แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 454 เตรียมเปิดช่องทางใหม่
ตอนที่ 454 เตรียมเปิดช่องทางใหม่
เมื่อตื่นขึ้นมาในยามเช้า สิ่งแรกที่หลินม่ายทำก็คือลงข้างล่างมาซื้อหนังสือพิมพ์
ตอนที่เธอเดินไปดูที่แผงหนังสือพิมพ์ พาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ทั้งหมดล้วนตีพิมพ์ข่าวที่กวนหย่งหัวแพ้คดี ทำให้เธออดแสยะยิ้มออกมาไม่ได้
เธอซื้อหนังสือพิมพ์ฉู่เป้าฉบับหนึ่ง แล้วซื้อปาท่องโก้น้ำเต้าหู้อีกอย่าง จากนั้นจึงกลับบ้าน
เธอกินอาหารเช้าไปพลาง อ่านหนังสือพิมพ์ไปพลาง
หนิวลี่ลี่เป็นคนเขียนข่าวเรื่องที่กวนหย่งหัวแพ้คดีหมิ่นประมาทของหนังสือพิมพ์ฉู่เป้าเอง พรรณนาโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของกวนหย่งหัวที่เป็นโจรแต่เรียกร้องให้จับโจรเสียเองนั้นอย่างถึงพริกถึงขิง
แถมยังใส่ภาพประกอบขนาดใหญ่ตอนที่กวนหย่งหัวนั่งรถตำรวจสามล้อพ่วงข้างมาถึงสถานีตำรวจ และถูกนักข่าวรุมสัมภาษณ์จนหน้าเหลือแค่สองนิ้ว
ดูก็รู้ว่าหนิวลี่ลี่จงใจใส่รูปนี้เข้าไปด้วย แต่เธอก็ชอบมัน
กวนหย่งหัวเองก็เห็นข่าวเกี่ยวกับเขาที่ตีพิมพ์บนหนังสือพิมพ์แล้ว พลันโกรธจนหน้าดำหน้าแดง
พอถึงเก้าโมงเช้า เขาจึงไปที่โรงงานเสื้อผ้าซีม่านด้วยสีหน้าถมึงทึง
เลขาเห็นสีหน้าเขาไม่สู้ดีนัก ในใจก็เกิดความกลัว แต่ยังฝืนใจเอ่ยขึ้น “ประธานกวน มีเถ้าแก่เกาที่ชื่อเกาจื้อหย่วนอยากพบคุณ ฉันพาเขาไปรอที่ห้องรับแขกแล้วค่ะ”
“เถ้าแก่เกาคนนี้เป็นใครมายังไง? ทำไมถึงอยากพบฉัน?” กวนหย่งหัวนั่งลงที่โต๊ะทำงานอันหรูหราของเขา และถามอย่างไม่ใส่ใจนัก
เขาไม่อยากเจอหมาแมวที่ไหนทั้งนั้นหรอก มันเสียเวลา
“ได้ยินเถ้าแก่เกาแนะนำตัวว่าเป็นเถ้าแก่ร้านขายส่งของถนนฮั่นเจิ้ง และเขาอยากเป็นตัวแทนจำหน่ายของเราค่ะ”
กวนหย่งหัวได้ยินเช่นนั้นก็เกิดคล้อยตามขึ้นมา
เสื้อผ้าซีม่านของเขากำลังขายได้ไม่ดีอยู่พอดี หากมีตัวแทนจำหน่ายมาช่วยเขาขายสินค้า อย่างนั้นก็คงเยี่ยมไปเลย
กวนหย่งหัวรีบไปที่ห้องรับแขกทันที
เกาจื้อหย่วนอ่านหนังสือพิมพ์ของเช้าวันนี้แล้ว จึงรู้ว่าเสื้อผ้าซีม่านนั้นลอกเลียนแบบของ Unique
