แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 472 ลองชิมซอสพริก
ตอนที่ 472 ลองชิมซอสพริก
หลังจากที่หลินม่ายบันทึกคำให้การเสร็จแล้ว ก็ขี่จักรยานกลับบ้านไป
ทันทีที่เข้ามา เธอก็ได้กลิ่นหอมโชยออกมาจากห้องครัว
เธอเปลี่ยนรองเท้าแล้ววิ่งไปยังห้องครัว สูดลมหายใจลึกๆ แล้วพูดกับโจวฉายอวิ๋นด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม “หอมจังเลย! กำลังทำซอสพริกคั่วเซียงล่าอยู่เหรอ?”
โจวฉายอวิ๋นนั้นกำลังง่วนอยู่พร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “เธอนี่จมูกไวจริงๆ !”
จากนั้นจึงหยิบกระปุกแก้วที่ปิดผนึกแน่นหนาใบหนึ่งออกมาจากตู้ “นี่คือซอสพริกคั่วเซียงล่าที่ฉันทำเมื่อวาน ผ่านไป 12 ชั่วโมงแล้ว สามารถกินได้แล้วล่ะ เธอลองชิมดูสิว่าอร่อยไหม”
หลินม่ายยิ้มพลางพูด “ฉันยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงพอดี ก็เอาซอสพริกนี่กินกับข้าวเที่ยงเลยแล้วกัน”
เมื่อโจวฉายอวิ๋นได้ยินว่าเธอยังไม่ได้กินมื้อเที่ยง ก็จะทำบะหมี่ให้เธอ แต่ถูกหลินม่ายยั้งไว้เสียก่อน
ของที่เธอไม่ชอบกินที่สุดก็คือเส้นหมี่อบแห้ง และที่ชอบกินที่สุดคือเร่อกันเมี่ยนและเส้นหมี่เนื้อวัว
เธอยกกระติกเก็บความร้อนในมือขึ้น “ฉันมีข้าวเที่ยงแล้ว แต่ยังไม่มีเวลากินน่ะ”
โจวฉายอวิ๋นพูด “ไหนๆ ก็เป็นแบบนี้แล้ว งั้นเธอก็ลองชิมซอสพริกแบบอื่นๆ ด้วยเลยสิ”
พูดจบ หล่อนก็หยิบกระปุกแก้วปิดผนึกออกมาจากในตู้อีกสองสามใบ ที่บรรจุอยู่ภายในนั้นเองก็เป็นซอสพริกเช่นกัน เพียงแต่เป็นซอสพริกที่มีรสชาติแตกต่างกัน
โจวฉายอวิ๋นใส่ซอสพริกทุกรสชาติลงในถ้วยใบเล็กอย่างละหน่อย แล้วเอาไปเสิร์ฟที่โต๊ะพร้อมกับหลินม่าย
หลินม่ายเห็นขนมไหว้พระจันทร์ที่ไม่มียี่ห้อหลายกล่องวางอยู่บนโต๊ะ จึงถามขึ้น “ขนมไหว้พระจันทร์นี่มาจากไหนเหรอ?”
โจวฉายอวิ๋นวางถ้วยที่ใส่ซอสพริกในมือลงบนโต๊ะอาหาร “ผู้จัดการร้านเจิ้งที่ชั้นล่างให้คนเอามาให้น่ะ บอกว่าให้เธอลองชิมดู ว่าเข้ากับที่เธอขอมาหรือเปล่า”
หลินม่ายขานรับอืม แล้วนั่งลงเริ่มกินข้าวเที่ยง
เธอเปิดกระติกเก็บความร้อนออกดู ภายในล้วนเป็นอาหารดีๆ ทั้งนั้น
หลินม่ายเทข้าวและกับในกระติกเก็บความร้อนใส่ถ้วยแล้วกินคำหนึ่ง
แม้ว่าอาหารจะเป็นของดี ข้าวก็เป็นข้าวหุงอย่างดี แต่เมื่อกินเข้าปากแล้วกลับมีรสชาติแปลกๆ เล็กน้อย อาจเป็นเพราะเก็บไว้ในกระติกเก็บความร้อนนานเกินไป
หลินม่ายเองก็ไม่ได้คิดมาก
เธอในวัย20ปีเมื่อชาติที่แล้ว กระเสือกกระสนจากบ้านนอกมาในเมือง ความลำบากยากเข็ญอะไรบ้างล่ะที่เธอไม่เคยเจอ?
