แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 513 เข้าพบหัวหน้า
ตอนที่ 513 เข้าพบหัวหน้า
ชายวัยกลางคนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพ่อของเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งถูกน้ำร้อนลวกที่หลินม่ายช่วยปฐมพยาบาลให้เมื่อคืนนี้ ตอนที่หลินม่ายและคณะของเธอหม้อไฟเนื้อแกะอยู่ที่ร้านอาหารเก่าแก่
ชายคนนั้นยิ้มให้พร้อมพยักหน้า
หลินม่ายถามด้วยรอยยิ้ม “บังเอิญจริง ๆ เลย ฉันอยากเข้าไปสถานีโทรทัศน์แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า แล้วคุณก็เดินออกมาช่วยฉันจากสถานการณ์ยากลำบากนี้พอดี”
ชายคนนั้นยิ้มบาง “ผมบังเอิญเห็นคุณตอนที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ข้างหน้าต่างบนสำนักงาน ก็เลยรีบวิ่งลงมา”
เขายื่นมือไปหาหลินม่าย “เมื่อวานรีบร้อนจนไม่ทันได้แนะนำตัว วันนี้มาทำความรู้จักกันไว้เถอะ สวัสดีครับ ผมชื่ออู่ตงเหวิน”
หลินม่ายยื่นมือไปจับกับเขาด้วยความยินดี “ฉันชื่อหลินม่ายค่ะ”
อู่ตงเหวินถาม “ทำไมคุณถึงอยากเข้าไปในสถานีโทรทัศน์เหรอครับ?”
หลินม่ายบอกจุดประสงค์การมาของตัวเอง แล้วถามอย่างระมัดระวัง “คุณช่วยพาฉันเข้าไปพบกับหัวหน้าที่รับผิดชอบธุรกิจโฆษณาได้หรือเปล่าคะ?”
การแสดงออกของอู่ตงเหวินเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ผมแนะนำว่าคุณล้มเลิกความคิดนี้ไปก่อนดีกว่า!”
หลินม่ายไม่เข้าใจ “ทำไมคะ?”
“ตอนนี้พวกหัวหน้าระดับสูงต่างสั่งแบนโฆษณากันทุกคน ไม่ว่าคุณจะไปพบหัวหน้าคนไหนก็มีอุปสรรคกันหมดนั่นแหละ”
หลินม่ายถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมพวกเขาถึงสั่งแบนโฆษณาล่ะคะ?”
ถ้าเป็นช่วงก่อนการปฏิรูปและเปิดประเทศในทศวรรษที่ 1980 การที่สถานีโทรทัศน์สั่งแบนโฆษณา หลินม่ายอาจยังพอเข้าใจได้
เนื่องจากตอนนั้นสังคมยังใช้ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผน สถานีโทรทัศน์จึงไม่สามารถลงโฆษณาใด ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต
แต่ตอนนี้เหตุการณ์ต่างออกไป สถานีโทรทัศน์สามารถออกอากาศโฆษณาเองได้ แล้วจะมีการสั่งแบนโฆษณาได้อย่างไรกัน
ทุกวันนี้ช่อง CCTV ไม่มีโฆษณาออกอากาศเลยด้วยซ้ำ
หลินม่ายสังเกตหลายครั้งแล้วว่าในช่วงพักของรายการแสดงทางวัฒนธรรม หรือรายการแข่งขันกีฬา จอทีวีมักถูกปล่อยให้ว่างเปล่า เพราะไม่มีโฆษณาแทรก
หรือไม่ก็ฉายภาพที่เขี่ยบุหรี่ไว้บนหน้าจอเป็นเวลาสิบห้านาทีหรือนานกว่านั้น จนกว่าภาพจะตัดกลับไปที่รายการเดิมอีกครั้งหนึ่ง
การไม่มีโฆษณาทำให้ช่องไร้สีสัน แล้วพวกเขาจะสั่งแบนโฆษณาไปด้วยเหตุผลอะไรกัน?
