แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 442 รองเท้าส้นสูงคู่หนึ่ง
ตอนที่ 442 รองเท้าส้นสูงคู่หนึ่ง
หลังออกมาจากสำนักงานเขตแล้ว หลินม่ายก็เห็นว่าเวลายังเช้าอยู่ จึงไปที่ไซต์ก่อสร้างของตน
ไหนๆ ผอ.เขตโอวหยางรับปากแล้วว่าจะช่วยเธอโน้มน้าวเบื้องบนให้ ดังนั้นเธอก็คงซื้อที่ดินมาไว้ในมือได้ในไม่ช้า
นอกจากต้องสร้างสำนักงานใหญ่แล้ว ยังต้องสร้างพวกโรงงานเสื้อผ้าและแผนกย่อยอีกมากมาย จำเป็นต้องใช้ที่ดินไม่น้อยเลย เรื่องนี้เธอยังไม่ได้คิดไว้ จึงต้องให้ผู้อาวุโสเจิ้งช่วยคำนวณให้เธอสักหน่อย
ผู้อาวุโสเจิ้งคุยกับเธออยู่พักใหญ่ คาดการณ์ไว้ว่าอย่างน้อยคงต้องใช้ที่ดิน150หมู่(ประมาณ62.5ไร่)ถึงจะพอ
เมื่อรู้แล้วว่าต้องซื้อที่ดินเท่าไร ก็ยังต้องออกแบบแปลนสำนักงานบริษัทและโรงงานด้วย แบบนี้จึงจะสามารถจัดงบประมาณได้ ว่าการปลูกสร้างสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เงินเท่าไร
การปลูกสร้างสถาปัตยกรรมมากมายขนาดนี้อย่างกะทันหันโดยไม่ได้จัดสรรงบประมาณเอาไว้ก่อน หากงบเกิดบานปลายขึ้นมา จะกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทได้
สิ่งที่บริษัทหนึ่งๆ กลัวที่สุดนั้นก็คือการเกิดปัญหาด้านสภาพคล่องทางการเงิน
ถ้าค่าใช้จ่ายมากเกินไป เธอก็ต้องปรับลดลงให้ทันท่วงที
สร้างโรงงานเสื้อผ้าและโรงอาหารที่มีความจำเป็นเร่งด่วนก่อน ส่วนอื่นๆ นั้นไว้ค่อยว่ากันทีหลัง
ผู้อาวุโสเจิ้งตกปากรับคำว่าจะช่วยออกแบบแปลนให้เธอ และมารับได้ในอีกสองวันให้หลัง
หลินม่ายกล่าวขอบคุณ ก่อนขี่จักรยานไปกินอาหารเที่ยงที่วิลล่า และพบว่าสวนทั้งด้านหน้าและด้านหลังได้รับการปรับปรุงเสร็จแล้ว
มีทั้งชิงช้าที่เธออยากได้และค้างปลูกองุ่นที่คุณปู่ฟางอยากได้ คนจัดสวนล้วนทำให้ทั้งหมดตามคำขอ
ทั้งยังออกแบบพื้นที่พักผ่อนเอาไว้อย่างสวยงามเรียบง่ายและใช้งานได้จริงอีกด้วย
พื้นที่พักผ่อนนี้ไม่เพียงสามารถจิบชาและรับประทานอาหารร่วมกันเท่านั้น ยังสามารถปิ้งย่างเซาเข่าได้ด้วย
ส่วนทิวทัศน์ก็งดงามทุกย่างก้าว ไม่ดอกไม้ก็เป็นต้นไม้ผล แม้แต่ข้างรั้วก็ปลูกกุหลาบเลื้อยเอาไว้
แม้ว่าดอกไม้พืชพรรณทั้งหมดล้วนแต่เป็นต้นกล้า แต่ก็สามารถจินตนาการภาพอันงดงามยามดอกไม้บานสะพรั่งในปีหน้าได้
ส่วนด้านหลังนั้นก็มีการปรับปรุงใหม่ตามพื้นฐานของสวนผักสไตล์สวนหย่อมที่หลินม่ายออกแบบไว้ ซึ่งผลลัพธ์ออกมาดีกว่าแบบที่หลินม่ายออกไว้เสียอีก
คุณปู่ฟางได้หว่านเมล็ดพันธ์ุผักในแปลงผักทั้งสิบแปลงนั้นไว้แล้ว
หลินม่ายเยี่ยมชมสวนหน้าบ้านหลังบ้านอย่างตื่นเต้นรอบหนึ่ง แล้วจึงกลับเข้าไปกินข้าวในบ้าน
เมื่อเห็นว่ามีซุปไก่ตุ๋นเห็ดหอมชามใหญ่ หลิยม่ายก็ค่อนข้างสงสัย เธอถามคุณย่าฟาง “ทำไมตอนเที่ยงก็ดื่มซุปไก่กันแล้วล่ะคะ? ไม่ใช่ว่าควรดื่มตอนเย็นหรอกเหรอ?”
