แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 536 เติ้งซิ่วจือออกหน้าแก้ต่าง
ตอนที่ 536 เติ้งซิ่วจือออกหน้าแก้ต่าง
วันรุ่งขึ้น หลินม่ายตื่นตั้งแต่เช้าตรู่มาทำอาหารเช้า
คุณย่าฟางบอกว่าชาวบ้านเอาฟองเต้าหู้เส้นถุงใหญ่มาให้ จึงขอให้เธอนำฟองเต้าหู้เส้นไปทำเมนูอาหารมื้อเช้า
ฟองเต้าหู้เส้นเป็นหนึ่งในสามของว่างแบบดั้งเดิมในหวงเป่ย เมืองเจียงเฉิง
วัตถุดิบนี้ทำจากข้าว ถั่วเขียว และส่วนผสมอื่น ๆ ในสัดส่วนที่เท่ากัน จะนำมาปรุงแบบต้ม ผัด หรือกินแบบหม้อไฟ… ไม่ว่าจะกินด้วยวิธีไหนก็อร่อยทั้งนั้น
หลังอาหารมื้อเช้า ฟางจั๋วหรานขับรถจี๊ปพาหลินม่ายขึ้นไปบนเขาอีกครั้ง
ทันทีที่รถจี๊ปเคลื่อนมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านสกุลหวัง ซุนกุ้ยเซียงก็พุ่งตัวออกไปราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่
ถ้าไม่ใช่เพราะปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วของฟางจั๋วหราน ป่านนี้ซุนกุ้ยเซียงคงโดนชนกระเด็นไปกลางอากาศแล้ว
ใบหน้าหลินม่ายมืดดำเหมือนก้นหม้อ
เธอลงจากรถไปตำหนิอีกฝ่าย “ถ้ายังไม่อยากตายก็ถอยไปซะ! อย่ามาใช้มารยากระเบื้องลายครามแถวนี้!”
ซุนกุ้ยเซียงปรี่เข้ามาทันทีหมายจะตบตีหลินม่าย ปากก็พึมพำสาปแช่งไม่ยอมหยุด
“นังหมาป่าตาขาว แกรวยแล้วไม่ยอมจ่ายเงินช่วยเหลือครอบครัวตัวเองก็ไม่เป็นไร แต่พี่ชายกับพ่อของแกอุตส่าห์จะทำงานปลูกผักเรือนกระจกให้แกแท้ ๆ แกยังเลือกปฏิบัติไม่ยอมจ้างพวกเขา แกนี่มันเลี้ยงไม่เชื่องจริง ๆ! กล้าดียังไงถึงมาแช่งยายแก่อย่างฉันให้ตาย ยายแก่อย่างฉันนี่แหละจะตบแกให้ตายกันไปข้าง!”
เมื่อวานนี้ หลังจากที่หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานจากไป ชาวบ้านทั้งหมดก็ไปหาหัวหน้าหมู่บ้านสกุลหวังเพื่อขอลงทะเบียน เพราะต้องการทำงานปลูกผักเรือนกระจกให้หลินม่าย
ตอนนี้ชาวบ้านต่างว่างเว้นจากการทำนา ไม่มีงานเกษตรให้ทำมากนัก
ถ้าได้ทำงานให้หลินม่าย ทุกคนจะมีงานทำตั้งแต่เดือนนี้ไปจนถึงเดือนมีนาคมปีหน้า แถมยังได้รับค่าจ้างเป็นกอบเป็นกำอีกด้วย ใครบ้างจะไม่กระตือรือร้น?
ซุนกุ้ยเซียงและสามีของหล่อนก็สนใจด้วยเหมือนกัน
พวกเขาคิดคำนวณในใจ ตามหลักแล้วพวกเขาแทบไม่ต้องทำงานเลยด้วยซ้ำ แต่กลับได้รับเงินมาแบบง่าย ๆ
ในฐานะที่พวกเขาเป็นพ่อแม่ของหลินม่าย นั่นหมายความว่าผู้ที่เป็นพ่อแม่ของนายจ้างทุกคนย่อมได้รับสิทธิพิเศษ
ทว่าหัวหน้าหมู่บ้านกลับไม่ยอมรับลงทะเบียนให้พวกเขาด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาจะหาเงินมาจากไหนกันล่ะ
ด้วยเหตุนี้นางจึงไปดักรออยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้านตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อหลินม่าย
ฟางจั๋วหรานที่ลงจากรถตามหลินม่ายตั้งแต่เมื่อครู่นี้ เมื่อเห็นว่าซุนกุ้ยเซียงตามรังควานหลินม่ายอย่างไม่รู้จบ เขาก็ไม่สนว่าแล้วซุนกุ้ยเซียงจะเป็นแม่บังเกิดเกล้าของหลินม่าย วาดลำแข้งเตะนางออกไปทันที
ซุนกุ้ยเซียงล้มกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ ร้องตะโกนลั่น “ทำร้ายคน! ศาสตราจารย์ทำร้ายคนแล้ว!”
