แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 394 ถ่ายโปสเตอร์
ตอนที่ 394 ถ่ายโปสเตอร์
หลังอาหารกลางวัน หลินม่ายได้งีบหลับ หลังจากตื่นนอนก็วางแผนว่าจะถูพื้นก่อนแล้วค่อยอ่านหนังสือ
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ 1 กันยายนแล้ว ตรงกับวันรายงานตัวพอดี เธอต้องพยายามให้มากหน่อยเพื่อที่จะสอบเทียบเลื่อนชั้นล่วงหน้า
ทันทีที่เธอหยิบไม้ถูพื้น ฟู่เฉียงก็กลับมาพร้อมกับแม่เสียสติของเขา
พอเห็นว่าหลินม่ายกำลังจะถูพื้น เขาก็รีบพุ่งไปคว้าไม้ถูพื้นมาถือไว้เอง
พลางพูดว่า “คุณอา ถ้าอยากทำอะไรให้เรียกใช้ผมได้เลย ผมว่างตลอดอยู่แล้ว”
หลินม่ายรู้ว่าการที่สมาชิกครอบครัวทั้งสามของเขากินฟรีอยู่ฟรีที่บ้านของเธอแบบนี้ทำให้เขารู้สึกเกรงใจมาก ดังนั้นเขาจึงอยากหยิบจับทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เธอรู้สึกสบายใจอยู่เสมอ
ด้วยเหตุนี้หลินม่ายจึงไม่ได้ขัดความตั้งใจ พูดด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณมาก” จากนั้นก็กลับเข้าไปในห้องเพื่ออ่านหนังสือ
ฟู่เฉียงเข้าไปถูพื้นในห้องของเธอ เมื่อเห็นว่าเธอกำลังตั้งใจเรียน จึงพยายามขยับตัวให้เบาที่สุด
หลินม่ายใช้เวลาอ่านหนังสือนานกว่าสองชั่วโมง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจยืดเส้นสาย ทันใดนั้นโทรศัพท์ข้างเตียงก็ดังขึ้น
เธอเดินไปที่เตียงแล้วนั่งลง ก่อนจะยกหูเพื่อรับสาย
เถาจืออวิ๋นนั่นเองที่โทรมา บอกว่าเสื้อผ้าล็อตแรกที่เธอเป็นคนออกแบบคลอดจากสายการผลิตเรียบร้อยแล้ว
หลินม่ายอดประหลาดใจไม่ได้ “ทำไมงานไวแบบนี้ล่ะ?”
“จะล่าช้าได้ยังไง? อีกไม่กี่วันโรงเรียนก็จะเปิดเทอมแล้ว” เถาจืออวิ๋นพูดกระตุ้นมาตามสาย “รีบมาเลือกเสื้อผ้าเพื่อใส่ถ่ายโปสเตอร์กันเถอะ จากนั้นก็เอาโปสเตอร์ไปติดไว้ตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ ในวันพรุ่งนี้”
หลินม่ายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับด้วยความลังเล “ฉันเป็นแม่คนแล้วนะ ให้ไปถ่ายเสื้อผ้าสำหรับเด็กวัยรุ่นคงดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่มั้ง?”
ถึงแม้เธอจะมีอายุแค่สิบแปดปี แต่ความคิดความอ่านกลับเป็นผู้ใหญ่เกินวัย เธอลืมไปแล้วว่าตัวเองยังคงเป็นเด็กสาววัยแรกรุ่น
เถาจืออวิ๋นตอบกลับมาทางโทรศัพท์ “หน้าเธอยังเด็กอยู่เลย ตัวก็เล็กเหมือนกับนักเรียนชั้นมัธยมต้น ไม่เหมาะจะถ่ายแฟชั่นชุดลำลองวัยรุ่นตรงไหน? อย่ามาทำเสแสร้งไปหน่อยเลย!”