หลินม่ายถามอู่ตงเหวินถึงคำถามที่ค้างคาในใจ
อู่ตงเหวินขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้หลินม่ายฟัง
เรื่องของเรื่องก็คือ ไม่นานมานี้ ช่อง CCTV ได้ออกอากาศโฆษณาของโคคาโคล่าและกางเกงยีน ซึ่งโฆษณาทั้งสองตัวต่างก็เป็นสินค้าจากต่างประเทศ ทำให้ผู้ชมไม่พอใจมาก
ผู้ชมเหล่านั้นคิดว่าโคคาโคล่ามีราคาแพงมาก คนทั่วไปไม่สามารถจ่ายเงินซื้อได้อยู่แล้ว ดังนั้นแทบไม่มีความจำเป็นต้องออกอากาศโฆษณาเลย
สถานีโทรทัศน์ของประชาชน ต้องรับใช้ประชาชนส่วนใหญ่ถึงจะถูก ไม่ใช่รับใช้กลุ่มนายทุนต่างชาติซึ่งเป็นคนส่วนน้อย คนส่วนใหญ่จะมีวิถีชีวิตหรูหราขนาดนั้นได้อย่างไร
ส่วนโฆษณากางเกงยีนนั้น พวกเขาคิดว่ามันเป็นการส่งเสริมวิถีชีวิตของชนชั้นนายทุนซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่มีวันเข้าถึง
ดังนั้นโฆษณาโคคาโคล่าและโฆษณากางเกงยีนจึงต้องหยุดออกอากาศกลางคัน
หลินม่ายถึงกับพูดไม่ออก
มิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้เธอเคยเห็นโฆษณาโคคาโคล่าทางช่อง CCTV แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่ด้วยความที่เธอแทบไม่มีเวลาดูทีวี จึงไม่ทันสังเกตว่าหลังจากนั้นไม่มีการออกอากาศโฆษณาพวกนี้อีกเลย
ตอนแรกเธอคิดว่าโฆษณาโคคาโคล่าอาจได้ผลตอบรับที่ไม่ดีเท่าไหร่หลังจากออกอากาศไปแล้ว ทางบริษัทโคคาโคล่าจึงเลิกต่ออายุการออกอากาศ เลยไม่เห็นเครื่องหมายการค้านี้ทางช่อง CCTV อีก
นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวทั้งหมดมีต้นสายปลายเหตุมาจากเหตุการณ์ที่ว่า
อู่ตงเหวินยังบอกหลินม่ายด้วยว่าไม่ได้มีแค่การระงับออกอากาศโฆษณาทั้งสองรายการเท่านั้น ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ช่อง CCTV ได้ออกอากาศโฆษณานาฬิกา Citizen ปรากฏว่าได้รับการประท้วงจากผู้ชมอย่างรุนแรง จนเกือบระงับการออกอากาศไปอีกรายการ
ผู้ประท้วงเชื่อว่าการโฆษณานาฬิกาที่ผลิตในต่างประเทศ ถือเป็นการเพิ่มความทะเยอทะยานของผู้คน ทั้งยังทำลายศักดิ์ศรีของชาติตัวเอง
อู่ตงเหวินถอนหายใจ “เมื่อเช้านี้ กลุ่มเยาวชนหัวก้าวหน้าก็มารวมตัวกันที่หน้าสถานีโทรทัศน์เพื่อประท้วง พวกเขายืนกรานว่าจะไม่ไปไหนจนกว่าผู้บริหารสถานีจะยอมระงับการออกอากาศโฆษณานาฬิกา Citizen ภายในวันนี้ คุณคิดว่าท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้ หัวหน้าผมยังมีอารมณ์จะพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจโฆษณาอยู่หรือเปล่าล่ะ?”
ตอนนั้นเองหลินม่ายถึงรู้ว่ากลุ่มผู้ประท้วงที่เธอเห็นมายืนรวมตัวกันอยู่หน้าประตูสถานีโทรทัศน์ กำลังประท้วงการออกอากาศโฆษณานาฬิกา Citizen นั่นเอง
การรักชาติเป็นสิ่งที่ดี เธอเองก็รักชาติมาก
แต่ความรักชาติของคนหนุ่มสาวเหล่านั้นเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
โฆษณาแค่ไม่กี่ตัวไม่สามารถส่งเสริมความทะเยอทะยานของผู้คนให้สูงขึ้น หรือแม้กระทั่งทำลายศักดิ์ศรีของชาติตัวเองได้หรอก
ถ้าคนคนนั้นเกิดความทะเยอทะยานขึ้นมาจริง ๆ เขาก็ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้ฐานะทางการเงินแข็งแกร่งขึ้น นิสัยส่วนบุคคลบ่อนทำลายศักดิ์ศรีของชาติตรงไหน?
