แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 506 เชิญดารามาเป็นพรีเซนเตอร์
ตอนที่ 506 เชิญดารามาเป็นพรีเซนเตอร์
“ไม่ขาดทุนหรอก” หลินม่ายส่ายหน้า “เราจะขึ้นราคาเสื้อผ้าคอลเลคชันใหม่ ราคาอาจจะสูงขึ้นกว่าเดิมยี่สิบเปอร์เซ็นต์”
ทุกคนต่างตกตะลึง
เถาจืออวิ๋นถามอย่างไม่เข้าใจ “เธอแน่ใจเหรอว่าการขึ้นราคาสินค้าของเรา จะไม่ส่งผลกระทบให้ยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง?”
หลินม่ายตอบกลับด้วยความมั่นใจว่า “ผู้จัดการโรงงานเพิ่งพูดว่าราคาขายเครื่องสำอางของร้านในเครือUniqueอยู่ที่กล่องละสิบห้าหยวนนี่ ต่อให้เราจะขึ้นราคายี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่การใช้กล่องเครื่องสำอางนำเข้ามูลค่าสิบห้าหยวนเป็นของขวัญส่งเสริมการขายก็ยังคุ้มค่าเงินอยู่ดี”
โฮ่วซินอี้พูดบ้าง “ถ้าลูกค้าไม่อยากได้กล่องเครื่องสำอาง แต่อยากได้แค่เสื้อผ้าเท่านั้น ลูกค้าประเภทนี้อาจคิดว่าเสื้อผ้าของเราแพงเกินไป ในที่สุดถ้าพวกเขาไม่ซื้อก็ยังส่งผลต่อยอดขายอยู่ดี”
หลินม่ายพยักหน้า “สถานการณ์ที่คุณกล่าวถึงสามารถเกิดขึ้นได้จริง ๆ ดังนั้นภายในวันชาตินี้ นอกจากโปรโมชั่นซื้อเสื้อผ้าUniqueใบเสร็จละหนึ่งร้อยหยวนแล้ว ฉันยังวางแผนส่งเสริมการขายเครื่องสำอางนำเข้าระดับไฮเอนด์ โดยเชิญดารามาเป็นพรีเซนเตอร์”
แผนการติดต่อขอให้ดารามาเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าไม่ใช่อะไรที่เธอเพิ่งคิดขึ้นมา แต่เป็นแผนการที่รอคอยมาเนิ่นนานแล้ว
ในเมื่ออยากโปรโมทแบรนด์Uniqueให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใช้ดาราเป็นตัวช่วยส่งเสริม
ยุคสมัยนี้ การใช้ดาราเป็นพรีเซนเตอร์ปรากฏแค่ในฮ่องกงและไต้หวัน แต่ในจีนแผ่นดินใหญ่ยังไม่มีใครริเริ่ม
ถึงอย่างนั้นคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ที่ชอบตามกระแสนิยม ก็มักจะเลียนแบบสไตล์การแต่งตัวจากเสื้อผ้าที่ดาราดังสวมใส่ โดยเฉพาะจากฮ่องกงและไต้หวัน
ตราบใดที่มีดารามาเป็นพรีเซนเตอร์ หลินม่ายเชื่อเหลือเกินว่าเสื้อผ้าแบรนด์Uniqueของเธอจะกลายเป็นที่นิยมไปทั่วทั้งประเทศ
ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินแบบนั้น พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการใช้ดาราเป็นพรีเซนเตอร์คืออะไร
แต่พอหลินม่ายอธิบายศาสตร์ความรู้ใหม่นี้ให้กับพวกเขา ทุกคนก็เข้าใจโดยทันที
เหรินเป่าจูคัดค้าน “ถ้าคุณเชิญดารามาเป็นพรีเซนเตอร์ คุณก็ต้องจ่ายเงินจ้างดาราคนนั้นด้วยน่ะสิ ทำไมเราต้องใช้จ่ายเงินจนเป็นการเพิ่มต้นทุนขึ้นไปอีก? ทำเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ดีกว่าเหรอคะ ที่ให้คุณเป็นคนถ่ายแบบโปสเตอร์ให้กับUniqueและเป็นพรีเซนเตอร์ด้วยตัวเอง”
เถาจืออวิ๋นและคนอื่น ๆ ต่างก็สนับสนุนเป็นเสียงเดียวกัน “ใช่แล้ว ๆ เธอสวยกว่าดาราพวกนั้นอีก ไม่เห็นต้องเชิญดารามาเป็นพรีเซนเตอร์แทนตัวเองเลย?”