เขาไม่สนว่าใครเลียบแบบใคร ขอแค่เสื้อผ้าซีม่านกับ Unique เป็นแบบเดียวกันก็พอแล้ว
เพราะเขารู้ว่า ในเมื่อสไตล์พวกนั้นเป็นที่นิยมในเจียงเฉิง ในตลาดค้าส่งเองก็ต้องขายดีอย่างแน่นอน
ทั้งสองคนเข้าประเด็นทันทีที่พบหน้ากัน ก่อนบรรลุข้อตกลงอย่างรวดเร็ว และเซ็นสัญญากันเสร็จสิ้น
กวนหย่งหัวรู้สึกปลื้มปิติ เขาไม่ต้องกังวลใจว่าเสื้อผ้าของเขาจะขายไม่ออกอีกต่อไปแล้ว
หลินม่ายกินอาหารเช้าเสร็จ ก็เรียนหนังสือถึงแปดโมง แล้วจึงขี่จักรยานไปที่สำนักงานเขต
ผอ.เขตโอวหยางนั้นได้เตรียมใบอนุมัติเงินกู้เอาไว้แล้ว
หลินม่ายรับใบอนุมัติแล้วไปที่ธนาคาร กู้เงินห้าแสนหยวนมาได้อย่างราบรื่น
จากนั้นจึงไปที่สำนักงานที่ดิน ซื้อที่ดินอุตสาหกรรมสองผืนและที่ดินที่อยู่อาศัยหนึ่งผืนที่พอใจมาในคราวเดียว
หลังวิ่งเต้นไปทั่ว เวลาก็ล่วงไปจนถึง10โมง ควรจะไปที่โรงงานเสื้อผ้าสักรอบเพื่อจัดการงานธุระของโรงงานสักหน่อย
เมื่อวานตอนที่หลินม่ายออกมาจากโรงงานเสื้อผ้า ก็ได้แจ้งให้เจิ้งซวี่ตงกับวังเสี่ยวลี่มาประชุมกันตอนประมาณ10โมง
ตอนที่หลินม่ายมาถึงโรงงานเสื้อผ้า พวกเขาทั้งสองก็มาถึงอยู่นานแล้ว
ในการประชุม หลินม่ายถามหาใบรายชื่อพนักงานฝ่ายบุคคลใหม่ที่ผ่านการคัดเลือกจากเจิ้งซวี่ตงก่อนเป็นคนแรก
เจิ้งซวี่ตงเอาใบรายชื่อให้เธอ จากนั้นก็พูดว่า “แม้ว่าจะมีผู้สมัครบางคนที่มีความสามารถบกพร่องอยู่บ้าง จึงไม่ผ่านการทดสอบ แต่ผมก็เก็บเด็กสาวที่หน้าตาดีไม่กี่คนเอาไว้ทั้งหมดให้เป็นเสมียน
โรงงานของเราไม่มีเสมียนเลยสักคน ขนาดตอนประชุมพวกเรายังต้องยกชารินน้ำเองเลย”
หลินม่ายพยักหน้า “ได้ค่ะ” จากนั้นจึงถามถึงผลการทดสอบรอบสองของการรับสมัครเจ้าหน้าที่บัญชี
เหรินเป่าจูบอกว่า นอกจากสองคนที่ใช้ไม่ได้แล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ไม่เลว แต่หล่อนก็เลือกรับผู้สมัครที่ดีที่สุด และเก็บคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดเอาไว้ทั้งหมดสิบกว่าคน
หลินม่ายพยักหน้า แสดงความพึงพอใจ ก่อนหันไปถามเถาจืออวิ๋น ว่าออกแบบสินค้าใหม่ในเทศกาลไหว้พระจันทร์หรือยัง
