค่อยมาหารือกันเรื่องนี้อีกครั้ง”
ทุกคนหันมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจ
เถาจืออวิ๋นถามด้วยความงงงวย “ทำไมต้องรอหลังวันที่ 15 กันยาด้วยล่ะ? เทศกาลไหว้พระจันทร์กับวันชาติใกล้เข้ามาแล้ว เราควรจัดหาแรงงานและจัดซื้ออุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการขยายฐานการผลิตโดยเร็วไม่ใช่เหรอ?”
ทุกคนต่างพยักหน้า
หลินม่ายอธิบาย “ฉันอยากแสวงหาผลกำไรที่อาจได้รับในช่วงก่อนเปิดภาคเรียนในวันที่ 15 กันยายนนี้ เพราะแบบนี้เลยยังไม่มีเวลารับสมัครคนหรือซื้อของ”
เหรินเป่าจูพูดยิ้ม ๆ “จริง ๆ หัวหน้าเถาคิดไว้นานแล้วว่าจะคว้าโอกาสในช่วงก่อนเปิดเทอมไว้เหมือนกัน ดังนั้นหล่อนเลยออกแบบเสื้อผ้าหลายชุดที่มีสไตล์เหมาะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมต้น และเปิดตัวขายมาหลายวันแล้วค่ะ”
“มิน่าล่ะยอดขายช่วงไม่กี่วันมานี้ที่เห็นในสมุดบัญชีถึงได้พุ่งพรวดเป็นพิเศษ ที่แท้พี่ก็เตรียมการไว้แล้วนี่เอง”
หลินม่ายมองไปที่เถาจืออวิ๋นด้วยความประหลาดใจ “น่าเสียดายที่เมื่อวานตอนฉันเดินผ่านร้านเสื้อผ้าในห้างเจียงเฉิง ฉันไม่ได้แวะเข้าไปดูอย่างใกล้ชิดว่าคอลเลคชันใหม่ที่พี่ออกแบบไว้เป็นยังไง”
“ยังไม่ถือว่าเร็วเกินไปหรอก เราเพิ่งเริ่มเปิดตัวเสื้อผ้าสำหรับนักเรียนมัธยมต้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง”
เถาจืออวิ๋นพูดต่อ “คอลเลคชันใหม่ที่ฉันเป็นคนออกแบบ ไว้วันหลังถ้าเธอมีโอกาสค่อยแวะไปดูที่ห้างเจียงเฉิงทีหลังก็ได้ บอกเลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน”
หลินม่ายพูดยิ้ม ๆ “ฉันเองก็ออกแบบเสื้อผ้าสำหรับนักเรียนมัธยมต้นไว้หลายชุดเหมือนกัน ไว้ค่อยนำเสนอให้พี่ดู”
ทุกคนต่างประหลาดใจ “ผู้จัดการหลินออกแบบเสื้อผ้าเป็นด้วยเหรอ!”
หลินม่ายโบกมือด้วยความเขินอาย “ฉันก็ลองทำไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”
เถาจืออวิ๋นใช้นิ้วเคาะโต๊ะสองสามครั้ง “อย่าเพิ่งคุยเรื่องนอกประเด็น กลับมาก่อน เราจะขยายฐานการผลิตได้ยังไงถ้าไม่จ้างคนและไม่ซื้ออุปกรณ์เพิ่ม?”
ทุกคนหันมองไปทางหลินม่ายพร้อมกัน
หลินม่ายโบกมือ “วิธีแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องยากซะหน่อย ตอนนี้มีโรงงานตัดเสื้อของรัฐหลายที่ที่กำลังเผชิญสภาวะตกต่ำ คงดีกว่าไหมถ้าเราจะหาโรงงานตัดเสื้อของรัฐที่น่าเชื่อถือสองสามที่ แล้วว่าจ้างให้พวกเขาผลิตเสื้อผ้าให้กับเรา?”