ถึงหลินม่ายจะรู้ว่าตัวเองเป็นคนสวย แต่การที่คนอื่นพร้อมใจกันชื่นชมความสวยของเธอ ก็ทำให้เธอมีความสุขมาก
เธอสัมผัสใบหน้าบอบบางของตัวเองด้วยความขวยเขิน “ฉันทำไม่ได้หรอก ฉันไม่มีราศีจับเหมือนดารา”
ทุกคนต่างนิ่งงันไป อดคิดในใจไม่ได้ ดาราไม่ใช่ผู้นำประเทศเสียหน่อย พวกเขาจะไปเอาราศีเฉพาะตัวมาจากไหนกัน?
หลินม่ายเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเธอและคนกลุ่มนี้เป็นคนที่มาจากโลกสองใบซึ่งแตกต่างกัน ต่อให้อธิบายอย่างไร พวกเขาคงไม่มีวันเข้าใจ
ถ้าอย่างนั้นคงต้องอาศัยตัวตนในฐานะที่เป็นหัวหน้า เพื่อเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ
เถาจืออวิ๋นเท้าคางตัวเองไว้กับโต๊ะพลางถามหลินม่าย “งั้นเธอคิดว่าจะเชิญดาราฮ่องกงและไต้หวัน หรือดาราจากในประเทศของเราดีล่ะ?”
ถ้าหลินม่ายต้องการเชิญดาราจากฮ่องกงและไต้หวันมา แน่นอนว่าคนคนนั้นต้องเป็นหลินชิงเสีย หรือไม่ก็หมีเซียะ
ถึงดาราสาวสองคนนี้จะมีสไตล์และนิสัยที่ต่างกัน แต่พวกหล่อนต่างก็เหมาะกับเสื้อผ้าUniqueทั้งคู่
แต่ปัญหาก็คือ ช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับฮ่องกงและไต้หวันในยุคนี้แตกต่างกันมากเกินไป
การเชิญดาราจากฮ่องกงและไต้หวันมาเป็นพรีเซนเตอร์Unique ถ้าไม่สามารถรับประกันเงินค่าจ้างเป็นจำนวนหนึ่งหรือสองล้านหยวนได้ แล้วใครจะยอมทำ?
พูดถึงเงินสองล้านที่ว่า อาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับบริษัทต่าง ๆ ในฮ่องกงและไต้หวันที่มีสถานะทางการเงินขององค์กรที่แข็งแกร่ง
ในขณะที่ทรัพย์สินทั้งหมดของหลินม่ายมีอยู่เพียงไม่กี่ล้านเท่านั้น ถ้าต้องจ่ายเงินหนึ่งถึงสองล้านหยวนเพื่อจ้างดารามาถ่ายทำโฆษณา ทรัพย์สินของเธอจะลดลงถึงหนึ่งในสามทันที
เธอไม่ต้องการใช้เงินไปกับการใช้ดาราเป็นพรีเซนเตอร์ในจำนวนที่มากเกินความจำเป็น ดังนั้นจึงวางแผนไว้ว่าจะเชิญจางอวี้ ดาราจากจีนแผ่นดินใหญ่มาถ่ายทำโฆษณาให้กับเธอ
เหรินเป่าจูพูดด้วยความประหลาดใจ “คุณจะเชิญเธอมาเป็นพรีเซนเตอร์เหรอคะ? แต่หล่อนแสดงภาพยนตร์โดยรับบทเป็นหญิงชาวบ้านเนื้อตัวสกปรกมอมแมมเป็นส่วนใหญ่ บุคลิกของหล่อนจะขัดกับUniqueเกินไปหรือเปล่า? อย่าลืมนะคะว่าแบรนด์Uniqueของเราเน้นแฟชั่นและความทันสมัยเป็นหลัก”
หลินม่ายรู้ดีว่าจางอวี้ไม่ใช่หญิงชาวบ้านโดยกำเนิด แต่หล่อนเป็นชาวต่างชาติ
ภาพจำของเธอเป็นแค่บทบาทบนจอเงินเท่านั้น นั่นเป็นเพราะเธอรับบทที่เหมาะสมกับตัวเอง
หลินม่ายเชื่อว่าภาพลักษณ์ที่เรียบง่ายของจางอวี้ซึ่งปรากฏบนจอภาพยนตร์นี่แหละ จะสร้างความแตกต่างอย่างน่าสนใจมากเมื่อหล่อนมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์Unique