เถาจืออวิ๋นเอาแบบเสื้อผ้าที่ออกแบบเสร็จแล้วทั้งหมดยื่นให้เธอดู “ออกแบบเสร็จแล้ว ฉันกำลังจะเอาให้เธอดูพอดี ให้เธอช่วยแนะนำสักหน่อย อีกสองวันก็จะถึงวันที่8แล้ว ฉันอยากจะนำมันไปผลิตแล้วล่ะ”
หลินม่ายหัวเราะ “พี่ต่างหากที่เป็นหัวหน้านักออกแบบของโรงงาน ฉันจะไปรู้อะไร! ถ้าพี่คิดว่าดี ก็นำไปเข้ากระบวนการผลิตได้เลย”
เถาจืออวิ๋นส่ายนิ้วชี้ไปมา “เธอไม่ต้องรู้หรอก แค่มีแรงบันดาลใจก็ได้แล้ว สไตล์พวกนั้นที่เธอออกแบบสำหรับฤดูกาลเปิดเรียนก็ยอดเยี่ยมมากไม่ใช่เหรอ”
หลินม่ายเองก็ไม่ได้กระบิดกระบวน “งั้นก็ได้ เดี๋ยวฉันจัดการทังชุ่นอิงแล้วจะแนะนำให้พี่นะ”
เธอถามว่าขนมไหว้พระจันทร์ที่จำเป็นในการส่งเสริมการขายในเทศกาลไหว้พระจันทร์ของเสื้อผ้า Unique เสร็จแล้วหรือยัง
เหรินเป่าจูเบนสายตาไปยังเจิ้งซวี่ตง “ผู้จัดการร้านเจิ้งบอกว่าเขาจะรับเหมาขนมไหว้พระจันทร์นี้เองค่ะ”
เจิ้งซวี่ตงเห็นสายตาของหลินม่ายเลื่อนมาที่เขา จึงพูดขึ้น “แทนที่จะเอาคำสั่งซื้อนี้ไปให้โรงงานอาหารอื่น ไม่สู้มอบหมายให้เปาห่าวชือของพวกเราดีกว่า เปาห่าวชือของเรามีพ่อครัวอยู่หลายคนที่ทำขนมแบบจีนได้ หนึ่งในนั้นก็รวมถึงขนมไหว้พระจันทร์ด้วย”
หลินม่ายครุ่นคิดแล้วตอบตกลง
ตอนนี้เปาห่าวชือยังมีชื่อเสียงไม่มากนักในสามเมืองของเจียงเฉิง หากทำขนมไหว้พระจันทร์เป็นของแถม ก็จะมีหน้ามีตาอย่างมาก
ในชาติที่แล้ว โรงแรมที่มีชื่อเสียงในเจียงเฉิงขายบัวลอยเทศกาลหยวนเซียว ขายบ๊ะจ่างในเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง และขายขนมไหว้พระจันทร์ในเทศกาลไหว้พระจันทร์
เพราะจำหน่ายในช่วงเวลาจำกัด นอกจากนี้ยังทำสดใหม่ ลูกค้าที่มาต่อคิวซื้อจึงยาวราวกับตัวมังกร
โรงแรมชื่อดังเหล่านั้นไม่ได้คิดจะทำกำไรโดยอาศัยการขายบัวลอยขนมไหว้พระจันทร์อะไรพวกนั้น เพียงเพื่อเพิ่มชื่อเสียงความเป็นที่รู้จักเท่านั้น
อย่างนั้นเปาห่าวชือของเธอกับ Unique ของเธอก็สามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้อย่างสมบูรณ์ อาศัยขนมไหว้พระจันทร์มาเพิ่มความนิยมขึ้นไปอีก
ทว่าหลินม่ายแนะนำว่าไม่ต้องทำไส้ขนมไหว้พระจันทร์ตามประเพณี
เจิ้งซวี่ตงถามด้วยความไม่เข้าใจ “ไม่ทำไส้ขนมไหว้พระจันทร์ตามแบบประเพณี แล้วทำไส้อะไรล่ะครับ?”
