แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 52 อย่ากลัวว่าพวกเขาจะกล่าวหา!
ตอนที่ 52 อย่ากลัวว่าพวกเขาจะกล่าวหา!
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถึงกับพูดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก “แม่ ผมกับม่ายจื่อไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จะหย่ากันได้ยังไง”
อู๋เสี่ยวเถาน้องสาวคนโตถึงกับกลอกตา “พี่เรียนจบชั้นมัธยมต้นมาไม่ใช่เหรอ ไม่รู้จักการแต่งงานโดยพฤตินัยหรือไง?”
“ถึงจะไม่มีทะเบียนสมรส แต่ม่ายจื่อกับพี่ก็แต่งงานกันแล้ว มีชาวบ้านคนไหนไม่รู้บ้าง?”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนรู้สึกว่าสมเหตุสมผลทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเข้าพิธีแต่งงานกับนังสารเลวนั่นจริง และเรียกได้ว่าเป็นการแต่งงานโดยพฤตินัย การพาตัวเธอกลับมาถลุงเงินมันจะผิดแปลกอะไร?
เป็นเรื่องปกติที่สามีจะหยิบยืมเงินของภรรยา
จิตใจของเขาเบิกบานมีความสุขเมื่อคิดว่าจะได้รับเงินสองพันหยวนจากหลินม่าย
ต่อจากนี้ไปเพ่ยเพ่ยจะไม่ต้องถูกเพื่อนร่วมชั้นดูถูกว่ายากจนอีก เขาจะใช้เงินทั้งหมดแต่งตัวหล่อนให้สวยสง่าที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นเขาจะควบคุมนังสารเลวนั่นอย่างเข้มงวด เธอจะกลายเป็นเครื่องทำเงินให้เขากับหลินเพ่ย
มุมปากเขาพลันแสยะยิ้ม เห็นด้วยกับเหยาชุ่ยฮวา “ครับ พรุ่งนี้ผมจะไปรับตัวนังสารเลวนั่นที่บ้านพ่อเฒ่าฟาง”
แม้ว่าความมั่งคั่งของหลินม่ายจะสะดุดเข้าตาคนกลุ่มนี้ ทว่าอู๋จินกุ้ยก็ยังยึดตามหลักเหตุผล
“พรุ่งนี้ยังไม่ต้องไป อีกสองสามวันค่อยไป”
เหยาชุ่ยฮวาไม่เข้าใจ “ทำไม?”
“เราต้องไว้หน้าพ่อเฒ่าฟางหน่อย ถ้าเสี่ยวเจี๋ยนเดินทางไปรับแล้วนังสารเลวนั่นไม่ยอมกลับมากับเสี่ยวเจี๋ยนล่ะ?”
“ถ้าเกิดมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในบ้านพ่อเฒ่าฟาง ทุกคนคงจะไม่สบายใจไปตลอดทั้งปี และตระกูลฟางจะเกลียดชังเอาได้ นอกจากนี้พวกเรารับผลที่จะตามมาได้หรือ?”
ทุกคนต่างพูดไม่ออก
เหยาชุ่ยฮวาที่โกรธเคืองโพล่งขึ้นมาว่า “งั้นวันชูซื่อ(1)ค่อยไป”
ในที่สุดอาหารที่เหลือค้างจากวันส่งท้ายปีเก่าของตระกูลฟางก็หมดลงจากการกลายเป็นอาหารค่ำในวันปีใหม่และเป็นอาหารเช้าในวันที่สองของเทศกาลปีใหม่
ในตอนเที่ยง ฟางเสียนจิ้งลูกสาวเพียงคนเดียวของคู่รักสองเฒ่าก็กลับมามาที่บ้านพ่อแม่ พวกเขาจึงเสิร์ฟอาหารสดใหม่ให้แก่หล่อน
อาหารที่เหลือค้างนั้นไม่สามารถนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะอาหารได้ นอกจากนี้ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วกลับมาเยี่ยมเยียนที่บ้านพ่อแม่จะถือว่าเป็นแขกคนหนึ่งที่ไม่อาจละเลยได้
กล่าวกันว่าลูกสาวคือแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ หลินม่ายคิดว่าฟางเสียนจิ้งจะแตกต่างจากพี่ชายคนอื่น แต่กับคาดไม่ถึงว่าหล่อนและสามีจะเมินเฉยต่อสองเฒ่า
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ พวกเขานั่งพักอยู่ครู่หนึ่งพอเป็นพิธีก่อนจะรีบจากไป
ลูก ๆ ของฟางเสียนจิ้งไม่แม้แต่จะมาอวยพรวันปีใหม่ให้คู่สามีภรรยาฟาง ยิ่งทำให้คู่สามีภรรยาฟางเศร้าหมอง
วันที่สามของเทศกาลปีใหม่ไม่ได้มีความสำคัญนัก ญาติพี่น้องสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้