หลังจากบรรดาลูกค้าได้เห็นแล้ว พวกเขาจะให้ความชื่นชมว่าเสื้อผ้าUniqueคือแบรนด์แห่งแฟชั่นจริง ๆ แม้กระทั่งนักแสดงหน้าตาธรรมดา ๆ เมื่อสวมใส่เสื้อผ้าUniqueแล้วก็กลับกลายเป็นสาวสวยทันสมัย แถมยังสง่างามมากอีกด้วย
ก่อนที่หลินม่ายจะมีโอกาสได้แสดงมุมมองของตัวเอง เถาจืออวิ๋นก็โพล่งขึ้นว่า “ฉันคิดว่าหล่อนดูเหมือนชาวต่างชาติ หน้าตาหรือก็อ่อนหวานใช้ได้ เธอต้องทำหน้าที่พรีเซนเตอร์ของUniqueได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่”
เถาจืออวิ๋นคือคนที่ได้รับการยอมรับจากคนทั้งโรงงานตัดเสื้อหรือทั้งบริษัทเลยก็ว่าได้ ว่าเป็นคนที่มีรสนิยมดีที่สุด
ในเมื่อหล่อนบอกว่าเหมาะสม ก็ต้องเหมาะสมอย่างไม่มีข้อกังขา
ทุกคนพร้อมใจกันปิดปากเงียบ
อย่างไรก็ตาม โฮ่วซินอี้ยังคงเสนอแนะว่าจางอวี้ยังไม่ใช่ดาราที่มีชื่อเสียงมากพอ จึงแนะนำให้หลินม่ายเชิญหลิวเหม่ยชิ่งหรือพานอวี่หงมาแทน
ดาราสาวทั้งสองคนนี้เป็นไก่ทอดยอดนิยม(1)มากที่สุดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์ของจีนแผ่นดินใหญ่ อีกทั้งพวกหล่อนยังเป็นดาราเบอร์ต้นอีกด้วย
แต่หลินม่ายกลัวว่าจะเชิญพวกหล่อนมาไม่ได้
เหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เดียวก็จะถึงวันชาติแล้ว เธอต้องส่งโฆษณาของแบรนด์Uniqueไปฉายทาง CCTV ก่อนวันชาติ
ด้วยเหตุนี้เธอถึงเลือกดาราบางคนที่มีแนวโน้มว่าจะยินดีรับงานสูงกว่า ดาราสาวทั้งสองอยู่ไกลเกินเอื้อมเกินไป
โดยเฉพาะหลิวเหม่ยชิ่ง เธอเคยเห็นบทสัมภาษณ์พิเศษของอีกฝ่ายเมื่อชาติที่แล้ว และพอรู้มาว่านิสัยที่แท้จริงของหล่อนไม่ใช่คนพูดเก่ง
หลินม่ายอธิบายว่า “ฉันลองติดต่อกับผู้จัดการของจางอวี้ไว้แล้ว ถ้าเปลี่ยนตัวกลางคันคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่”
เธอไม่ได้พูดโกหก ช่วงสองวันที่ผ่านมา นอกเหนือจากการเร่งอ่านหนังสือเรียนแล้ว เธอสละเวลาว่างติดต่อกับผู้กำกับของจางอวี้ เพื่อเชิญให้หล่อนมาถ่ายทำโฆษณาให้กับUnique
สำหรับยุคสมัยนี้แล้ว อาชีพนักแสดงก็เป็นแค่อาชีพหนึ่งเช่นเดียวกันกับงานอื่น ๆ มีสำนักงานต้นสังกัด มีสถานประกอบการ และมีผู้จัดการ
ในฐานะนักแสดง ไม่ว่าคุณจะมีชื่อเสียงแค่ไหนก็ตาม ทุกงานแสดงจะต้องได้รับการอนุญาตจากผู้จัดการเสียก่อน
ต่างจากดารานักแสดงรุ่นหลัง ที่ส่วนใหญ่มีผู้จัดการส่วนตัวและมีทีมงานเป็นของตัวเอง
ขอแค่ผู้จัดการส่วนตัวอนุญาต พวกเขาก็รับงานได้ทุกอย่าง
ในขณะที่นักแสดงในยุคนี้ได้รับเงินค่าจ้างจากการถ่ายทำเพียงอย่างเดียว ต้องรอจนกว่าตัวเองจะมีบทบาทในภาพยนตร์ที่แสดง ถึงได้ทั้งเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยง
ซึ่งรายได้จากการถ่ายทำแค่หนึ่งตอนตกอยู่ที่ไม่กี่สิบหยวนเท่านั้นเอง แต่นักแสดงกลับพึงพอใจ และให้การทุ่มเทอย่างมาก