“ไส้ผลไม้” หลินม่ายเห็นเจิ้งซวี่ตงมองเธออย่างเหลอหลา ก็รู้ว่าในใจของเขาคงเต็มไปด้วยความงงงัน
อย่าว่าแต่ในยุค80เลย ที่ไม่ใครเคยได้ยินขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผลไม้มาก่อน
ขนาดช่วยต้นยุค90 ตามตลาดก็ยังไม่มีขายขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผลไม้ กระทั่งถึงช่วงปลายยุค90ถึงเพิ่งมีขนมไหว้พระจันทร์ไส้พระจันทร์ไส้ผลไม้ขายกัน
เธอพูดกับเจิ้งซวี่ตง “คุณฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะคุยกับพ่อครัวที่ทำขนมไหว้พระจันทร์เอง”
เจิ้งซวี่ตงพยักหน้า
หลินม่ายมองไปยังทุกๆ คนแล้วพูดว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันอยากให้เสื้อผ้าทั้งหมดขึ้นราคา5หยวน”
เมื่อเธอเอ่ยคำพูดนั้นออกไป ทั้งที่ประชุมก็เงียบกริบ
หลังจากนั้นไม่นาน โฮ่วซินอี้ก็พูดขึ้นเป็นคนแรก “หากขึ้นราคาแบบนี้ เราจะไม่มีความได้เปรียบด้านราคาเลยแม้แต่นิดเดียว แม้ว่าเราจะมีกิจกรรมส่งเสริมการขายอยู่ แต่ผ้าพันคอที่ซีม่านซื้อมาจากฮ่องกงก็เป็นอันตรายต่อเราอย่างมาก หักล้างข้อได้เปรียบที่เกิดจากกิจกรรมส่งเสริมการขายของเราได้อย่างสมบูรณ์ ผมแนะนำว่า อย่าขึ้นราคาเลยจะดีกว่า ถึงจะขึ้นราคา ก็อย่าขึ้นถึง5หยวนในคราวเดียว ขึ้นแค่4หยวนก็พอแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีความได้เปรียบด้านราคาอยู่สักนิด”
นอกจากเถาจืออวิ๋นแล้ว เหรินเป่าจูและคนอื่นๆ ก็พากันพยักหน้า แสดงออกว่าเห็นด้วยอย่างยิ่งกับสิ่งที่โฮ่วซินอี้พูด
เถาจืออวิ๋นพูด “ความตั้งใจเดิมของประธาน คือการสร้าง Unique ให้เป็นแบรนด์ระดับไฮเอนด์ Uniqueจึงจะไม่ถูกกำจัดอย่างง่ายดายในการแข่งขันที่โหดร้ายในอนาคต การอาศัยข้อได้เปรียบด้านราคา มันไม่มีทางทำให้เสื้อผ้าUniqueกลายเป็นแบรนด์ระดับไฮเอนด์ได้ ดังนั้นฉันจึงสนับสนุนประธานหลินมาตรการขึ้นราคานี้”
ทุกคนต่างนิ่งเงียบไปอีกครั้ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เหรินเป่าจูก็ถอนหายใจ “ ในเมื่อการขึ้นราคาเป็นเรื่องที่จำเป็น อย่างนั้นพวกเราเองก็ทำได้เพียงยอมรับความจริงที่ยอดขายจะตกลงด้วย”
หลินม่ายยิ้มพลางส่ายหน้า “ การลดลงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็คงไม่ร้ายแรงจนเกินไป การที่พวกเราขึ้นราคา ในความเป็นจริงนั้นคือได้เดินในถนนเส้นเดียวกันกับเสื้อผ้าซีม่านแล้ว แต่พวกเรามีชื่อเสียงที่ดีกว่า ด้วยราคาที่ใกล้เคียงกัน แนวโน้มที่ผู้บริโภคจะเลือกเรานั้นจึงมีมากกว่า”
เหรินเป่าจูและคนอื่นๆ พยักหน้า พวกเขาเชื่อมั่นในจุดนี้
หลินม่ายพูดต่อ “ ในเมื่อพวกคุณเป็นห่วงว่ายอดขายในห้างสรรพสินค้าของเราจะลดลง งั้นก็เปิดช่องทางการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งทางก็ได้แล้ว”
ทุกคนต่างถามขึ้น “ ช่องทางอะไรกัน?”