อู่ตงเหวินแนะนำหลินม่ายด้วยความหวังดีเพราะไม่อยากให้เธอพยายามโดยเปล่าประโยชน์
หลินม่ายกลับมาจดจ่อกับประเด็นสำคัญ
โฆษณาทั้งหมดที่ถูกผู้ชมประท้วง ต่างก็เป็นโฆษณาสินค้าของต่างประเทศ แต่แบรนด์ยูนีคของเธอเป็นโฆษณาสินค้าที่ผลิตโดยบริษัทเอกชนภายในประเทศ ลักษณะจึงแตกต่างออกไป ผู้ชมคงไม่น่าประท้วง
เธอพยายามอธิบายให้อู่ตงเหวินรู้ถึงเหตุผลในข้อนี้ และขอร้องให้เขาช่วยขึ้นไปแจ้งให้หัวหน้าทราบ เพื่อดูว่าหัวหน้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
บางทีถ้าหัวหน้ารู้ว่าเธอต้องการออกอากาศโฆษณาสินค้าภายในประเทศ อาจเปิดใจยอมรับก็ได้?
ดวงตาของอู่ตงเหวินเบิกกว้าง เขามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่เชื่อสายตา “คุณเป็นคนจีนเหรอนี่?”
ตอนนี้ถึงตาของหลินม่ายแล้วที่ต้องสับสน
เส้นผมของเธอดำสนิท นัยน์ตาหรือก็มีสีเข้ม มีแค่ผิวของเธอที่ขาวเปล่งปลั่ง เธอหน้าตาไม่เหมือนลูกคนจีนตรงไหนกัน?
หลินม่ายส่งยิ้มตอบอย่างเจ้าเล่ห์ “ฉันเป็นชาวจีนโดยกำเนิดค่ะ และฉันก็มาจากเจียงเฉิงด้วย”
อู่ตงเหวินอธิบาย “ผมคิดว่าสำเนียงคุณดูเหมือนชาวไต้หวันมากกว่า แถมการแต่งตัวของคุณก็ไม่ค่อยเหมือนชาวจีนทั่วไปเท่าไหร่ ก็เลยคิดว่าคุณคงมาจากฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน หรืออาจเป็นชาวจีนโพ้นทะเล”
หลินม่ายตกตะลึง
อาจเป็นเพราะสำเนียงการพูดของเธอไม่เหมือนชาวจีนทั่วไปที่มักจะพูดจาโช้งเช้งเสียงดัง
เธอชอบพูดโทนเสียงปกติ เรียบง่ายไม่หวือหวา
อู่ตงเหวินก็เลยเข้าใจผิดคิดว่าเธอมาจากถิ่นฐานอื่น ที่แท้ก็เป็นเพราะเธอพูดจาไม่ตรงสำเนียงนี่เอง
สำเนียงเจียงเฉิงไม่มีเสียงเอ้อฮวา(1) หลายคนจึงพูดภาษาจีนกลางโดยมีเสียงเอ้อฮวาต่อท้าย
หลินม่ายหัวเราะพลางพูดว่า “รู้อย่างนี้แล้วพี่อู่ยังอยากช่วยฉันอธิบายให้หัวหน้าทราบอยู่ไหมคะ?”
อู่ตงเหวินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า “ได้ ผมจะลองไปแจ้งหัวหน้าดู แต่ไม่กล้ารับประกันหรอกนะว่าจะได้ผลหรือเปล่า”
หลินม่ายโค้งคำนับ “ถ้าอย่างนั้นต้องขอบคุณพี่อู่แล้วค่ะ”
อู่ตงเหวินหันหลังเดินกลับเข้าไปในสถานีโทรทัศน์ หลังจากนั้นประมาณสิบนาทีก็เดินออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม โบกมือให้หลินม่าย “หัวหน้าอนุญาตให้คุณเข้าพบได้!”
