แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 469 ค้นบ้าน
ตอนที่ 469 ค้นบ้าน
พ่อหรงและแม่หรงหันมองหน้ากันทันที
แม่หรงอดแปลกใจไม่ได้ “ยายป้าพวกนั้นได้เงินจาก Unique เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
พอหล่อนคิดคำนวณว่าบัตรกำนัลปลอมพวกนั้นจะสร้างความเสียหายให้กับร้านUniqueเท่าไร และเงินจะหลั่งไหลเข้ามาสู่มือของพวกเขาเหมือนน้ำแค่ไหน ก็เกิดความละโมบขึ้นมาทันที
สามีของหล่อนเป็นคนคิดวิธีการนี้ขึ้นมา หมายความว่าพวกเขารับความเสี่ยงด้วยตัวเองทั้งหมด แล้วทำไมต้องมอบเงินที่ได้มาจากการแลกบัตรกำนัลปลอมให้กับกวนหย่งหัวด้วยล่ะ?
แม่หรงตัดสินใจอย่างเฉียบขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หล่อนต้องได้เงินครึ่งหนึ่งที่ได้จากการเอาบัตรกำนัลของปลอมไปแลกเป็นเงินสดเข้ากระเป๋าตัวเอง
หล่อนไม่กลัวว่ากวนหย่งหัวอาจทวงถาม
เพราะกวนหย่งหัวไม่รู้ว่าพ่อแม่ของว่าที่ภรรยาพิมพ์บัตรกำนัลปลอมออกมาทั้งหมดกี่ใบ
ไม่สำคัญว่าเขาจะรู้หรือเปล่าว่าทั้งสองพิมพ์บัตรกำนัลปลอมออกมากี่ใบกันแน่ สิ่งที่ควรระวังคืออย่าให้เขารู้เด็ดขาดว่าได้เงินสดจากการเอาบัตรกำนัลปลอมไปแลกเป็นจำนวนเท่าไร
จำนวนเงินที่ว่าขึ้นอยู่กับการโกหกของพวกเขาสองสามีภรรยาล้วน ๆ
พวกเขาบอกจำนวนไปต่ำกว่าความเป็นจริงถึงครึ่งต่อครึ่ง ถึงแม้กวนหย่งหัวจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ไม่สามารถหาหลักฐานได้ว่าพวกเขายักยอกเงินไปครึ่งหนึ่ง
ท้ายที่สุด ก็ทำได้แค่ปล่อยผ่าน
เขากำลังจะมาเป็นลูกเขยของครอบครัวหล่อนอยู่แล้ว มีสิทธิ์อะไรมาก้าวก่ายรายละเอียดแบบนั้น?
แม่หรงคิดวนเวียนอยู่ในหัวตลอดทางระหว่างที่กำลังวิ่งเหยาะ ๆ ไปเปิดประตูลานบ้าน
เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาเคาะประตูเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายทั้งชายและหญิง ส่วนข้างหลังพวกเขาเป็นป้าสองคนที่มีฝีปากแกร่งกล้าที่สุดในบรรดาคนอื่น ๆ ที่ตัวเองจ่ายเงินจ้าง ความยินดีปรีดาก็ดิ่งฮวบลงทันตาเห็น
ความหวาดกลัวในจิตใจส่งผลให้ร่างหล่อนสั่นสะท้าน ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสงบสติอารมณ์ ถามเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองตะกุกตะกัก “พะ… พวกคุณมาหาใครคะ?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มชี้ไปที่ป้าสองคนซึ่งเดินทางมาด้วยกัน “ผู้ต้องสงสัยสองคนนี้ให้การว่าคุณเป็นคนสั่งพิมพ์บัตรกำนัลร้านUniqueที่เป็นของปลอม เราขอเข้าไปในบ้านเพื่อตรวจค้นหน่อยครับว่ามีบัตรกำนัลซุกซ่อนอยู่อีกกี่ใบ”
ความสุขของแม่หรงพังทลายลงจนไม่เหลือชิ้นดี ท่ามกลางความสิ้นหวัง หล่อนพูดเสียงดังทั้ง ๆ ที่ใบหน้าซีดเผือด “สหายตำรวจ ฉันไม่รู้จักพวกหล่อนด้วยซ้ำ พวกหล่อนใส่ร้ายฉันค่ะ!”