อย่าว่าแต่อาหารที่อบความร้อนอยู่นานเลย ต่อให้เป็นอาหารที่ขึ้นราแล้วเธอก็เคยกิน
เธอยังจำได้อยู่เลยว่าชาติก่อนครั้งที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเข้าเมืองมาขอเงินเธอ บอกว่าแม่ของเขาป่วยหนัก ต้องการการรักษา ดังนั้นจึงเอาเงินที่เธอหามาไปจนหมด
เธอที่ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเงินสักแดง ได้แต่ขายเกี๊ยวน้ำที่เธอปรุงเสร็จแล้วให้หมด พอมีเงินแล้วถึงสามารถซื้อข้าวกินได้
เผอิญวันนั้นกิจการไม่ดี ขายเกี๊ยวน้ำอยู่จนถึงตอนบ่ายจึงจะขายหมด
ตอนเที่ยงเธอต้องดื่มน้ำจากก๊อกน้ำสาธารณะประทังความหิว
กลัวว่าพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยคนอื่นดูออกว่าเธอดื่มน้ำก๊อกประทังความหิวแล้วจะเวทนาเธอ
จึงแสร้งทำทีเป็นล้างหน้า แล้วแอบดื่มน้ำจากก๊อก
ต่อมาเธอถึงเพิ่งรู้ว่า อู๋เสี่ยวเจี๋ยนมาขอเงินที่เธอนั้น ไม่ใช่เพราะแม่ของเขาป่วยหนัก แต่เพราะหลินเพ่ยอยากได้สร้อยคอทองคำ
คิดๆ ดูแล้วก็น่าขันจริงๆ
ชาติก่อนเป็นเพราะชอบอู๋เสี่ยวเจี๋ยน เธอจึงยอมเป็นเครื่องมือให้เขาและหลินเพ่ยด้วยความสมัครใจ หาเงินให้พวกเขาแทบเป็นแทบตาย
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็รักหลินเพ่ยหัวปักหัวปำ ต่อให้หลินเพ่ยจะสวมเขาหลอกใช้เขานับครั้งไม่ถ้วนเขาก็ยังยินยอมด้วยความเต็มใจ
เพื่อที่จะซื้อสร้อยทองให้หล่อน แม้แต่คำโกหกว่าแม่แท้ๆ ของเขาป่วยหนักเขาก็พูดออกมาได้โดยไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย
ทว่าทั้งหมดล้วนผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องนึกถึง และยิ่งไม่จำเป็นต้องผูกใจเจ็บ
หลินม่ายชิมซอสพริกสามสี่แบบที่โจวฉายอวิ๋นทำดูรอบหนึ่งพร้อมกับอาหารในกระติกเก็บความร้อน
แม้รสชาติจะไม่ดีเท่าซอสพริกของเหล่ามาม่า แต่ก็ไม่เลวเลยทีเดียว
เธอใช้ตะเกียบชี้ไปที่ซอสพริกสามสี่แบบนั้น “ยังต้องปรับปรุงอีกนิดหน่อย ยังสามารถทำให้อร่อยขึ้นได้อีก เรื่องนี้เราค่อยเป็นค่อยไปกัน แต่ว่ากันตามความรู้สึกที่เข้าปากในตอนนี้ ก็สามารถเอามาให้ตลาดสดได้แล้วล่ะ พรุ่งนี้พอฝ่ายบุคคลประมาณการเสร็จแล้วก็หาคนงานมาให้พี่ได้แล้ว พี่ก็สามารถพาคนงานไปเริ่มทำซอสพริกได้เลย”