“ก็ตลาดค้าส่งไงล่ะ” หลินม่ายพูด “ พวกคุณคงลืมกันไปหมดแล้ว ว่าเถ้าแก่เกาแห่งถนนฮั่นเจิ้งเคยคุยเรื่องการเป็นตัวแทนจำหน่ายกับเรา”
“ยังไม่ลืมหรอกครับ แต่ประธานหลินบอกว่า วันชาติค่อยคุยเรื่องตัวแทนกับเขาอีกทีไม่ใช่เหรอ?” โฮ่วซินอี้เอ่ยเตือนสติ
หลินม่ายยิ้มบาง “ห้างสรรพค้าเหมือนสนามรบ สถานการณ์ในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ก่อนนี้ที่ปฏิเสธหัวหน้าเกาไป ก็เพราะว่าเสื้อผ้าที่ผลิตออกมาเราเองก็ไม่พอจะขายอยู่แล้ว ตอนนี้พวกคุณกังวลว่ายอดขายในห้างจะลดลง งั้นก็เปิดขายทางช่องทางนี้ได้เลย”
เหรินเป่าจูคัดค้าน “ต่อให้ยอดขายจะลดลง แต่เสื้อผ้าที่เกินมาก็ไม่ได้รองรับในช่องทางการขายส่งนะคะ”
หลินม่ายหันไปมองเถาจืออวิ๋น “เรื่องนี้คงต้องรบกวนหัวหน้าเถาช่วยติดต่อโรงงานแปรรูปเสื้อผ้าที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่สักแห่งให้เราหน่อยนะคะ”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “ไม่มีปัญหาค่ะ”
หลินม่ายมอบหมายงานให้เหรินเป่าจูอีกครั้ง ให้เธอไปคุยเรื่องตัวแทนจำหน่ายกับเกาจื้อหย่วน
หลังจบการประชุม หลินม่ายก็คุยกับเจิ้งซวี่ตงเป็นการส่วนตัว ว่าต่อไปไม่ต้องซื้อบ้านพักอาศัยให้เธออีกแล้ว
เธอกำลังจะเริ่มต้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงไม่จำเป็นต้องกักตุนบ้าน และรอรับโชคลาภจากการย้ายบ้านเพราะถูกรื้อถอนแล้ว
เมื่อกลับมาถึงห้องทำงานของตัวเอง หลินม่ายก็ให้เสมียนที่เพิ่งรับเข้าทำงานคนหนึ่งชื่อเสิ่นเสี่ยวผิงไปพาทังชุ่นอิงมาที่ห้องทำงานของเธอ
เสมียนเสี่ยวผิงไปที่แผนกบัญชีในทันที เธอถาม “คุณทังชุ่นอิงคือท่านไหนคะ?”
แม้เมื่อวานนี้หล่อนมาสำรวจแผนกบัญชีอยู่เป็นครึ่งวัน แต่ก็ยังเข้ากับพวกทังชุ่นอิงสามคนไม่ได้เสียที
ทังชุ่นอิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันเองค่ะ” จากนั้นจึงมองไปที่เสี่ยวผิงอย่างสงสัย
เสี่ยวผิงพูด “ประธานหลินให้คุณไปที่ห้องทำงานของหล่อนค่ะ”
ทันใดนั้นทังชุ่นอิงก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา “ประธานหลินให้ฉันไปที่ห้องทำงานของหล่อนทำไมเหรอ?”