คนยุคนี้อาจไม่รู้จักกระบวนการผลิตในรูปแบบ OEM(1) แต่เธอรู้จักดี
สมัยชาติที่แล้ว แบรนด์ใหญ่ ๆ หลายแบรนด์ต่างก็ว่าจ้างผู้ผลิตรายอื่นให้ดำเนินการผลิตสินค้าในนามของพวกเขาเป็นเรื่องปกติ
พอเถาจืออวิ๋นได้ยินแบบนั้น หล่อนก็ยกมือขึ้น “ปล่อยให้งานนี้เป็นหน้าที่ของฉันเอง โรงงานตัดเสื้อชุนเหล่ยที่ฉันเคยทำงานให้เข้าข่ายไร้ประสิทธิภาพแบบที่เธอต้องการพอดี ฉันได้ยินว่ากำลังการจ่ายค่าจ้างของพวกเขาค่อนข้างฝืดเคือง ถ้าส่งคำสั่งผลิตไปให้โรงงานชุนเหล่ย พนักงานหลายร้อยคนก็จะไม่อดอยากปากแห้งอีกต่อไป ถือเป็นการช่วยเหลือพวกเขาทางอ้อม”
หลินม่ายพยักหน้า “ได้สิ แต่พี่อย่าลืมแจ้งผู้จัดการโรงงานของพี่ให้ทราบอย่างชัดเจน ว่าพวกเขาจะต้องผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ เน้นปริมาณ และตรงเวลา ไม่อย่างนั้นจะถือเป็นการผิดสัญญา ไม่ต้องพูดถึงค่าจ้างที่พวกเขาจะไม่ได้รับจากเรา แต่ยังต้องจ่ายค่าชดเชยอันเป็นผลจากการผิดสัญญาด้วย”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว”
หลังจากยืนยันผู้ผลิตแบบ OEM แล้ว หลินม่ายก็อนุญาตให้นักบัญชีและการเงินทั้งสามออกไป ส่วนเธอกับเถาจืออวิ๋นยังคงหารือกันเกี่ยวกับกลวิธีการส่งเสริมการขายในช่วงฤดูกาลเปิดเทอม
นักบัญชีทั้งสามไม่มีความรู้ด้านการขาย ดังนั้นต่อให้พวกเธอนั่งฟังต่อไปก็ไม่มีประโยชน์
ข้อเสนอแนะส่วนใหญ่ของเหรินเป่าจูเป็นไปในเชิงบวก
เถาจืออวิ๋นแนะนำให้จัดโปรโมชันลดราคา เช่นเดียวกันกับตอนที่แบรนด์ Unique เปิดตัวเป็นครั้งแรก
ทั้งเหรินเป่าจูและโฮ่วซินอี้เองก็ให้การสนับสนุน
หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “เราอาจจัดโปรโมชันลดราคาเสื้อผ้าในร้านช่วงเปิดเทอมได้ แต่ภาพรวมในตอนนี้ค่อนข้างต่างจากคราวที่แล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่คงไม่สนใจส่วนลดจำนวนห้าหยวนอีกต่อไป”
เถาจืออวิ๋นถาม “งั้นเธอวางแผนจัดการเรื่องนี้ไว้ยังไงบ้าง?”
หลินม่ายหมุนปากกาในมือเล่นพลางพูดว่า “เราก็เปลี่ยนส่วนลดปากเปล่าที่ว่าเป็นบัตรกำนัลซะเลย”
ยุคสมัยนี้ มีใครบ้างเคยได้ยินคำว่าบัตรกำนัล?
ทุกคนต่างมองไปที่หลินม่ายด้วยความงุนงง ถามว่า “บัตรกำนัลคืออะไร?”
หลินม่ายอธิบายสั้น ๆ “เป็นคูปองที่สามารถใช้แทนเงินสดได้”
โฮ่วซินอี้เป็นคนแรกที่แสดงท่าทางคัดค้าน “ไม่เห็นต้องทำให้ซับซ้อนขนาดนั้นเลย แค่ประกาศลดราคาก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
คราวนี้ทั้งเถาจืออวิ๋นและเหรินเป่าจูต่างก็เห็นด้วยกับโฮ่วซินอี้
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ยอมลดราคายังดีกว่าสร้างงานเพิ่ม
หลินม่ายยิ้ม “เพราะว่าฉันมีจุดประสงค์ในการออกบัตรกำนัลน่ะสิ”
“จุดประสงค์อะไร?” เถาจืออวิ๋นสงสัย
“ลูกค้าจะได้รับบัตรกำนัลก็ต่อเมื่อซื้อเสื้อผ้าเท่ากับหรือมากกว่าจำนวนที่โปรโมชันกำหนดในช่วงเปิดเทอมนี้เท่านั้น และหลังจากได้รับแล้ว ลูกค้าจะใช้บัตรกำนัลได้ก็ต่อเมื่อกลับมาซื้อเสื้อผ้าแบรนด์ Unique ภายในระยะเวลาที่กำหนดเช่นกัน”