พอเห็นว่าแม่หรงปฏิเสธเพื่อเอาตัวรอดหน้าด้าน ๆ แบบนั้น ป้าทั้งสองก็โกรธมาก “พวกเราไม่ได้ใส่ร้ายนะ คุณกับสามีต่างหากที่หว่านล้อมแทบตาย พยายามหาทางจ้างพวกเราให้ได้ ตอนนี้กลับอ้างว่าตัวเองไม่รู้จักเราซะงั้น! หรือต้องให้พวกเราพาทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องมายืนยันก่อน จะได้พิสูจน์ว่าพวกคุณสองผัวเมียรู้จักกับเราจริงไหม?”
แม่หรงกลอกตาพร้อมกับพูดว่า “พยานที่พวกคุณว่าก็เป็นคนที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไง? คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าพวกคุณเป็นใครมาจากไหน? ต้องเป็นพวกหน้าม้าที่ร้าน Unique เอาเงินฟาดหัวให้มาใส่ร้ายฉันกับสามีแน่!”
ยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ แม้แต่ตัวหล่อนเองยังเชื่อว่าคำโกหกทั้งหมดที่ตัวเองพูดออกไปเป็นความจริง
เมื่อเห็นว่านอกจากแม่หรงจะปฏิเสธไม่ยอมรับว่าทั้งสองฝ่ายรู้จักกันแล้ว ยังโยนความผิดให้กันอย่างไร้ยางอาย ป้าทั้งสองคนก็จ้องเขม็งด้วยความโมโห
ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อยู่ พวกหล่อนคงรีบปรี่เข้าไปทุบตีแม่หรงแล้ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มพูดกับแม่หรงอย่างจริงจัง “พวกคุณจะรู้จักกันจริงหรือไม่ และพวกเขาถูกจ้างมาใส่ร้ายคุณจริงหรือเปล่า เป็นหน้าที่ของทางตำรวจที่จะตัดสิน ตอนนี้พวกเรามีหมายค้น ดังนั้นโปรดให้ความร่วมมือด้วย”
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็แสดงหมายค้นให้ดู
แม่หรงไม่กล้าเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ยอมทำเพราะต้องการประวิงเวลา
หล่อนหวังว่าสามีของตัวเองจะมีความเฉลียวมากพอ แล้วใช้โอกาสนี้ทำลายหลักฐานทั้งหมด
ถ้าตำรวจค้นเจอบัตรกำนัลร้าน Unique ของปลอมจำนวนมากในบ้านขึ้นมาจริง ๆ ล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นกับหล่อนและสามีบ้าง?!
หล่อนเริ่มทำการบีบน้ำตาทันที เอาแต่ยืนกรานว่าตัวเองไม่รู้จักป้าทั้งสองคน แถมยังกล่าวหาว่าอีกฝ่ายปลอมตัวมาสร้างปัญหาให้กับตัวเอง
แต่หล่อนยังไม่ทันพูดอะไรออกไปสักคำ ก็ถูกตำรวจหญิงอีกคนหนึ่งขัดจังหวะอย่างเย็นชา “คุณรู้หรือเปล่าคะว่าพฤติกรรมของคุณในตอนนี้มีความผิดยังไงบ้าง?”
แม่หรงตื่นตระหนกทันที แต่แกล้งทำทีเป็นสับสน “พะ… พฤติกรรมของฉันมันทำไมเหรอคะ?”
ตำรวจหนุ่มอีกคนอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มีความผิดฐานขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โทษเบาคือสั่งปรับ โทษร้ายแรงคือตัดสินจำคุก”
แม่หรงตกใจมากจนเหงื่อออก ชาวาบไปทั่วทั้งศีรษะ ไม่กล้าขัดขวางอีกต่อไป ได้แต่ปล่อยให้พวกเขากับป้า ๆ เดินเข้ามาในลานบ้าน
ตอนนี้พ่อหรงและแม่เฒ่าหวังต่างยืนอยู่ในลานบ้านด้วยอาการตัวสั่นเทา
เมื่อสังเกตเห็นว่าหญิงชราและลูกชายของนางดูมีทัศนคติที่ดีกว่าลูกสะใภ้ ตำรวจหญิงจึงเน้นย้ำจุดประสงค์ในการตรวจค้นอีกครั้ง
“ถ้าพวกคุณสารภาพความผิดทุกอย่าง และยอมส่งมอบบัตรกำนัลของปลอมทั้งหมดให้เราแต่โดยดี คำสารภาพของพวกคุณอาจทำให้ได้รับการผ่อนปรนโทษ”