เธอไม่กลัวว่าวิธีการทำน้ำพริกจะถูกพนักงานขโมยสูตรไป
จะขโมยก็ขโมยไปสิ
ซอสพริกของร้านเธอใส่กะปิเป็นเครื่องปรุงรส ซึ่งเพิ่มความสดใหม่เข้าไปด้วย
ตราบใดที่เทคนิคกับผลิตกะปิไม่รั่วไหลออกไป ไม่ว่าคนนอกจะเลียนแบบยังไง ซอสพริกที่ทำออกมาก็ได้แค่คล้ายๆ ไม่มีทางเหมือน
เทียบกับซอสพริกที่ใส่กะปิสูตรลับของร้านเธอแล้ว อย่างไรก็ยังห่างชั้นกันอยู่ดี
แม้ก่อนหน้านี้จะว่าจ้างคนงานมาเพื่อทำผักดองแล้วห้าคน แต่หลังจากผักดองบรรจุไหเสร็จแล้ว ก็ต้องวางไว้อย่างน้อยสองสัปดาห์ถึงจะสามารถเอาไปขายที่ตลาดสดได้
ดังนั้นแต่ละวันคนงานห้าคนนี้ใช้เวลาแค่สามสี่ชั่วโมงในการทำผักดองเสร็จก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว จึงสามารถให้พวกเขามาทำซอสพริกได้สบายๆ
โจวฉายอวิ๋นตอบตกลง
หลินม่ายบอกจุดที่ต้องปรับปรุงของซอสพริกแต่ละแบบแก่โจวฉายอวิ๋นออกมาเป็นข้อๆ บอกว่าเธอควรจะปรับปรุงยังไง โจวฉายอวิ๋นนั้นฟังอย่างจริงจัง
กินข้าวไปได้ครึ่งหนึ่ง พนักงานขายของห้างเจียงเฉิงก็โทรศัพท์มา
บอกเธอว่า นักข่าวหญิงไร้ยางอายคนนั้นยื้อยุดกับเขาระหว่างทางไปที่สำนักหนังสือพิมพ์ที่หล่อนทำงาน
เขาไม่สนใจการขัดขวางของนักข่าวหญิงคนนั้น แล้วไปหาหัวหน้าของหล่อน
มอบสมุดโน้ตให้กับหัวหน้า และยังเล่าเรื่อวราวออกไปตามความจริง
หัวหน้าโมโหโทโสขึ้นมา แล้วไล่หล่อนออกทันที
หลินม่ายพูดอย่างตื่นตะลึง “หัวหน้าคนนั้นทำอะไรรวดเร็วขนาดนี้เชียวเหรอ?”
พนักงานขายอธิบาย “นักข่าวคนนั้นไม่เคยได้รับคำสั่งจากหัวหน้า แล้วเพิ่มการสัมภาษณ์ชั่วคราวให้ตัวเองตามอำเภอใจ ที่จริงแล้วการสัมภาษณ์ชั่วคราวนั้น ขอแค่เนื้อหาที่ส่งมานั้นดี หัวหน้าก็สามารถรับไว้ได้เช่นกัน แต่ปัญหาก็คือ นักข่าวหญิงคนนั้นไม่ได้สัมภาษณ์เพื่อการทำข่าว เห็นได้ชัดว่าหล่อนทำการสัมภาษณ์เพื่อก่อเรื่อง หัวหน้าไม่โกรธได้เหรอครับ? บวกกับสถานการณ์ฝึกงานของหล่อนยังไม่ทันผ่านเป็นพนักงานประจำ หัวหน้าจะไล่หล่อนออกไป ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ทันทีเลยไม่ใช่เหรอครับ?”