หลินม่ายไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกไปที่โรงงานตัดเสื้อ
พอไปถึงจึงรู้ว่าเถาจืออวิ๋นปรับเปลี่ยนรูปแบบเสื้อผ้าที่ตัวเองเป็นคนออกแบบใหม่ทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น เธอออกแบบกระโปรงเอี๊ยมยีนยาวคลุมเข่า โดยที่ไม่มีการตกแต่งใด ๆ
แต่เถาจืออวิ๋นออกแบบให้กระโปรงเอี๊ยมตัวนั้นมีกระเป๋าแต่งระบายด้วย
กระโปรงเอี๊ยมทั้งหมดจึงดูมีชีวิตชีวากว่าที่คิดไว้ เรียกได้ว่าเป็นผลพวงอันมหัศจรรย์จากการตกแต่ง
นอกจากนี้ยังมีเสื้อเชิ้ต แบบร่างของหลินม่ายแต่งระบายไว้สองชั้น แต่เถาจืออวิ๋นลดชั้นระบายบนตัวเสื้อออกไปจนเหลือชั้นเดียว
เสื้อจึงมีความพลิ้วไหวเป็นธรรมชาติ และดูอ่อนหวานมากขึ้น
หลินม่ายนึกชื่นชมอยู่ในใจ มืออาชีพก็ยังคงเป็นมืออาชีพอยู่วันยังค่ำ การเพิ่มและลดรายละเอียดทั้งสองกรณีนี้ ทำให้งานจริงที่ออกมามีความสมบูรณ์และยืดหยุ่นมากขึ้น
เธอถามเถาจืออวิ๋น “อย่าบอกนะว่าพี่ไม่ได้พักเที่ยง เพราะมัวแต่ปรับเปลี่ยนแบบเสื้อผ้าของฉัน? พี่ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วยซ้ำ ถึงงานจะสำคัญแค่ไหน แต่ร่างกายสำคัญกว่า ไม่ว่ายังไงพี่ก็ควรหาอะไรกินรองท้องสักหน่อย”
เถาจืออวิ๋นตบหลังเธอพลางตอบกลับ “ฉันกินข้าวกลางวันเรียบร้อยแล้ว คนอย่างฉันกลัวหิวยิ่งกว่าอะไรดี เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กินมื้อเที่ยง ฉันไม่ได้พักกลางวันก็จริง แต่ก็ไม่ได้ทุ่มเวลาจนเกินตัว พอแก้แบบเสร็จก็รีบทำแพทเทิร์น แล้วส่งให้ช่างเขารับช่วงต่อ นานครั้งจะได้ทำงานหนักแบบนี้ ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเหนื่อยเกินไปหรอก อย่ากังวลไปเลย”
จากนั้นสองสาวก็เลือกเสื้อผ้าสำหรับถ่ายโปสเตอร์ด้วยกัน
หลินม่ายถามขณะหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาดู “มะรืนนี้เป็นวันแห่งความสุขของหม่าเทาและรักแรกของเขา พี่พร้อมจะเห็นความวิบัติแล้วรึยัง?”
“พร้อมมากเลยล่ะ พร้อมแบบที่ไม่เคยพร้อมเท่านี้มาก่อน”
หลังเลือกเสื้อผ้าเสร็จแล้ว หลินม่ายหันไปเลือกหมวกจากร้านไป๋เหอโถวซื่อ หยิบหมวกหลายใบออกมา จากนั้นก็ไปที่สตูดิโอถ่ายภาพของรัฐที่เธอใช้บริการถ่ายภาพโปสเตอร์ครั้งล่าสุด
ในเมื่อจะถ่ายแฟชั่นนักเรียน ถ่ายคู่กับหมวกหวาน ๆ ภาพคงออกมาดูดีไม่น้อย
ในสตูดิโอถ่ายภาพไม่มีลูกค้ามาใช้บริการ พนักงานสองสามคนนั่งเฝ้าอยู่ตรงห้องโถงขนาดเล็กด้านหน้าด้วยท่าทางเกียจคร้าน พูดคุยกันไปพลาง
พอเห็นว่าหลินม่ายเดินเข้ามา พนักงานที่ประจำอยู่ตรงแผนกต้อนรับกลับไม่มีความกระตือรือร้นเลย ถามเสียงยืดยาดว่า “ถ่ายรูปติดบัตรหรือถ่ายแฟชั่น?”
ชายวัยกลางคนที่มีความเป็นศิลปินหน่อย ๆ ผุดลุกยืนขึ้นทันที “คุณมาที่นี่เพื่อถ่ายโปสเตอร์อีกแล้วเหรอ?”