เสี่ยวผิงส่ายหน้า “ไม่ทราบค่ะ”
ทังชุ่นอิงกุมหัวใจที่เต้นตุ้มๆ ต้อมๆ มาถึงห้องทำงานของหลินม่าย
เสี่ยวผิงเห็นบรรยากาศดูไม่ปกติจึงกำลังจะปิดประตูและออกไป แต่ถูกหลินม่ายเรียกไว้ก่อน ทำให้หล่อนยังอยู่ในห้องทำงานต่อ
เสี่ยวผิงนั่งลงบนโซฟาไม้อย่างเชื่อฟัง
เมื่อนั้นหลินม่ายจึงมองไปทางทังชุ่นอิง “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณถูกไล่ออก อีกเดี๋ยวคุณส่งมอบงานเสร็จก็ไปได้แล้ว ก่อนจะไปคุณก็ไปรับเงินเดือน จากนั้นให้คืนเงินที่ยักยอกไปทั้งหมดภายในสามเดือนด้วย ไม่อย่างนั้นฉันจะส่งคุณไปสถานีตำรวจค่ะ”
ทังชุ่นอิงหน้าซีดเผือด คุกเข่าลงกับพื้นดังตึง แล้วเอ่ยสะอึกสะอื้น “ประธานหลิน ได้โปรดอย่าไล่ฉันออกเลยนะคะ เงินที่ยักยอกไปฉันจะคืนให้ทันทีเลย”
“ไม่ไล่ออกก็ได้ งั้นฉันจะพาคุณไปส่งสถานีตำรวจ ถ้าอย่างนั้นจุดจบมันจะยิ่งเลวร้ายนะคะ”
หลินม่ายไม่อยากจะเปลืองน้ำลายกับหล่อนมากนัก จึงงัดไพ่ไม้ตายออกมาทันที
ทังชุ่นอิงหวาดกลัวขึ้นมา หล่อนเช็ดน้ำตา ลุกยืนขึ้น แล้วเดินไปอย่างอกสั่นขวัญหาย
หลินม่ายให้เสี่ยวผิงตามไปเพื่อไปส่งมอบงานด้วยกันกับหล่อน จากนั้นก็ไปรับเงินเดือน และส่งหล่อนออกจากโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบงานก็ดี หรือว่าการรับเงินเดือนก็ดี ทั้งหมดล้วนดำเนินการในแผนกบัญชีทั้งสิ้น
จินชุนเปี่ยวและไช่เจาตี้นั้นเห็นกระบวนการในการออกจากงานทั้งหมดของทังชุ่นอิงกับตา
รอจนทังชุ่นอิงจากไปแล้ว จินชุนเปี่ยวจึงรีบวิ่งไปถามไช่เจอตี้ “ทำไมทังชุ่นอิงถึงถูกไล่ออกล่ะ เธอมีข่าววางในหรือเปล่า?”
เดิมทีไช่เจาตี้อยากจะบอกหล่อนอยู่แล้ว ว่าทังชุ่นอิงนั้นถูกไล่ออกเพราะยักยอกเงินบริษัท
แต่เมื่อนึกถึงว่าการที่ทังชุ่นอิงถูกไล่ออกนั้นเป็นเพราะการรายงานอย่างลับๆ ของตน หล่อนจึงกลืนความจริงเหล่านั้นกลับลงไปทั้งหมด
หล่อนกลัวว่าหากจินชุนเปี่ยวรู้ว่าหล่อนเป็นผู้แจ้งข่าว ก็จะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อหล่อน แล้วคิดว่าหล่อนเป็นคนไม่ดี
ดังนั้นหล่อนจึงส่ายหัว “ฉันจะไปมีข่าววงในได้ยังไงกัน! ฉันก็ไม่รู้อะไรเหมือนเธอนั่นแหละ”
จินชุนเปี่ยวเชื่อว่าเป็นความจริง จึงบอกคำพูดที่ทังชุ่นอิงพูดกับหล่อนว่าหลินม่ายกำลังจะหาคนมาแทนที่พวกเธอให้ไช่เจาตี้ฟัง
แล้วพูดอย่างเป็นกังวล “เธอว่า ประธานหลินจะไล่ทังชุ่นอิงออกไปก่อน แล้วค่อยไล่พวกเราต่อหรือเปล่า?”