พ่อหรงคิดหลายตลบด้วยความร้อนรน จากนั้นก็พูดว่า “ผมยอมรับผิดแล้ว จะไปเอาบัตรกำนัลปลอมทั้งหมดมามอบให้คุณเดี๋ยวนี้”
พูดจบแล้ว เขาก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องของตัวเองและภรรยา
เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสอง เขาหยิบกล่องเหล็กที่มีแม่กุญแจล็อกอยู่ออกมา จากนั้นก็ไขกุญแจเปิดออก ข้างในกล่องนั้นบรรจุบัตรกำนัลUniqueของปลอมเอาไว้จนเต็ม
แม่หรงที่ก่อนหน้านี้ยังมีอาการประหม่า พอเห็นจำนวนบัตรกำนัลที่อยู่ในกล่องเหล็กแล้ว สีหน้าของหล่อนก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
ว่าแล้วเชียวว่าสามีของหล่อนต้องเป็นคนฉลาด เขาไม่มีทางนั่งอยู่เฉย ๆ แน่นอน
ตำรวจหนุ่มยกกล่องเหล็กขึ้นมา จากนั้นก็ส่งต่อให้เพื่อนร่วมงานของเขา แต่ในขณะที่เขากำลังจะควบคุมตัวแม่หรงกับสามีกลับไปที่สถานีตำรวจเพื่อสอบปากคำ
จู่ ๆ ป้าคนหนึ่งก็โพล่งขึ้นมาว่า “สหายตำรวจคะ พวกเขามีบัตรกำนัลของปลอมอยู่ในครอบครองมากกว่านี้”
ป้าอีกคนตอบสนองทันที พยักหน้าแรง ๆ พร้อมกับชี้นิ้วไปทางแม่หรง
“ตอนนี้หล่อนพาพวกเราทุกคนเข้ามาในบ้านเพื่อแจกจ่ายบัตรกำนัลปลอม บัตรกำนัลพวกนั้นบรรจุอยู่ในกล่องกระดาษลังใบใหญ่ ฉันจำได้ว่ามันมีขนาดใหญ่กว่ากล่องเหล็กอันนี้หลายสิบเท่า”
สองสามีภรรยาตระกูลหรงที่โล่งใจแล้วในตอนแรก ตอนนี้กลับหวาดหวั่นขึ้นมาอีกครั้ง
ถ้าทางตำรวจรู้ว่าจำนวนบัตรกำนัลในกล่องกระดาษนั้นมากกว่าบัตรที่อยู่ในกล่องเหล็กมาแค่ไหน กระบวนการพิจารณาคดีคงแตกต่างกันอย่างลิบลับ
ในเมื่อมีพยานเห็นว่าก่อนหน้านี้บัตรกำนัลอยู่ในกล่องลัง แต่พวกเขากลับเอากล่องเหล็กออกมามอบให้
คราวนี้พวกเขาจะไม่ได้รับการผ่อนปรนโทษอีกต่อไป แถมยังมีความผิดโทษฐานปกปิดอำพรางหลักฐาน แน่นอนว่าโทษต้องร้ายแรงมาก
พ่อหรงตวาดใส่ป้าทั้งสองด้วยความโกรธทันควัน “ไร้สาระ! พวกเราทันเปิดเผยจำนวนบัตรกำนัลทั้งหมดที่มีในบ้านให้พวกคุณดูตอนไหนกัน?”
ถึงสองสามีภรรยาจะทำความผิดจริง พวกเขาก็ควรระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก เรื่องอะไรจะเปิดเผยจำนวนบัตรกำนัลทั้งหมดที่มีให้คนนอกรู้?
ถึงคนนอกที่ว่าจะเป็นคนที่พวกเขาจ้างมาก็ตาม
ถึงพ่อหรงจะไม่ได้พูดโกหก แต่ป้าทั้งสองคนก็ยังยืนกรานต่อไปว่าพวกหล่อนเห็นพ่อหรงกับภรรยาของเขามีกล่องกระดาษลังที่ใส่บัตรกำนัลปลอมจำนวนมากอยู่จริง ๆ
ขณะที่พูดแบบนั้น พวกหล่อนก็แอบชำเลืองมองแม่หรงด้วยท่าทางยั่วยุไปด้วย
มีแค่พวกแกสองคนรึไงที่โยนความผิดให้กับคนอื่น?
พวกเราใส่ร้ายแกถึงขนาดนี้แล้ว ต่อให้พวกแกกระโดดลงไปชุบตัวในแม่น้ำฮวงโหก็ไม่สามารถลบล้างความผิดได้
แม่หรงรู้ดีว่าเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ตัวเองเป็นฝ่ายใส่ร้ายป้าทั้งสองที่หน้าประตูลานบ้านก่อน พวกหล่อนจึงเก็บความแค้นนี้เอาไว้ แล้วสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาเพื่อแก้แค้นหล่อนกับสามี
คิดแล้วหล่อนก็อดพร่ำบ่นอยู่ในใจไม่ได้ ถ้าหล่อนรู้ตั้งแต่แรกคงไม่ใส่ร้ายป้ายสีอีกฝ่ายขนาดนั้น
แต่หล่อนสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้เสียเมื่อไร?