หลินม่ายส่งเสียงจิ๊ออกมา
นักข่าวหญิงคนนั้นดูก็รู้แล้วว่าหล่อนถูกใครซื้อไปแล้ว
เดาว่าคนที่ซื้อตัวหล่อนไปนั้นคงจะเป็นสองคนเดียวกับที่จ้างพวกป้าๆ ที่มาก่อเรื่องกลุ่มนั้น นั่นก็คือพ่อหรงแม่หรงนั่นเอง
นักข่าวหญิงคนนั้น ตนเองยังไม่ทันเป็นพนักงานประจำ เพื่อผลประโยชน์น้อยนิด ก็ยอมรับจ้างก่อเรื่องจนทิ้งการงานเสียแล้ว ช่างโง่เขลาจริงๆ
หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ โจวฉายอวิ๋นกับหลินม่ายก็เก็บถ้วยล้างชามด้วยกัน
หลินม่ายพูดกับเธอ “อย่ามองว่าตอนนี้โรงงานผักดองของพี่มีพนักงานแค่ไม่กี่คนนะ ต่อไปจะต้องเติบโตก้าวหน้าขึ้นแน่นอน ถึงตอนนั้น ไม่แน่ว่าพี่คงต้องจัดการดูแลโรงงานอาหารที่มีพนักงานเป็นร้อยเลยก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้ระดับความรู้ความสามารถของพี่ ฉันคิดว่ามันยากที่จะจัดการดูแลได้ดี ดังนั้นฉันเลยอยากให้พี่เรียนภาคค่ำ เพิ่มเติมตัวเองสักหน่อย พี่เต็มใจหรือเปล่า?”
หลินม่ายมีความคิดที่จะส่งบุคลากรในบริษัทที่มีระดับความรู้การศึกษาต่ำไปเรียนภาคต่ำนี้อยู่นานแล้ว
คนคนหนึ่งไม่มีการศึกษา ทำงานกิจการก็ยากจะประสบความสำเร็จ สร้างผลงานดีเด่นก็ยิ่งยากเข้าไปอีก
แต่เธอจำเป็นต้องให้โจวฉายอวิ๋นและคนอื่นๆ สามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง ส่วนเธอเพียงแค่มองภาพรวมแล้ววางแผนกลยุทธ์อยู่ห่างๆ ก็พอแล้ว ซึ่งช่วยคลายกังวลไปได้มาก
โจวฉายอวิ๋นก้มหน้าล้างกระติกเก็บความร้อน แล้วพูดอย่างลังเล “เต็มใจมันก็เต็มใจแน่อยู่แล้ว เพียงแต่ฉันกลัวว่าจะตามไม่ทัน”
“งั้นพี่ก็ใช้ประโยชน์จากเวลาที่ว่างๆ เพิ่มเติมตัวเอง ตามการเรียนของโรงเรียนภาคค่ำให้ทัน ถ้าพี่ไม่กระตือรือร้นไม่พยายาม ต่อไปโรงงานผักดองใหญ่ขึ้นแล้ว พี่จัดการดูแลไม่ไหว ฉันก็คงต้องให้คนอื่นมาแทนพี่ ถึงตอนนั้นพี่ก็ทำได้เพียงเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคเท่านั้นนะ พี่ลองใคร่ครวญดูให้ดีสักหน่อย ว่าจะยอมเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคคนหนึ่งหรือว่าอยากจะเป็นหัวหน้าโรงงานของโรงงานผักดอง?”
โจวฉายอวิ๋นใคร่ครวญอยู่เนิ่นนาน แล้วส่งยิ้มให้หลินม่าย “ถ้าฉันบอกว่าฉันอยากเป็นแค่เจ้าหน้าที่เทคนิคคนหนึ่ง เธอจะโกรธไหม? แต่ฉันก็ยังอยากไปเข้าเรียนภาคค่ำ เรียนเอาความรู้เพิ่มสักหน่อยก็ไม่ได้เสียหาย”
หลินม่ายพูดอย่างจริงจัง “ฉันจะโกรธได้ยังไง ลางเนื้อชอบลางยานี่นา หากพี่เป็นเจ้าหน้าที่เทคนิค แล้วทำผลงานได้ดีสายงานของพี่ อย่างนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน”
เมื่อเก็บถ้วยล้างชามเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ชิมขนมไหว้พระจันทร์ด้วยกัน
โจวฉายอวิ๋นยังกินขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นหนึ่งไม่ทันหมด ก็ตื่นตะลึงขึ้นมา