ชายวัยกลางคนคนนี้เป็นช่างภาพประจำสตูดิโอถ่ายภาพของรัฐแห่งนี้
ครั้งล่าสุดเขาก็เป็นคนถ่ายภาพโปสเตอร์ให้กับหลินม่าย แน่นอนว่าเขาประทับใจในตัวเธอมาก
ไม่ใช่แค่เพราะเธอสวยเพียงอย่างเดียว
ในฐานะที่เป็นช่างภาพ เขาเคยเห็นสาวสวยมาตั้งไม่รู้กี่คน
เหตุผลหลักเป็นเพราะเธอค่อนข้างหัวไว ตอนที่ถ่ายภาพ เธอสามารถโพสต์สีหน้าท่าทางออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและสมบูรณ์แบบ ไม่มีปัญหาใด ๆ
ช่างภาพชอบหญิงสาวประเภทนี้มากที่สุด
หลินม่ายเองก็จำเขาได้ พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ใช่ค่ะ”
ช่างภาพรีบเชื้อเชิญให้เธอนั่งลง “รอบนี้คุณอยากถ่ายโปสเตอร์แบบไหนล่ะ?”
หลินม่ายรู้สึกกระดากปากเล็กน้อย “ฉันอยากถ่ายเสื้อผ้าแฟชั่นสวย ๆ ของสาววัยรุ่นน่ะค่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะเหมาะไหม…”
ช่างภาพพูดจาเคร่งขรึม “คุณเองก็เป็นสาววัยรุ่นเหมือนกัน แถมยังตัวเล็กเหมือนเด็กนักเรียน ไม่เห็นจะดูแก่เกินวัยตรงไหน ทำไมถึงจะดูไม่เหมาะกันล่ะ?”
หลังจากถ่ายภาพเสร็จแล้ว หลินม่ายก็ออกไปติดต่อกับพนักงานด้านหน้าอีกครั้ง
ไม่ลืมขอเพิ่มข้อความสองสามบรรทัดลงในโปสเตอร์…
เปิดเทอมนี้ Unique จัดโปรโมชันใหญ่
ลูกค้าท่านใดที่ซื้อเสื้อผ้าจากร้าน Unique ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม ถึง 15 กันยายน จะได้รับผ้าโพกผมลายสวยไปเลยฟรี ๆ
และหากมียอดซื้อสินค้ามากกว่า 50 หยวน เชิญรับบัตรกำนัลแทนเงินสดจำนวน 5 หยวนได้ทันที
นอกจากนี้ เธอยังเพิ่มคำขอพิเศษให้พนักงานเร่งงานให้ เพื่อให้โปสเตอร์ของเธอเสร็จพร้อมใช้งานภายในวันพรุ่งนี้
พนักงานสูบบุหรี่ ก่อนจะพูดช้า ๆ “อยากได้งานเร่งต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนะ”
หลินม่ายไม่สนใจเงินจำนวนเล็กน้อย ยอมจ่ายเงินค่าดำเนินการเพิ่มให้เขา และขอให้เขานำสินค้าที่เสร็จสมบูรณ์แล้วไปส่งให้ในเช้าวันพรุ่งนี้
พอกลับถึงบ้าน ยังไม่ทันปลีกตัวไปจิบน้ำสักอึก โฮ่วซินอี้ก็โทรมาแจ้งว่าเขาได้ทำงานทั้งหมดที่ได้รับมอบหมายจากเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว
จุดประสงค์ที่โทรแจ้งก็เพราะอยากให้เธอมาตรวจงานด้วยตัวเอง ถ้ามีอะไรขาดตกบกพร่องจะได้แก้ไขอย่างทันท่วงที
หลินม่ายต้องออกไปที่โรงงานตัดเสื้ออีกครั้ง
คราวนี้เธอรู้ซึ้งยิ่งกว่าเดิมว่าจักรยานหนึ่งคันมีความสำคัญมากแค่ไหน
เมื่อไปถึงโรงงานตัดเสื้อ ก็ถึงเวลาเลิกงานพอดี แต่พนักงานส่วนใหญ่ยังไม่มีวี่แววว่าจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
ภายใต้ร่มเงาของโรงงาน มีช่างตัดเสื้อจับกลุ่มนั่งยอง ๆ หรือยืนกินของว่างอยู่ทุกหย่อม
ฝั่งตรงข้ามเยื้อง ๆ กับโรงงานตัดเสื้อ ตรงหน้าเถ้าแก่และภรรยาผู้เป็นเจ้าของร้านอาหารเล็ก ๆ อย่าง ‘พั่งต้าเส่า’ มีหม้อใส่ข้าวกับจานวางอยู่หลายใบ
ส่วนอีกสองหม้อใหญ่เป็นกับข้าวและผักสด
เถ้าแก่ใช้ทัพพีตักข้าวเคาะหม้อใบใหญ่ทั้งสองที่อยู่ตรงหน้า แล้วตะโกนเสียงดังว่า “ยังมีกับข้าวเหลืออีกเยอะ รีบมาเติมกันได้”
คนงานหญิงคนหนึ่งตะโกนกลับไป “หยุดเรียกเถอะเถ้าแก่ ทางโรงงานออกค่าใช้จ่ายให้แล้ว รอให้เรากินหมดก่อนค่อยไปเติมอีกรอบก็ยังไม่สาย คุณไม่ได้ขาดทุนซะหน่อย!”