รอยยิ้มกระจายไปทั่วใบหน้าของเหรินเป่าจู “ฉันเข้าใจแล้ว หมายความว่า คุณจะกำหนดระยะเวลาในการใช้บัตรกำนัลภายในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์หรือวันชาตินี้ เพื่อที่จะกระตุ้นยอดขายใช่ไหมคะ”
หลินม่ายพยักหน้า “นั่นแหละที่ฉันคิดไว้ ฉันตั้งใจว่าจะกำหนดวันใช้บัตรกำนัลภายในวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ เพราะปีนี้เทศกาลไหว้พระจันทร์ตรงกับวันที่ 12 กันยายน ซึ่งตรงกับวันเปิดภาคเรียนพอดี ลูกค้าที่ได้รับบัตรกำนัลจะได้ไม่ต้องร้อนใจว่าบัตรกำนัลจะหมดอายุซะก่อน ถ้ากำหนดวันใช้บัตรกำนัลเป็นวันชาติ ระยะเวลาอาจนานเกินไป ลูกค้าอาจกังวลว่าบัตรกำนัลที่ได้รับจะใช้แทนเงินสดไม่ได้”
เธอหยุดพักชั่วคราว ก่อนจะพูดต่อ “นอกจากบัตรกำนัลแล้ว ฉันยังคิดจะจัดโปรโมชันแบบทับซ้อนด้วย นั่นคือไม่ว่าลูกค้าจะซื้อเสื้อผ้าจากร้าน Unique เท่าไหร่ก็ตาม พวกเขาจะได้รับผ้าโพกผมที่ผลิตโดยโรงงานไป๋เหอโถวซื่อ วิธีนี้นอกจากจะทำให้ยอดขายของแบรนด์ Unique เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการโฆษณาให้กระแสการบริโภคหลั่งไหลไปที่ร้านไป๋เหอโถวซื่ออีกด้วย”
เหรินเป่าจูเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “เหยาเยี่ยนรับผิดชอบการผลิตผ้าโพกผมแค่คนเดียว ในโรงงานมีพนักงานแค่สิบเอ็ดคน ปกติแล้วพวกเขาสามารถทำดอกไม้ได้วันละมากกว่าหนึ่งพันดอกก็จริง แต่ถ้าเราเปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าทั้งหมด ถึงยอดขายเสื้อผ้า Unique จะพุ่งสูง แต่ในเมื่อคุณจัดโปรโมชันซื้อเสื้อแถมผ้าโพกผม แล้วพนักงานต้องผลิตสินค้าจำนวนกี่ชิ้นต่อวัน? ต่อให้พนักงานทั้งสิบเอ็ดคนจะทำงานโดยไม่กินไม่นอนก็ยังเป็นเรื่องยาก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังต้องผลิตหมวกด้วย แผนของคุณออกจะเกินจริงไปหน่อย”
หลินม่าย “ผ้าโพกผมไม่ใช่งานที่ต้องใช้ฝีมือ เราค่อยว่าจ้างผู้ผลิตจากด้านนอกมาช่วยโดยตรงได้”
ว่าแล้วก็มองไปทางโฮ่วซินอี้ “ตอนนี้เราไม่กำลังคนไม่เพียงพอ หนึ่งคนอาจต้องรับสามหน้าที่ ดังนั้นคุณที่เป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติงานคงมุ่งเน้นแค่การควบคุมคุณภาพอย่างเดียวไม่ได้ ต้องปลีกตัวไปทำงานอื่นด้วย คุณลองไปติดต่อจ้างโรงงานอื่นให้ผลิตผ้าโพกผมให้เรา นอกจากนี้ยังต้องสั่งทำบรรจุภัณฑ์สำหรับบรรจุผ้าโพกผมด้วย”
ยุคนี้สินค้าประเภทเครื่องประดับศีรษะยังไม่มีบรรจุภัณฑ์ใส่ หลินม่ายอยากให้ผ้าโพกผมจากไป๋เหอโถวซื่อดูดีมีระดับ จึงต้องสั่งทำบรรจุภัณฑ์เป็นพิเศษ
โฮ่วซินอี้ตอบรับคำสั่ง
……………………………………………………………………………………………………………….
OEM (Original Equipment Manufacturer) คือ ผู้รับจ้างผลิตสินค้าให้กับบริษัทที่จะนำไปขายในแบรนด์ของตัวเอง โดยการใช้กระบวนการผลิตของโรงงานตั้งแต่ฝ่ายผลิตไปจนถึงเครื่องจักรต่าง ๆ ทำให้ลูกค้าที่มาว่าจ้างประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก ไม่ต้องจ้างงานคนหรือซื้ออุปกรณ์ผลิตสินค้าเอง
สารจากผู้แปล
โปรโมชันโหดมาก ต่อให้พยายามหลบก็หลบไม่พ้นอะ
ไหหม่า(海馬)