สิ่งนี้หาได้ยากจากดาราในชาติที่แล้วของหลินม่าย พวกเขาไม่มีจรรยาบรรณในวิชาชีพเพียงพอ นับประสาอะไรกับความทุ่มเท พวกเขาแค่กลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถทำเงินได้
ดังนั้นถ้าหลินม่ายต้องการเชิญจางอวี้มาถ่ายทำโฆษณา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องติดต่อผ่านทางผู้จัดการของหล่อนก่อน
เถาจืออวิ๋นถาม “ผู้จัดการของจางอวี้ตอบรับมาหรือยัง?”
หลินม่ายยิ้ม “ยังรอการตอบกลับอยู่เลย”
ความเป็นจริงก็คือ ผู้กำกับหวง ผู้จัดการของจางอวี้ได้ปฏิเสธเธอไปแล้ว
ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็ไม่ยอมแพ้ เธอวางแผนว่าจะขอเข้าพบผู้กำกับหวงแบบตัวต่อตัว เพื่อเจรจาให้เขายอมอนุญาตให้จางอวี้มาถ่ายทำโฆษณา
แน่นอน ถ้าเจรจาแล้วยังมันไม่ได้ผล เธอคงต้องถ่ายทำโฆษณาด้วยตัวเอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่มีทางดีเท่ากับที่คาดการณ์ไว้
หลินม่าย “ฉันต้องการใช้ประโยชน์จากโอกาสในการเชิญดารามาเป็นพรีเซนเตอร์ เพื่อขยายพื้นที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์Uniqueออกไปให้มากขึ้น”
เหรินเป่าจูงงงวย “เราเปิดร้านค้าส่งเสื้อผ้าบนถนนฮั่นเจิ้งแล้วไม่ใช่เหรอคะ ป่านนี้สินค้าคงกระจายไปทั่วทั้งประเทศแล้ว เรายังจะขยายกิจการอย่างไรได้อีก? ขยายกิจการไปยังต่างประเทศเหรอ?”
หลินม่ายตอบว่า “ในอนาคตแบรนด์Uniqueของเราได้ขยายกิจการไปต่างประเทศแน่อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังเร็วเกินไป ถึงแม้เราจะเปิดร้านขายส่งบนถนนฮั่นเจิ้ง แต่คนที่มาซื้อสินค้าจากเราเป็นแค่ผู้ค้ารายย่อยทั่วไป เรายังไม่ได้ขยายสาขาเข้าไปในห้างสรรพสินค้าชั้นนำในเมืองใหญ่ ๆ แน่นอนว่ายอดขายภายในห้างสรรพสินค้าที่ว่าแทบจะเท่ากับยอดขายของร้านเสื้อผ้าหลาย ๆ ร้านรวมกันเลย เราไม่สามารถปล่อยให้ตลาดขนาดใหญ่แบบนี้หลุดมือได้หรอก”
ทุกคนพยักหน้าหลังจากได้ยิน
หลินม่ายจึงหันไปสั่งงานกับเหรินเป่าจู “หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง คุณช่วยแบ่งพนักงานส่งเสริมการขายเก้าคนออกเป็นกลุ่มละสามคน จากนั้นเดินทางไปที่เซี่ยงไฮ้ กวางตุ้ง และปักกิ่ง ติดต่อขอพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าทั้งหมดในสามเมืองนี้ให้ได้มากที่สุด แล้วเปิดร้านเสื้อผ้าUniqueสาขาใหม่ที่นั่น ไม่ต้องกังวลว่าถ้าเราขึ้นราคาเสื้อผ้าแล้วยอดขายจะลดฮวบ อย่าลืมว่ากำลังการซื้อของคนในสามเมืองนี้สูงกว่าชาวเจียงเฉิงมาก เสื้อผ้าที่ชาวเจียงเฉิงคิดว่ามีราคาแพง สำหรับสามเมืองนี้ระดับราคาถือว่าปกติ”
เหรินเป่าจูพยักหน้า
หลินม่ายพูดต่อ “อย่าลืมบอกพนักงานขายทั้งเก้าคนด้วยว่า ตราบใดที่พวกเขาทำงานได้ดี พอกลับมาแล้วจะได้รับรางวัลอย่างงาม”