ถามหลินม่ายว่าขนมไหว้พระจันทร์นี้ไส้อะไรกัน? หวานๆ นุ่มๆ ทั้งยังมีกลิ่นหอมของผลไม้ด้วย ช่างอร่อยเกินไปแล้วจริงๆ
ขนมไหว้พระจันทร์แบบดั้งเดิมพวกนั้นเทียบกับขนมไหว้พระจันทร์แบบนี้ ทำให้ไม่อยากกินไปเลย
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ว่าขนมไหว้พระจันทร์แบบดั้งเดิมจะไม่อร่อยไปหมดเสียหน่อย ขนมไหว้พระจันทร์ไส้พุทรากวน ไส้ลูกบัว ไส้ไข่แดงเค็ม…ต่างก็มีรสชาติที่ไม่เลวทั้งนั้น รสชาติไม่ได้ด้อยไปกว่าขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผลไม้ที่พี่กินตอนนี้เลยนะ”
ขอแค่ไม่เอาขนมไหว้พระจันทร์ไส้โหงวยิ้งให้เธอกิน ขนมไหว้พระจันทร์ไส้อื่นๆ หลินม่ายก็รับได้หมด
โจวฉายอวิ๋นกินขนมไหว้พระจันทร์ในมือ แล้วถามเสียงอู้อี้ “ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ดั้งเดิมพวกนั้นที่เธอพูด อย่าว่าแต่เคยกินเลย ฉันยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำไป”
โจวฉายอวิ๋นไม่เคยกินไม่เคยเห็นมาก่อนก็เป็นเรื่องธรรมดา
ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ดั้งเดิมพวกนั้นที่หลินม่ายพูดนั้นไม่มีใครขาย ในตลาดก็ไม่มีวางจำหน่าย แล้วหล่อนจะไปหาชิมได้ที่ไหนกัน?
ในยุคนี้ มีขายแค่ขนมไหว้พระจันทร์ไส้โหงวยิ้งกับขนมไหว้พระจันทร์แบบซูโจว(1)เท่านั้น
ขนมไหว้พระจันทร์สองแบบนี้ต่างก็ไม่อร่อยเท่าไรนัก แต่ผู้คนในยุคนี้ล้วนชอบกินกัน
ที่สำคัญคือไม่มีขนมไหว้พระจันทร์แบบอื่นให้พวกเขาได้เลือก นอกจากนี้ขนมไหว้พระจันทร์ยังมีขายน้อยเสียจนน่าสงสาร
ได้กินสักครึ่งลูกก็ไม่เลวแล้ว ยังจะเลือกไส้อีกเหรอ!
เมื่อกินขนมไหว้พระจันทร์เสร็จ หลินม่ายโทรศัพท์ไปยังร้านเปาห่าวชือที่ชั้นล่าง
บอกกับเจิ้งซวี่ตงว่า ขนมไหว้พระจันทร์ของเหล่าพ่อครัวที่รับหน้าที่ทำขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผลไม้นั้นทำออกมาอร่อยมาก
ให้เจิ้งซวี่ตงรีบติดต่อโรงงานอาหารติดถนนที่ยังว่างสักแห่ง แล้วผลิตขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผลไม้ทันที
ให้ขนมไหว้พระจันทร์แก่พนักงานคนละกล่องสำหรับเทศกาล จากนั้นก็เตรียมทำขนมไหว้พระจันทร์สำหรับกิจกรรมส่งเสริมการขาย
หลังจากคุยกับเจิ้งซวี่ตงจบ หลินม่ายก็โทรศัพท์ไปหาหนิวลี่ลี่อีกครั้ง
(1) 苏式月饼 ขนมไหว้พระจันทร์แบบซูโจว เป็นขนมไหว้พระจันทร์ไส้เนื้อชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายขนมเปี๊ยะโรยงา มีชื่อเสียงในเรื่องความปราณีตในการผลิต และได้รับความชื่นชอบจากชาวเจียงหนาน เมืองซูโจวเป็นแหล่งกำเนิดของขนมไหว้พระจันทร์สูตรซูโจว
สารจากผู้แปล
ฝึกงานอยู่ด้วยแล้วไปก่อเรื่องแบบนี้ ก็สมควรโดนไล่ออกแหละค่ะ
ส่วนตัวชอบขนมไหว้พระจันทร์ไส้ลูกบัวนะคะ
ไหหม่า(海馬)