หลินม่ายแทบจะวิ่งถลาไปหาเขา แต่ถูกลุงยามห้ามไว้เสียก่อน ขอให้เธอลงทะเบียนก่อนเข้าไป
หลินม่ายลงทะเบียนตามขั้นตอน จากนั้นก็เดินเข้าไปในสถานีโทรทัศน์ CCTV พร้อมกับอู่ตงเหวิน
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้ามาภายในสถานีโทรทัศน์ CCTV ระยะทางเดินสั้น ๆ ถูกจัดให้มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา โดยมีทหารอย่างน้อยแปดนายยืนถือปืนเฝ้าระวังอยู่
อู่ตงเหวินพาหลินม่ายตรงไปที่ห้องทำงานของหัวหน้าซึ่งดูแลธุรกิจโฆษณา ก่อนจะพูดด้วยความเคารพว่า “ผู้อำนวยการหยิ่นครับ นี่คือสหายเสี่ยวหลิน”
ผู้อำนวยการหยิ่นกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ พอได้ยินแบบนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปทางหลินม่าย
เขาเคยเห็นดาราภาพยนตร์สวย ๆ มาแล้วหลายคนก็จริง แต่เมื่อได้เห็นหลินม่าย เขาก็ยังอดรู้สึกทึ่งในความดูดีของเธอไม่ได้
เขายิ้มให้อย่างเป็นมิตร ยืนขึ้นแล้วเชิญให้หลินม่ายนั่งลง
เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว อู่ตงเหวินก็ขอตัวถอยออกไปจากห้องอย่างเงียบ ๆ
ทันทีที่หลินม่ายนั่งลงบนโซฟา ผู้อำนวยการหยิ่นก็รินชาและส่งให้เธอตามมารยาท
หลินม่ายผุดลุกยืนขึ้นทันที รับถ้วยชามาจากเขาด้วยมือที่สั่นเทา รอจนกว่าผู้อำนวยการหยิ่นจะนั่งลงก่อน จากนั้นเธอจึงนั่งลงตาม
ผู้อำนวยการหยิ่นมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง แต่กลับสนทนากับเธออย่างใจดี
เขายิ้มพลางพูดว่า “จากที่ฟังเจ้าหน้าที่อู่แนะนำคุณมา เขาบอกว่าคุณเป็นผู้อำนวยการโรงงานผลิตเสื้อผ้าของเอกชนจริงเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ผู้อำนวยการหยิ่นถอนหายใจ “คุณยังดูเด็กมากอยู่เลย เป็นวีรชนรุ่นเยาว์อย่างแท้จริง!”
หลินม่ายตอบกลับอย่างถ่อมตัว “โรงงานของฉันเป็นแค่โรงงานตัดเสื้อขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มต้นกิจการได้ไม่นานมานี้เองค่ะ ต้องอาศัยการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนจึงสามารถเติบโตขึ้นได้”
ผู้อำนวยการหยิ่นอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเธอถึงสองครั้งหลังจากได้ยินคำพูดของเธอ
ถึงแม้สหายสาวน้อยคนนี้จะยังอายุไม่มาก แต่เธอก็ไร้ซึ่งความประหม่าและปราศจากความมั่นใจเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ราวกับเธอเป็นเด็กสาวที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
โดยเฉพาะคำตอบของเธอ สิ่งที่แฝงอยู่ในคำพูดคือ เธอหวังว่าธุรกิจของตัวเองจะได้รับการสนับสนุน
ในขณะที่เธอร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เธอไม่ได้แสดงความถ่อมตัวแต่อย่างใด
เด็กสาวคนนี้อาจมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาก็เป็นได้ บางทีเธออาจจะเป็นลูกสาวของข้าราชการระดับสูงสักคนในเจียงเฉิง
ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่รอบคอบ ใจเย็น และเก่งกาจด้านวาทศิลป์ขนาดนี้
คิดแล้วเขาก็เหลือบตามองเอกสารแนะนำตัวซึ่งวางอยู่ด้านข้าง
พอรู้ว่าสหายสาวน้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นแค่ลูกชาวนา แถมเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ที่เจียงเฉิงเมื่อปีที่แล้ว ผู้อำนวยการหยิ่นก็ถึงกับอึ้งจนกรามแทบหลุด
คนหนุ่มสาวสมัยนี้มีความสามารถมากขนาดนี้เชียวหรือนี่ เห็นทีคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาคงถูกคลื่นลูกใหม่อย่างหลินม่ายซัดไปเกยชายหาดเข้าสักวัน
เขาชื่นชมหลินม่ายอย่างจริงใจสองสามคำ ก่อนจะวกกลับมาที่หัวข้อหลัก
เขาบอกเธอเป็นอันดับแรกว่าค่าใช้จ่ายในการออกอากาศโฆษณาผ่านช่อง CCTV ไม่ใช่น้อย ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………
เสียงเอ้อฮวา สำเนียงม้วนลิ้นเสียงสูงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของคนทางเหนือ เป็นกระบวนการออกเสียง ‘เอ้อร์’ หลังการออกเสียงพยางค์สุดท้าย
สารจากผู้แปล
ผ่านด่านไปได้แล้ว โชคดีที่ก่อนหน้านี้เคยช่วยลูกเขาไว้จริงๆ
ไหหม่า(海馬)