ในเมื่อเธอมอบหมายให้พนักงานทำงานหนักกว่าเดิม ก็ควรมีมาตรการจูงใจพวกเขาด้วย
นอกเหนือจากการเชิญดารามาเป็นพรีเซนเตอร์และเปิดตลาดใหม่แล้ว หลินม่ายยังสั่งให้อัปเกรดบรรจุภัณฑ์Uniqueด้วย
ไม่อย่างนั้น ต่อให้เชิญดารามาเป็นพรีเซนเตอร์ หรือแม้แต่มอบกล่องเครื่องสำอางนำเข้าเป็นของขวัญส่งเสริมการขายก็ตาม ถ้าบรรจุภัณฑ์ใส่เสื้อผ้ายังไม่ได้มาตรฐาน สิ่งนี้ก็ยังเป็นอุปสรรค และนำมาซึ่งการต่อต้านการพัฒนาตลาดอีกด้วย
เหรินเป่าจูคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “งั้นเราลองเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์มาเป็นแบบเดียวกับที่ผู้จัดการเจิ้งออกแบบสำหรับใส่ขนมไหว้พระจันทร์ดีไหมคะ?”
นั่นคือบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นแล้ว
หลินม่ายส่ายหน้าทันที “แค่กล่องบรรจุภัณฑ์อย่างเดียวไม่พอหรอก ร้านเราจำเป็นต้องมีถุงกระดาษขนาดใหญ่คุณภาพดี พิมพ์โลโก้Uniqueอย่างสม่ำเสมอทุกใบ เพื่อให้ลูกค้าที่มาซื้อเสื้อผ้าสามารถพกพาติดตัวไปไหนมาไหนได้ คุณคงไม่คิดจะให้ลูกค้าซื้อเสื้อผ้าแล้วพับใส่กล่องหรอกมั้ง มันหิ้วไม่สะดวกเอาซะเลย! ถ้าอยากให้Uniqueเติบโตขึ้นกลายเป็นแบรนด์ใหญ่ รายละเอียดพวกนี้ก็สำคัญมากเช่นกัน”
แนวคิดในการพิมพ์โลโก้Uniqueลงบนถุงกระดาษนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจส่วนตัวของหลินม่าย แต่เธอลอกเลียนแบบแนวปฏิบัติมาจากแบรนด์หรูรายใหญ่ที่เคยเห็นในชาติที่แล้ว
ข้อดีของการใช้บรรจุภัณฑ์แบบนี้ คือเมื่อลูกค้าถือถุงกระดาษของUniqueแล้วเดินไปตามถนน ผู้คนจำนวนมากที่เดินผ่านไปมาก็จะเห็นโลโก้แบรนด์Uniqueอย่างชัดเจน
ในทางการตลาดแล้ว กลยุทธ์นี้เรียกว่าการตลาดแบบเปิดเผย หมายถึงการเพิ่มการเข้าถึงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้คนสามารถจดจำแบรนด์นั้น ๆ ได้
พอสร้างภาพจำให้กับแบรนด์สำเร็จแล้ว ก็จะยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ในการซื้อของจากแบรนด์ให้มากขึ้น
ถุงกระดาษพิมพ์โลโก้Uniqueถือเป็นตัวอย่าง
หลินม่ายยังแนะนำด้วยว่าให้เพิ่มข้อความโฆษณาพิเศษลงบนถุงกระดาษ อย่างเช่น ‘เสื้อผ้าUnique แฟชั่นที่คุณคู่ควร’
ผู้หญิงในยุคนี้นิยมชมชอบการได้รับคำชมเชยในเรื่องแฟชั่นเป็นพิเศษ น้อยคนนักที่จะแต่งตัวอย่างเรียบง่าย
ขอแค่มีคำว่า แฟชั่น ก็สามารถชนะใจผู้บริโภคได้แล้ว
หลังจากพูดคุยเกี่ยวกับการอัปเกรดบรรจุภัณฑ์ หลินม่ายถามเหรินเป่าจูถึงเรื่องอื่น ๆ “ฉันได้ยินคุณพูดถึงการขายเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเฉพาะตามร้านต่าง ๆ ในเครือUnique คุณไม่ได้จัดตั้งชั้นวางสำหรับขายของพวกนี้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ หรอกเหรอ?”