ตั้งแต่โต้วโต้วเข้าโรงเรียนอนุบาล แม้ว่าอาหารเที่ยงจะมีทั้งปลาทั้งเนื้อ แต่อาหารดีๆ ที่ไม่ค่อยได้กินบ่อยๆ อย่างซุปไก่ คุณย่าฟางก็มักจะจัดเอาไว้ในมื้อเย็น
ไม่ใช่เพื่ออะไร ก็เพราะกลัวว่าโต้วโต้วเจ้าหนูน้อยคนนี้จะไม่ได้กินนั่นเอง
เพราะเจ้าหนูน้อยไม่ได้อยู่กินข้าวเที่ยงที่บ้าน แต่กลับจะได้กินในมื้อเย็นแทน
ทุกวันนี้ โต้วโต้วนั้นเป็นหัวแก้วหัวแหวนของคุณย่าฟางไปแล้ว ของอร่อยๆ อะไรในบ้านล้วนเป็นของหล่อนทั้งนั้น
ดังนั้นเมื่อหลินม่ายเห็นว่ามื้อเที่ยงมีซุปไก่ จึงรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
ฟางจั๋วหรานวางถ้วยซุปไก่ไว้ตรงหน้าเธออย่างเงียบๆ ในนั้นมีกึ๋นไก่ที่เธอชอบกินอยู่ด้วย
หลินม่ายเม้มปากยิ้มให้เขา
คุณปู่ฟางพูดอย่างอ่อนโยน “ตอนเย็นก็ยังมี ซุปไก่เยอะขนาดนี้ เธอต้องดื่มมากๆ สักสองสามถ้วยนะ ดูสิเธอผอมเสียขนาดนี้”
หลินม่ายยิ่งแปลกใจ “ทำไมวันหนึ่งถึงดื่มซุปไก่ตั้งสองครั้งล่ะคะ? แบบนี้จะฟุ่มเฟือยเกินไปแล้วนะ”
คุณย่าฟางยิ้มตาหยีพร้อมอธิบาย “สวนหน้าบ้านหลังบ้านของบ้านเราปลูกต้นกล้าเอาไว้ไม่น้อย เมล็ดผักที่ปู่ของเธอโรยเอาไว้ต่อไปก็จะงอกเงยออกมาเป็นต้นกล้า ในสวนเลี้ยงไก่เอาไว้ ไก่พวกนั้นอาจจิกกินต้นกล้าผักและดอกไม้ไปหมด ปู่ของเธอก็เลยเชือดไก่สองสามตัวที่เอามาจากบ้านนอกนั้นหมดเลย จะได้ไม่เกิดหายนะกับต้นกล้าผักและดอกไม้ ดังนั้นไม่ใช่แค่วันนี้ที่เราจะดื่มซุปกันวันละสองครั้ง แต่จากนี้ไปอีกสองสามวันก็จะดื่มซุปไก่กันทุกวันเลยล่ะ”
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันยังคิดจะเอาเจ้าห่านอ้วนไม่กี่ตัวนั้นที่หนูเลี้ยงไว้มาเลี้ยงที่นี่อยู่เลย ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แล้ว คงต้องเลี้ยงไว้ในกรงต่อไป”
คุณย่าฟางเห็นว่าในซุปไก่ที่ฟางจั๋วหรานตักให้หลินม่ายไม่มีน่องไก่ จึงตีหน้าขรึมพูดกับเขา “ทำไมไม่คีบน่องไก่ให้ม่ายจื่อเลยลาะ?”