ในวันนี้ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่ข้าราชการจะเดินทางมาบ้านตระกูลฟางเท่านั้น แต่ข้าราชการระดับสูงระหว่างประเทศและผู้บริหารเมืองและต่างจังหวัดยังเดินทางมาอวยพรวันปีใหม่ให้แก่คุณปู่ฟาง
มีรถประจำทางสิบถึงยี่สิบคันจอดอยู่ที่หน้าประตู เรียงรายกันเป็นแถวยาวจนดูสะดุดตา
เพื่อนบ้านทั้งหลายไม่กล้าเข้ามาใกล้ ทำได้เพียงมองดูจากระยะไกล
แม้ว่าหลินม่ายจะไม่สามารถอยู่ด้วยได้ แต่เธอก็ได้ยินคำพูดสองสามคำจากแขกขณะรินน้ำชา
ตามที่เธอคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ คุณปู่ฟางไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นข้าราชการระดับสูงที่เกษียณออกมาแล้ว
เจ้าหน้าที่ข้าราชการทั้งหลายทยอยกลับไป เมื่อคนจากไปน้ำชาก็เย็นชืด(2) ถึงอย่างนั้นคุณปู่ฟางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ในเมืองหลวงยังมีสหายและผู้ใต้บังคับบัญชาอีกหลายคนที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา คนเหล่านี้อยู่ในตำแหน่งระดับสูง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจึงให้ความสำคัญกับคุณปู่ฟางมาก
แขกจำนวนมากเดินทางเข้ามาเยี่ยมเยียนในวันที่สาม และเขาไม่ได้รีบกลับไปจนกระทั่งห้าโมงเย็น ส่งผลให้หลินม่ายเหนื่อยมากเพราะเธอต้องเตรียมอาหารทั้งวัน
เสิร์ฟอาหารและเตรียมโต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่มีเวลาทำอาหารดี ๆ ให้ตนเอง กระทั่งแขกกลับกันไปหมด เธอจึงทำบะหมี่สองถ้วยแบบเดียวกันให้กับโต้วโต้ว
วันรุ่งขึ้น หลินม่ายตื่นนอนขึ้นมาในเวลาแปดโมง
เธอไม่ได้พักผ่อนเป็นเวลานานแบบนี้มานานแล้ว ได้นอนเต็มอิ่มมาก
คุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางเพิ่งตื่นนอนเมื่อไม่นานมานี้ คุณย่าฟางกำลังจะเข้าไปเตรียมอาหารในห้องครัว แต่หลินม่ายกลับห้ามเอาไว้
เธอจะไม่ยอมให้คุณย่าฟางทำอาหาร
ทุกวันนี้กินแต่เนื้อกินแต่ปลา ผู้เฒ่าทั้งสองควรจะกินอาหารเบา ๆ บ้าง
อาหารเช้าของหลินม่ายจึงเป็นข้าวต้มไข่เค็มที่ทำมาจากไข่เป็ดกับซาลาเปาไส้ผักกาดดองแบบเรียบง่าย
ฟางจั๋วเยวี่ยชอบนอนดึก ดังนั้นทุกเช้าคุณย่าฟางจะเป็นคนมาปลุกเขา และเช้านี้ก็เช่นกัน
ทันทีที่ตื่นนอน เขาจะกินอาหารก่อนที่จะล้างหน้าและแปรงฟัน
หลินม่ายเหลือบมองใบหน้าที่รกรุงรังผมเผ้ากระเซอะกระเซิงและขี้ตาที่ติดอยู่บนหัวตาของเขาแล้วก็ตั้งใจไม่หันไปมองเขาอีก เพราะเกรงว่าจะส่งผลต่อความอยากอาหาร
ไม่รู้ว่าพี่ชายของเขาจะเป็นเหมือนเขาหรือเปล่า ตรงที่ดูเรียบร้อยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน แต่ในบ้านกลับทำตัวซกมก
…แต่ศัลยแพทย์ไม่ควรเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ถ้าหมอไม่รู้จักใส่ใจเรื่องสุขอนามัย ระหว่างทำการผ่าตัดอาจจะนำเชื้อโรคไปสู่บาดแผลของคนไข้ได้ไมใช่หรือ?
หลินม่ายคิดฟุ้งซ่าน ขณะได้ยินฟางจั๋วเยวี่ยบอกสองเฒ่าว่าเขาจะกลับเข้าเมืองหลังกินอาหารเช้าเสร็จ
แม้จะเหลือเวลาอีกหลายวันกว่าจะต้องกลับไปทำงาน แต่คนหนุ่มสาวมักจะชอบพบปะสังสรรค์กับคนหนุ่มสาวด้วยกัน คุณปู่คุณย่าฟางจึงไม่ได้ฉุดรั้งอะไรมากนัก
ขณะเดียวกันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น คุณย่าฟางจึงลุกขึ้นยืนและตะโกนถาม “ใคร?”
ไร้เสียงตอบรับจากหน้าประตู
ทุกคนต่างงุนงงว่าใครมาหา และทำไมถึงไม่ยอมขานรับ!