เหรินเป่าจูส่ายหน้า “ไม่ค่ะ ชั้นวางที่พวกเขาจัดเตรียมไว้ทำให้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวดูระเกะระกะเกินไป ดูไม่เหมือนผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์เอาซะเลย ฉันเลยล้มเลิกความตั้งใจไปซะ”
หลินม่ายถาม “แล้วเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่วางขายตามร้านค้าในเครือขายดีไหม?”
เหรินเป่าจูพยักหน้า “ดีค่ะ ดีมากเลยล่ะ”
จากนั้นก็พูดด้วยแรงอารมณ์ “สกินแคร์กับเครื่องสำอางนำเข้าพวกนั้นราคาแรงมาก แต่มีลูกค้ามากกว่าสิบคนซะอีกที่เต็มใจควักเงินจ่าย! ถ้าเป็นฉันคงลังเลอยู่นานว่าจะซื้อมันดีไหม”
โฮ่วซินอี้พูดติดตลก “นั่นเป็นเพราะคุณขี้เหนียวเกินไป ตัวเองได้เงินเดือนไม่ต่ำกว่าสองร้อยหยวนด้วยซ้ำ ยังลังเลที่จะซื้อเครื่องสำอางกับสกินแคร์อีก!”
เหรินเป่าจูเชิดหน้าใส่พร้อมกับพูดว่า “ฉันอายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว แถมยังมีสามีรออยู่ที่บ้าน เอาเงินไปจุนเจือครอบครัวไม่ดีกว่ารึ!”
หลินม่ายมองหล่อนด้วยความเห็นใจ
เธอเคยได้ยินเหรินเป่าจูเล่าให้ฟังว่าสามีของหล่อนทำตัวไร้ประโยชน์มาก แต่ดีตรงที่เอาใจใส่ภรรยา และช่วยทำงานบ้าน
เขาทำงานเป็นลูกจ้างประจำมานานหลายปี แต่แทบไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเลย
ถ้าเหรินเป่าจูไม่มีงานประจำทำอย่างมั่นคงกับโรงงานUnique และได้รับการเลื่อนตำแหน่งจนกลายเป็นรองผู้จัดการโรงงานที่ได้รับเงินเดือนสูงลิ่วทุกเดือน ครอบครัวของหล่อนคงต้องดำรงชีวิตอยู่อย่างยากจน
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้หญิงไม่ควรมีสามีที่ไร้ประโยชน์จนเกินไป ไม่อย่างนั้นฝ่ายหญิงจะถูกบังคับให้เป็นเสาหลักของครอบครัวทันที
หลินม่ายหันไปถามจ้าวเลี่ยงอีกครั้ง ว่าเขาซื้อแอปเปิลที่เธอขอให้เขาจัดเตรียมไว้สำหรับพนักงานแล้วหรือยัง
จ้าวเลี่ยงพยักหน้า “ผมรับซื้อเรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้อยู่ในระหว่างขนส่งกลับมา”
หลินม่ายสั่งจบการประชุม จากนั้นก็ปั่นจักรยานไปที่ร้านเสื้อผ้าในเครือUnique
เหรินเป่าจูบอกว่าเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนำเข้าพวกนั้นขายดีมากเมื่อวางจำหน่ายตามร้านค้าในเครือ เธอจึงอยากเห็นกับตาว่ามันขายดีแค่ไหน
เมื่อก้าวเข้าไปในร้าน ก็เห็นเคาน์เตอร์กระจกยาวประมาณสองเมตรตั้งอยู่กลางร้านนั้น
เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนำเข้าต่าง ๆ ที่หลินม่ายรับซื้อมาจากโกดังด่านศุลกากร ถูกจัดเรียงไว้บนเคาน์เตอร์ในลักษณะเป็นระเบียบ
บนเคาน์เตอร์กระจกมีดอกกุหลาบสีแดงซึ่งทำจากผ้าไหมด้วยฝีมือประณีต ละเอียดอ่อน และสวยงาม
ของตกแต่งดังกล่าวช่วยยกระดับตัวสินค้าขึ้นไปอีกขั้น ส่งเสริมให้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่วางเรียงรายอยู่ดูล้ำสมัยมากขึ้น
หลินม่ายชี้ไปที่เคาน์เตอร์กระจกและถามผู้จัดการร้านว่า “ใครเป็นคนจัดเคาน์เตอร์นี้เหรอคะ?”