ไช่เจาตี้กลอกตาใส่หล่อน “นี่เธอไม่มีหัวคิดขนาดนี้เลยหรือไง? ทังชุ่นอิงยั่วยุสองสามคำ เธอก็เชื่อคำพูดของหล่อนแล้วเหรอ? เธอไม่คิดเหรอว่าที่หล่อนเอาแต่พูดคำพวกนั้นกับเธอ เพราะหล่อนรู้อยู่แล้วว่าตัวเองจะถูกไล่ออกน่ะ?”
จินชุนเปี่ยวขบคิดดูในใจอย่างละเอียด ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ !
หลินม่ายจะรับสมัครพนักงานบัญชี หล่อนกับไช่เจาตี้ก็คิดเพียงว่าเป็นเพราะบริษัทต้องการพนักงานบัญชี ใครจะไปคิดว่าเป็นการเตรียมตัวเพื่อจะไล่พวกเธอออก
หากจะรับพนักงานเพราะจะไล่พวกหล่อนออก อย่างนั้นรับพนักงานบัญชีแค่สามคนก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรับถึงสิบคน
แต่ทังชุ่นอิงกลับคิดไปว่าหลินม่ายรับพนักงานเพื่อจะเอามาแทนที่พวกหล่อน
นอกเสียจากหล่อนจะรู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกไล่ออก ก็ไม่มีทางอธิบายได้แล้วว่าทำไมหล่อนถึงมีความคิดเช่นนี้
จินชุนเปี่ยวพูดอย่างไม่เข้าใจ “หล่อนจะโดนไล่ออกแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ ทำไมต้องมายั่วยุฉันด้วย?”
“เพื่อให้เธอทำงานอย่างไม่สบายใจ ถึงขั้นไปก่อเรื่องกับประธานหลิน หล่อนก็สามารถใช้เธอเพื่อระบายแค้น นอกจากนี้ยังอาจทำให้เธอถูกไล่ออกไปด้วย แบบนี้หล่อนก็จะเกิดความรู้สึกเท่าเทียมแล้ว ถึงยังไงพวกเราต่างก็ได้หล่อนพาเข้ามาในโรงงาน จนแล้วจนรอดหล่อนถูกไล่ออกไป แต่พวกเรากลับยังสามารถทำงานอยู่ในโรงงานต่อ แล้วหล่อนจะรู้สึกดีได้อยู่เหรอ?”
จินชุนเปี่ยวพลันเข้าใจขึ้นมาแล้วพูดอย่างโมโห “ทังชุ่นอิงช่างจิตใจชั่วร้ายจริงๆ!”
ขณะที่เถาจืออวิ๋นถือกระบอกน้ำร้อนมากดน้ำร้อน ก็เดินผ่านประตูห้องแผนกบัญชี จึงได้ยินการสนทนาของไช่เจาตี้และจินชุนเปี่ยวทั้งสองคน
หล่อนเดินไปถามพวกหล่อนที่หน้าประตู “ทังชุ่นอิงบอกกับพวกคุณว่า หล่อนเป็นคนพาพวกคุณเข้าโรงงานเองเหรอคะ?”
ไช่เจาตี้และจินชุ่นเปี่ยวพยักหน้า
เถาจืออวิ๋นหัวเราะอย่างเย็นชา “ประธานหลินเป็นคนให้หล่อนพาพวกคุณมาทำงานในโรงงานแท้ๆ แต่หล่อนกลับแย่งเอาความดีความชอบต่อหน้าพวกคุณเสียได้!” พูดจบเธอก็เดินจากไป
ไช่เจาตี้และจินชุนเปี่ยวมองหน้ากันไปมา
ในใจของทั้งสองคิดเหมือนกันขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมาย ทังชุ่นอิงช่างไร้ยางอายจริงๆ
พูดโกหกพกลม หลอกให้รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณต่อหล่อนมาตั้งนาน!
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เดี๋ยวจะได้มาสู้กับกวนหย่งหัวในตลาดค้าส่งอีกแล้วล่ะดูท่า ศึกหนักจริงๆ
ไหหม่า(海馬)