ฟางจั๋วหรานอึ้งไปเล็กน้อย แล้วพูดขึ้น “ไม่ใช่ว่าต้องเก็บไว้ให้พ่อฟู่เฉียงกินเหรอครับ”
แม้เขาจะหลงแฟนสาวแค่ไหน แต่พ่อฟู่เฉียงก็เป็นคนไข้ ตามหลักการก็ควรจะกินของดีๆ หน่อย
ฟู่เฉียงที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากินอยู่นั้นเงยหน้าขึ้นมา “ซุปไก่ที่คุณย่าเก็บไว้ให้คุณพ่อผมมีน่องไก่อยู่แล้วครับ”
คุณย่าฟางพูดกับฟางจั๋วหราน “ย่าจัดเตรียมไว้อย่างดีแล้ว น่องไก่สองอัน พ่อฟู่เฉียงอันหนึ่ง ม่ายจื่ออันหนึ่ง”
ฟางจั๋วหรานรีบหาน่องไก่อันนั้นในซุปไก่ แล้วคีบให้หลินม่ายทันที
หลินม่ายพูดอย่างค้อนๆ “คุณนี่ก็จริงๆ เลย! คุณย่าบอกว่าเอาให้ฉันคุณก็เอาให้ฉันเหรอ ต้องให้คุณปู่คุณย่าสิถึงจะถูก”
คุณปู่คุณย่าฟางประสานเสียงปฏิเสธพร้อมกัน
หลินม่ายเห็นเช่นนั้น ก็ได้แต่เอาน่องไก่อันนั้นให้ฟางจั๋วหรานกิน
เหตุผลมีเพียงอย่างเดียว คือเพราะเขาทำงานหนัก
ฟางจั๋วหรานไม่สนใจว่าจะมีน่องไก่กินหรือไม่ เขาสนใจเพียงว่าในใจของคนรักมีเขาอยู่ เท่านี้ในใจของเขาก็หวานฉ่ำยิ่งกว่าดื่มน้ำผึ้งเสียอีก
เขาอยากให้หลินม่ายกินน่องไก่อันนั้นให้ได้ บอกว่าเธอทำงานหนักกว่าเขา
น่องไก่อันหนึ่งถูกคนสองคนส่งกันไปส่งกันมา สุดท้ายมันก็ถูกวางไว้ในถ้วยของหลินม่าย
เพราะฟางจั๋วหรานพูดที่ข้างหูของเธอว่า สัมผัสของเธอยังน้อยไปหน่อย เขาชอบแบบมีเนื้อมีหนังสักนิด
ใบหน้าของหลินม่ายแดงเรื่อทันที กลัวว่าเขาจะพูดที่เหลือเกินยิ่งกว่านี้ออกมา จึงทำได้เพียงรับน่องไก่อันนั้นไว้
เธอกัดน่องไก่อันนั้นแล้วถามฟู่เฉียงว่าอาการของพ่อแม่เขาในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
ฟู่เฉียงปัดความเศร้าหมองบนใบหน้าทิ้งไปทันที “คุณพ่อคุณแม่กำลังฟื้นตัวได้ไม่เลวเลยครับ พรุ่งนี้แม่ของผมก็ออกจากห้องICU ย้ายไปอยู่ห้องผู้ป่วยทั่วไปได้แล้ว และกินอาหารเหลวได้แล้วครับ ส่วนพ่อของผมตอนนี้ไม่เพียงไม่ต้องให้คนพยุงเวลาเดิน ยังเดินเล่นในสวนหย่อมของโรงพยาบาลได้ครั้งละครึ่งชั่วโมงด้วยครับ คุณหมอบอกว่า อีกหนึ่งสัปดาห์ การฉีดยาในระยะการบำบัดก็จะฉีดครบแล้ว และจะทำการตรวจให้กับพ่อของผม ถ้าเชื้อแบคทีเรียอะไรนั่นในร่างกายหายไปหมดแล้ว พ่อผมก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ครับ ถึงตอนนั้นแม่ของผมเองก็เกือบจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหมือนกัน”