คุณย่าฟางเปิดประตูและมองดูคนแปลกหน้าทั้งสอง นางมองตั้งแต่หัวจรดเท้าและถามว่า “พวกคุณเป็นใคร?”
หลินม่ายรู้จักคนพวกนี้ดี คนหนึ่งคือเหยาชุ่ยฮวา ส่วนอีกคนคืออู๋เสี่ยวเจี๋ยน
ใบหน้าของเธอเรียบนิ่ง วางตะเกียบในมือลงและเดินไปถาม “พวกคุณมาที่นี่ทำไม?”
คุณย่าฟางถามเธอ “เธอรู้จักพวกเขาด้วยเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้า “เขาคืออู๋เสี่ยวเจี๋ยน ส่วนอีกคนคือเหยาชุ่ยฮวาแม่ของเขาค่ะ ”
เธอไม่เคยเรียกอู๋เสี่ยวเจี๋ยนว่าอดีตสามี และไม่เคยเรียกเหยาชุ่ยฮวาว่าแม่สามี
เธอกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนไม่เคยจดทะเบียนสมรสกัน และไม่ใช่การแต่งงานโดยนิตินัย แม่ลูกคู่นี้เป็นแค่อดีตสามีกับอดีตแม่สามีเท่านั้น!
คุณย่าฟางกับหลินม่ายเข้ากันได้ดีราวกับย่าหลานที่แท้จริง ต่อให้เธอไม่ได้บอกคุณย่าเกี่ยวกับอดีตของเธอ แต่อีกฝ่ายก็สามารถรับรู้เข้าใจได้
ชื่อของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนกับเหยาชุ่ยฮวาแม่ของเขาเปรียบเสมือนสายฟ้าฟาด ใบหน้าของนางถมึงทึงในทันที “พวกเราไม่ต้อนรับพวกคุณ!” จากนั้นก็ปิดประตู
ทว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนเอามือขวางประตูเอาไว้ ทำให้คุณย่าฟางไม่อาจปิดประตูได้ ก่อนจะยิ้มและพูดว่า “คุณย่าฟาง ผมมารับหลินม่ายกลับบ้าน หล่อนเป็นสะใภ้บ้านผมน่ะครับ”
คุณปู่ฟางโพล่งออกมาอย่างขุ่นเคือง “พวกคุณเป็นคนขับไล่หล่อนออกมาจากบ้านเอง ใครเป็นลูกสะใภ้พวกคุณไม่ทราบ?”
ใบหน้าของเหยาชุ่ยฮวาบูดบึ้ง “พ่อเฒ่าฟาง พูดกับฉันแบบนี้หมายความว่ายังไง! ม่ายจื่อเป็นสะใภ้ของบ้านเรา ชาวบ้านในละแวกนั้นเป็นพยานได้”
สามีภรรยาก็แค่ทะเลาะเบาะแว้งกันไม่กี่คำ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนขับไล่เธอออกจากบ้านโดยไม่ตระหนักถึงความจริงจัง มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคู่รักหนุ่มสาว เธอจะไม่ใช่ลูกสะใภ้บ้านเราตามที่คุณกล่าวหาได้อย่างไร?
“คุณคิดจะใช้บารมีและอำนาจกดขี่ข่มแหงคนธรรมดาที่ไม่มีทางสู้งั้นเหรอ?”
หลินม่ายกลัวว่าคู่สามีภรรยาเฒ่าจะโดนโยงเข้าเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของเธอ
แม้เหยาชุ่ยฮวาจะหาเรื่องชวนทะเลาะแบบไร้เหตุผล แต่ในโลกนี้ก็มีคนมากมายที่ไม่รู้ความจริง หรือรู้ความจริงแต่จงใจใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น
คนประเภทนี้อาจจะไม่ได้มีความแค้นฝั่งลึกกับคุณ แต่มีจิตใจสกปรก
ถึงแม้ว่าคนประเภทนี้จะมีอยู่น้อย แต่ก็สามารถสร้างผลเสียให้อีกฝ่ายอย่างมาก
หลินม่ายไม่อยากให้คุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางต้องมาเสียหายเพราะเธอ
เธอจึงหันไปพูดกับเหยาชุ่ยฮวาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หยุดกล่าวหาคุณปู่ฟางสักที ฉันจะไปกับคุณเดี๋ยวนี้!”
คุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางพูดขึ้นพร้อมกัน “ม่ายจื่อ อย่าไปกับพวกเขา เราไม่กลัวว่าจะถูกกล่าวหาหรอก!”
……………………………………………………………………………………………………………………
*(1) วันชูซื่อ หมายถึง วันที่สี่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน
*(2) คนจากไปน้ำชาก็เย็นชืด เป็นสำนวนเปรียบเทียบคุณปู่ฟางผู้เคยมียศบรรดาศักดิ์และอำนาจ แต่เมื่อเกษียณแล้วกลับไม่มีใครสนใจ
สารจากผู้แปล
ม่ายจื่อตอนนี้แบคใหญ่นะ สู้ไหวแน่เหรอวิ
ไหหม่า(海馬)