จากนั้นคนงานคนอื่น ๆ ต่างก็หัวเราะ แม้แต่เถ้าแก่และภรรยาของเขาต่างก็หัวเราะเช่นเดียวกัน
พอคนงานหันมาเห็นหลินม่าย ก็รีบทักทายเธอทันที
หลินม่ายถามด้วยรอยยิ้ม “พวกคุณอยู่ทำงานล่วงเวลากันเหรอคะ?”
คนงานหัวเราะแล้วตอบว่าใช่ ไม่มีใครไม่เต็มใจทั้งนั้น
ยิ่งทำงานล่วงเวลาก็หมายความว่ารายได้จะยิ่งเพิ่มขึ้น ใครในที่นี้ไม่อยากทำบ้าง?
หลินม่ายยิ้มแล้วตอบกลับ “ขอบคุณที่ทำงานหนักเพื่อเราค่ะ”
พอสังเกตอาหารในจานของพวกเขาแล้ว ถึงแม้กับข้าวจะเน้นผักเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีเนื้อสัตว์เฉลี่ยอย่างน้อยสองชิ้น แสดงว่าการจัดการด้านอาหารไม่เลวเลย
เมื่อเข้าไปในห้องทำงานของเถาจืออวิ๋นและคนอื่น ๆ หลินม่ายเห็นว่าไม่ใช่แค่โฮ่วซินอี้ที่รออยู่ เหรินเป่าจูก็อยู่ที่นั่นด้วย ทั้งสองกำลังนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน
เธอถามเหรินเป่าจู “ทำไมถึงยังไม่กลับบ้านอีก?”
เหรินเป่าจูใช้สายตาบุ้ยใบ้ไปทางคนงานสองสามคนที่เดินเตร็ดเตร่อยู่นอกห้องทำงาน “คนงานต่างสมัครใจทำงานล่วงเวลา เห็นแล้วก็ทำใจกลับบ้านไม่ลง เลยกะจะอยู่ทำงานล่วงเวลาเป็นเพื่อนพวกเขาค่ะ”
หลินม่ายนั่งลงบนเก้าอี้ “คุณกำหนดเวลาเลิกงานล่วงเวลาไว้กี่โมงล่ะ? อย่าเลิกงานดึกเกินไปก็แล้วกัน ฉันกลัวว่าพวกเขาอาจเหนื่อยจนร่างกายอ่อนล้าเกินไป เพราะทุกคนยังต้องตื่นมาเข้างานประจำตามปกติอีก”
“ไม่ดึกค่ะ ประมาณสามทุ่มก็เลิกงานแล้ว” เหรินเป่าจูพูดพร้อมกับตักข้าวเข้าปากคำใหญ่
เห็นอีกฝ่ายกินอร่อยแบบนี้ เธอเองก็อดหิวตามไม่ได้
โฮ่วซินอี้ฉวยโอกาสในระหว่างที่พวกเธอกำลังนั่งคุยกัน หยิบผ้าโพกผมของร้านไป๋เหอโถวซื่อและบรรจุภัณฑ์สำหรับใส่ผ้าโพกผมออกมา แล้วนำเสนอให้หลินม่ายดู “คุณคิดว่ามันดูเป็นยังไงบ้าง?”