ผู้จัดการร้านกำลังให้บริการลูกค้าอยู่พอดี เขาตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “ผู้จัดการเหรินเป็นคนขอให้หัวหน้าเถาสอนพวกเราจัดวางสินค้าครับ”
หลินม่ายคิดในใจ ไม่แปลกใจเลยที่เคาน์เตอร์สวยสะดุดตาแบบนี้ ที่แท้ก็เป็นไอเดียของพี่เถานี่เอง
เธอยกนิ้วโป้งชมเชยผู้จัดการร้าน “จัดวางสินค้าได้ดีมากเลยค่ะ”
หลินม่ายเดินไปยืนหลบมุมอยู่เฉย ๆ เฝ้าสังเกตการณ์เป็นเวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง พบว่าธุรกิจเครื่องสำอางเป็นไปด้วยดีตามที่เหรินเป่าจูบอกจริง ๆ
ไม่ใช่แค่เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนำเข้าเท่านั้นที่ขายดี เสื้อผ้าก็ขายดีไม่แพ้กัน
ข้อเสียอย่างเดียวคือต้องปรับปรุงทักษะการขายของพนักงานขายเสียใหม่
ความจริงแล้วมีโอกาสสูงมากที่ลูกค้าจะสนใจซื้อสินค้ามากกว่านี้ เพียงแต่พนักงานขายเหล่านี้กลับไม่คว้าโอกาสไว้ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาอาจไม่มีความตระหนักในเรื่องนี้เลย
เธอต้องเตรียมตัวไปเชิญให้จางอวี้มาถ่ายโฆษณาในเร็ว ๆ นี้ ฉะนั้นเธอไม่มีเวลาเพียงพอจะจัดอบรมทักษะการขายของพนักงานขายเพิ่มเติมก่อนจะถึงวันชาติ
ท้ายที่สุดงานนี้คงไม่พ้นเถาจืออวิ๋นอีกตามเคย
ถึงหล่อนไม่เชี่ยวชาญการเสนอขายสินค้า แต่อย่างน้อยหล่อนยังรู้จักแต่งตัว
นอกจากมอบหมายให้หล่อนอบรมพนักงานขายแล้ว ควรควบสอนการแต่งตัวไปด้วยเลย
เพื่อที่พวกเขาจะสามารถให้คำแนะนำกับลูกค้าเกี่ยวกับการสวมใส่ได้
จากตอนแรกที่ลูกค้าต้องการซื้อเสื้อแค่ตัวเดียว แต่เมื่อพวกเขาเห็นด้วยว่าเสื้อผ้าอีกชุดที่พนักงานขายแนะนำก็ดีเหมือนกัน บางทีอาจตัดสินใจซื้อเสื้อทั้งสองตัวเลยก็ได้
รสนิยมการแต่งตัวถือเป็นหนึ่งในทักษะการขายเช่นเดียวกัน
……………………………………………………………………………………………………………….
ไก่ทอดยอดนิยม เปรียบเปรยว่าเป็นบุคคลหรือสิ่งของที่กำลังโด่งดังหรือได้รับความนิยมมากในขณะนี้ เป็นไอคอนของแฟชั่นหรือกระแสทางสังคมต่าง ๆ
(จากผู้เขียน: เนื้อหาบางส่วนในเรื่องเป็นเพียงเรื่องสมมุติ ให้ผู้อ่านมองว่าเป็นโลกคู่ขนาน อย่าจริงจังกับมันจนเกินไป)
สารจากผู้แปล
อู้ว ถึงขั้นเชิญดารามาเป็นพรีเซนเตอร์แล้วค่ะ จะเชิญมาสำเร็จไหมนะ
ไหหม่า(海馬)