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “อาการป่วยของพ่อแม่ของเธอต่างก็รักษาหายหมดแล้ว ภาระบนตัวเธอก็เบาลงเยอะแล้วล่ะ”
ฟู่เฉียงพูดด้วยความตื้นตันใจ “ขอบคุณพวกคุณอามากๆ ครับ! หากไม่มีพวกคุณอา ก็คงไม่มีพวกเราทั้งครอบครัวในวันนี้!”
เมื่อกินอาหารเที่ยงและเก็บกวาดถ้วยชามเสร็จแล้ว หลินม่ายก็กำลังจะจากไป
เธอต้องเรียนหนังสือแข่งกับเวลา เมื่อข้ามชั้นอีกครั้งจะได้ก้าวเข้าสู่ชั้นปีที่สาม
แต่ฟางจั๋วหรานกลับดึงเธอไปที่ห้องของเขา แล้วหยิบปากกาปาร์คเกอร์ด้ามหนึ่งออกมาให้เธอ
หลินม่ายงุนงง “รู้อยู่แล้วแท้ๆ ว่างานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์ฉันได้ปากกามาตั้งเยอะ คุณก็ยังจะให้ปากกาฉันอีกเหรอ”
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างจริงจัง “ถึงคุณจะมีปากกาเยอะแล้ว แต่ก็ยังไม่มีปาร์คเกอร์เลยสักด้าม”
หลินม่ายพูดไปโดยไม่คิดอะไร “เปล่าเสียหน่อย เฉินเฟิงก็ให้ฉันมาแล้วด้ามหนึ่งไม่ใช่เหรอ?”
“ก็เพราะเขาให้คุณมาแล้วด้ามหนึ่ง ดังนั้นผมถึงได้ต้องให้แบบที่แพงกว่า ดีกว่าเขาอีกด้ามหนึ่งไง ผมหวังว่าตอนที่คุณเอาไปอวดคนอื่น จะบอกว่าปากกาปาร์คเกอร์ด้ามนี้ผมเป็นให้คนให้มา ไม่ใช่ของที่เจ้าหมอนั่นให้มา”
หลินม่ายรู้ว่าเขาหึงแล้ว ก็รู้สึกดีใจขึ้นมา
เธอใช้นิ้วมือจิ้มแผงอกแกร่งของเขา “ฉันไม่ได้วางแผนจะใช้ปากกาปาร์คเกอร์ด้ามนั้นที่เฉินเฟิงให้มาเสียหน่อย เมื่อวานกลับไปแล้วฉันก็เก็บล็อคเอาไว้ในตู้เลย”
แม้จะเพลิดเพลินกับท่าทางหึงหวงของฟางจั๋วหรานมาก แต่หลินม่ายก็ให้ความรู้สึกปลอดภัยกับเขาอย่างเข้าใจ
หากรักใครสักคน ก็จงอย่าทำให้เขารู้สึกทุกข์ทรมานและคิดฟุ้งซ่านไปเอง
ฟางจั๋วหรานได้ยินดังนั้นก็อดยกยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้ เขาหมุนตัวไปหยิบกล่องรองเท้าให้เธอ
หลินม่ายเปิดออกมาดู พบว่าด้านในเป็นรองเท้าส้นสูงคู่นั้นที่เธอมองอยู่สองสามครั้งตอนที่ไปเดินช้อปปิ้งเมื่อวาน
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าฟางจั๋วหรานจะมีจิตใจละเอียดอ่อนขนาดนี้ เธอเพียงแค่มองอยู่สองสามครั้งเท่านั้นเอง เขาก็แอบซื้อเอาไว้ให้ตนแล้ว