ผ้าโพกผมมีลักษณะเป็นเหมือนริบบิ้นเส้นยาว ไม่ว่าใครก็ทำได้ ตราบใดที่พวกเขารู้หลักการเย็บ
หลินม่ายตรวจสอบดู พบว่าฝีเข็มค่อนข้างแน่นหนา เนื้อผ้าถูกรีดจนเรียบ ก็รู้สึกพึงพอใจมาก พยักหน้าแล้วพูดว่า “คุณภาพชิ้นงานออกมาดีเลย”
โฮ่วซินอี้อธิบายต่อ “อาจเป็นเพราะชิ้นงานมีขนาดเล็กเกินไป ผมลองติดต่อผู้ผลิตหลาย ๆ เจ้าดูแล้ว ยังไม่มีใครสนใจรับงานนี้ ผมเลยไปติดต่อให้เจ้าของร้านตัดเสื้อหลายแห่งช่วยอีกแรง”
หลินม่ายพูดเรียบ ๆ “ไม่สำคัญว่าคนทำจะเป็นใคร ขอแค่ผลิตชิ้นงานออกมาได้ดีก็พอแล้ว”
จากนั้น เธอก็หันไปตรวจสอบบรรจุภัณฑ์สำหรับใส่ผ้าโพกผม
ถุงบรรจุภัณฑ์พลาสติกขนาดเท่าฝ่ามือมีลักษณะเรียบง่าย พิมพ์ลายดอกลิลลี่และคำว่า ‘ไป๋เหอโถวซื่อ’ ลงบนถุงโดยตรง
ถึงรูปแบบบรรจุภัณฑ์ออกจะเรียบง่ายไปสักหน่อย แต่เทียบกับสินค้าร้านอื่นที่ไม่มีบรรจุภัณฑ์แล้ว สินค้าของเธอดูมีระดับขึ้นมาอย่างทันตาเห็น
หลินม่ายพอใจกับผลลัพธ์นี้เช่นเดียวกัน พูดกับโฮ่วซินอี้ว่า “ทำดีมาก รีบกินข้าวต่อเถอะ ระวังกับข้าวจะเย็นชืดหมด”
โฮ่วซินอี้คลี่ยิ้มกว้าง เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองเพื่อจัดการกับอาหารตรงหน้าต่อ
เหรินเป่าจูกินข้าวเสร็จพอดี หล่อนหยิบตัวอย่างบัตรกำนัลออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วนำเสนอให้หลินม่ายดู “นี่คือแบบร่างตัวอย่างที่ฉันไปติดต่อให้โรงพิมพ์ทำให้ คุณคิดว่าพอใช้ได้ไหมคะ? ถ้าไม่ติดอะไร จะได้แจ้งทางโรงพิมพ์ให้พิมพ์ล็อตใหญ่ได้เลย”
หลินม่ายอ่านดู พบว่าบัตรกำนัลอธิบายกฎการใช้บัตรกำนัลไว้อย่างชัดเจนและรัดกุม
นอกจากนี้บนตัวบัตรยังมีโลโก้ของแบรนด์ Unique อยู่บนบัตรกำนัลด้วย ส่วนตัวบัตรเป็นสีแดงสดอันเป็นที่ชื่นชอบของชาวจีน เห็นแบบนี้แล้วก็พึงพอใจ
เหรินเป่าจูรายงานหลินม่ายต่อ “บ่ายวันนี้ฉันเดินสายติดต่อกับห้างสรรพสินค้าที่เหลือครบแล้วค่ะ ผลคือบรรลุข้อตกลงร่วมกันกับทุกห้าง สามารถขนย้ายสินค้าเข้าไปตั้งร้านได้ภายในวันพรุ่งนี้”
หลินม่ายยิ้มพร้อมพูดว่า “ขอบคุณมาก”
หลังจากนั้นก็ไม่ลืมกำชับกับพวกเขาด้วยว่า อาหารฟรีซึ่งเป็นสวัสดิการสำหรับคนที่ทำงานล่วงเวลาจะต้องมีคุณค่าทางโภชนาการที่ครบถ้วน อย่างน้อยก็ควรแจกไข่เจียวคนละหนึ่งฟอง เสร็จแล้วก็ขอตัวกลับ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ขอให้ยอดขายปังๆ นะคะ จัดกระหน่ำโปรโมชันขนาดนี้
ไหหม่า(海馬)