ตำรวจหนุ่มเป็นผู้ระงับการทะเลาะวิวาทตรงหน้า จากนั้นก็เริ่มทำการค้นหาจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง
แต่พอค้นจนทั่วทุกห้องที่มีอยู่ในบ้านแล้ว พวกเขาก็ไม่พบอะไรใหม่
พ่อหรงและแม่หรงเห็นแบบนั้นก็หาจังหวะโต้กลับทันที
แม่หรงชี้ไปที่ป้าทั้งสองคนพร้อมกับพูดว่า “สหายตำรวจ พวกเขาพ่นเลือดใส่พวกฉัน คราวนี้พวกคุณจะจัดการลงโทษพวกหล่อนยังไงคะ?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองขมวดคิ้วย่นเข้าหากัน
ตำรวจหญิงพูดกับหล่อนว่า “เราไม่จำเป็นต้องให้คุณสอนเรื่องการทำงานหรอกนะคะ ทุกอย่างต้องดำเนินไปตามขั้นตอนอยู่แล้ว”
เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมได้อีก ทางเดียวในตอนนี้คือพาทุกคนไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจ
แต่ทันทีที่พวกเขาเปิดประตูลานบ้านออกไป ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งจูงสุนัขล่าเนื้อตัวโตไว้ในมือ ตั้งท่าเตรียมจะเคาะประตูอยู่พอดี
ตำรวจหนุ่มชำเลืองมองสุนัขล่าเนื้อตัวใหญ่ ก่อนจะถามชายหน้าตาร่าเริงคนนั้นว่า “คุณเป็นใคร แล้วมาหาใคร?”
ผู้ชายร่าเริงคนนี้ถูกหลินม่ายและติงไห่เฟิงส่งมาอีกทีหนึ่ง
ชายหนุ่มผู้มีชีวิตชีวาใช้สายตาเฉียบแหลมจ้องมองไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสอง
พอเห็นว่าตำรวจหญิงถือกล่องเหล็กที่มีขนาดเล็กเท่าหนังสือเรียนอยู่ในมือ จึงคาดเดาว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองคงได้หลักฐานมาจากบ้านของแม่เฒ่าหวังแค่นั้น
เขาทำทีเป็นพูดอย่างระมัดระวังว่า “ผมเป็นพนักงานของโรงงาน Unique ครับ ผู้จัดการหลินของผมบอกว่าผู้ต้องสงสัยรายนี้มีทักษะการซ่อนของเป็นเลิศ ก็เลยขอให้ผมพาสุนัขล่าเนื้อตัวนี้มาจากโรงงาน เผื่อว่าจะช่วยคุณตำรวจทั้งสองตรวจค้นเพิ่มเติมได้”
เมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองดูเหมือนจะไม่สนใจ ชายผู้ร่าเริงก็พูดต่อไปอีก “สุนัขล่าเนื้อตัวนี้เป็นสุนัขทหารที่ถูกปลดประจำการแล้ว ดังนั้นทักษะการดมกลิ่นของมันถือว่าสุดยอดเลยล่ะครับ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองสงสัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วว่าพ่อหรงและแม่หรงต้องมีบัตรกำนัลปลอมอยู่ในมือมากกว่านี้
ถ้าอาศัยแค่สายตาของมนุษย์ ชาตินี้พวกเขาคงไม่มีวันค้นเจอ
พอได้ยินว่าสุนัขล่าเนื้อของอีกฝ่ายเป็นสุนัขทหารปลดประจำการ พวกเขาก็คล้อยตามข้อเสนอของอีกฝ่ายทันที
ความสามารถในการค้นหาของกลางของสุนัขทหารไม่ได้ด้อยไปกว่าสุนัขตำรวจเลย ดังนั้นพวกเขาจึงลองให้สุนัขล่าเนื้อตัวใหญ่ดมบัตรกำนัลปลอม แล้วปล่อยให้มันเข้าไปค้นหา
พ่อหรงและแม่หรงหวาดกลัวขึ้นสมองอีกครั้ง แม้แต่แม่เฒ่าหวังที่เอาแต่หลบหน้าอยู่ในบ้านก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทำทำว่าจะรอดหลายรอบแล้วแต่ก็ยังไม่รอด เฮ้อ ทำชั่วไว้เยอะมากเกินลิมิตแต้มบุญที่มีอยู่แล้วสินะ
ไหหม่า(海馬)