ความรู้สึกที่ถูกใครคลั่งรักแบบนี้มันช่างหอมหวานเหลือเกิน
หลินม่ายอยากจะลองสวมรองเท้าส้นสูงคู่นั้นด้วยความลิงโลด
เธอเพิ่งจะหยิบรองเท้าคู่นั้นออกมาจากกล่องรองเท้า ก็ถูกฟางจั๋วหรานรับเอาไปเสียก่อน แล้วสวมให้เธออย่างเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
เมื่อสวมรองเท้าเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็ให้หลินม่ายลองเดินดูสักหน่อย
ส้นของรองเท้าส้นสูงคู่นี้ค่อนข้างสูงเล็กน้อย อย่างต่ำก็ห้าเซนติเมตร เขาเป็นห่วงว่าเธอสวมรองเท้าส้นสูงขนาดนี้แล้วจะปรับตัวไม่ได้
ชาติก่อนหลินม่ายก็เคยสวมรองเท้าส้นสูงที่สูงกว่านี้มาแล้ว แม้จะไม่ได้เดินได้พลิ้วราวกับโบยบินได้ แต่ก็เดินได้อย่างมั่นคงแน่นอน
เมื่อเห็นฟางจั๋วหรานจะประคองเธอเดิน เธอจึงผลักออกอย่างไม่สนใจ “ฉันเดินเอง ไม่ต้องพยุงหรอก”
พูดจบ เธอก็เดินจากเตียงไปถึงหน้าประตู แล้วเดินจากหน้าประตูมาที่เตียง
ในขณะที่เธอกำลังภาคภูมิใจอยู่นั้นก็เกิดเท้าพลิกอย่างกะทันหัน ทั้งตัวของเธอเสียสมดุลไปทันที
ฟางจั๋วหรานตาเร็วมือไว จึงรวบเธอเอาไว้ได้ ถามอย่างตึงเครียด “เจ็บไหม?”
หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่เจ็บ ไม่ได้พลิกถึงเอ็นกระดูกเสียหน่อย”
พูดเช่นนั้นก็เตะรองเท้าส้นสูงทิ้ง แล้วคิดจะออกมาจากอ้อมแขนของฟางจั๋วหราน
เมื่อร่างกายนุ่มนิ่มหอมกรุ่นดิ้นไปมาอยู่ในอ้อมแขน ฟางจั๋วหรานพลันรู้สึกปากคอแห้งผาก เขาประทับจูบลงบนริมฝีปากชมพูของหลินม่ายไปโดยไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น
จูบนี้ดำเนินไปจนกระทั่งทั้งสองไม่อาจกลั้นลมหายใจได้ไหวอีกถึงผละออกจากกัน
หลินม่ายหยิบสิ่งของที่ฟางจั๋วหรานซื้อให้เธอแล้ววิ่งหนีเตลิดไปทันที
เธอรู้สึกว่า การอยู่กับท่านศาสตราจารย์คนนี้ตามลำพังมันอันตราย! เกิน! ไป! แล้ว!
มิน่าเล่าเมื่อชาติก่อนถึงมีเรื่องเล่าในอินเตอร์เน็ตว่าท่านศาสตราจารย์คือนายท่านสัตว์ป่า เพราะมันมีเหตุผลแบบนี้นี่เอง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สะดุดรักแรงมากอะม่ายจื่อ โดนพี่หมอขโมยจูบครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย
ไหหม่า(海馬)