หลินเจี้ยนกั๋วกระโดดออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ผสมโรงตะโกนด้วยว่า “ทำร้ายคน ผู้ชายคนนี้กำลังจะฆ่าคนแล้ว!”
ทั้งคู่เอะอะโวยวายเสียงดัง ทำให้ชาวบ้านจำนวนมากต่างแห่กันไปดูเหตุการณ์ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน
เมื่อหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาเห็นว่าชาวบ้านหลายคนต่างกรูกันมาทางนี้ พวกเขาก็ยิ่งตั้งข้อกล่าวหารุนแรงมากขึ้น กัดฟางจั๋วหรานไม่ยอมปล่อยว่าเขากำลังทำร้ายคน
หลินม่ายกลัวว่าฟางจั๋วหรานจะซื่อตรงเกินไป ไม่แน่ว่าเขาอาจยอมรับว่าตัวเองลงมือกับอีกฝ่ายจริง ๆ
เพื่อจัดการกับเศษสวะพรรค์นี้ เธอไม่สามารถใช้วิธีอย่างปกติชนได้
เธอรีบพูดขึ้นมาว่า “ฉันว่านะ พวกคุณสองคนหน้าไม่มียางอายเลยหรือยังไง? เมื่อวานคุณแบกหน้ามาขอเงินจากฉันแต่ไม่สำเร็จ วันนี้ยังคิดจะมาข่มขู่ฉันอีกเนี่ยนะ? ถ้าไม่พอใจนักก็มาหาเรื่องฉันสิ ไปหาเรื่องคู่หมั้นของฉันทำไม?”
ซุนกุ้ยเซียงและสามีของหล่อนร้องขอเงินจากหลินม่าย แถมยังขอตั้งห้าพันหยวน เมื่อวานนี้ชาวบ้านหลายคนต่างก็เห็นกันทั่ว
ดังนั้นทุกคนจึงเชื่อในสิ่งที่หลินม่ายพูด พากันประณามหลินเจี้ยนกั๋วกับภรรยาด้วยถ้อยคำรุนแรง
บ้างด่าทอว่าพวกเขาไร้ยางอายถึงขั้นวางแผนข่มขู่ลูกสาวตัวเอง บ้างก็บอกว่าพวกเขาไร้มนุษยธรรมสิ้นดี
ทั้งคู่แทบอกแตกตายด้วยความคับแค้น
ซุนกุ้ยเซียงไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น รีบถลกเสื้อผ้าตัวเองขึ้น เผยให้เห็นรอยช้ำที่หน้าท้องของตัวเอง “ทุกคนเห็นไหม นี่คือรอยเตะของคนแซ่ฟาง ฉันไม่ได้โกหก พวกเขาต่างหากที่โกหก!”
ชาวบ้านที่พากันด่าทอหล่อนกับสามีเมื่อครู่ต่างเงียบเสียงลง
ถ้าร่องรอยความบาดเจ็บนี้เกิดขึ้นจากแรงเตะของศาสตราจารย์ฟางจริง ๆ ก็ถือว่าเกินกว่าเหตุไปหน่อย
ไม่ว่าซุนกุ้ยเซียงจะร้ายกาจแค่ไหน นางก็เป็นถึงว่าที่แม่ยายของเขา ลูกเขยจะทุบตีแม่ยายได้อย่างไร
ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าตำหนิฟางจั๋วหรานเช่นกัน เพราะเขาเป็นคู่หมั้นของหลินม่าย และหลินม่ายก็เป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากทำอะไรผลีผลาม
หลินม่ายชำเลืองมองรอยช้ำบนหน้าท้องของซุนกุ้ยเซียงก่อนจะแค่นเสียงเบา ๆ “คุณนี่หน้าไม่อายจริง ๆ เลย ไม่มีใครเชื่อกลอุบายตื้น ๆ แบบนี้หรอก”
ทันทีที่ชาวบ้านได้ยินแบบนั้น พวกเขาต่างก็เบนเข็มกลับไปหาซุนกุ้ยเซียงและสามีของนางทันที บอกว่าพวกเขาน่ารังเกียจเกินไปแล้ว กล้าใส่ร้ายว่าศาสตราจารย์ฟางลงมือทำร้ายร่างกายตัวเอง
ซุนกุ้ยเซียงกับสามีแทบกระอักเลือดตายอีกครั้งด้วยความโกรธ
เมื่อเห็นว่าหลินเจี้ยนกั๋วไม่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของสาธารณชนให้ไปประณามหลินม่ายและฟางจั๋วหรานได้ นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันไปพูดกับหลินสงผู้เป็นลูกชายซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน “แกไปแจ้งความที่โรงพักข้อหาอาชญากรรมเดี๋ยวนี้ บอกสหายตำรวจว่าแม่ของแกโดนคนทุบตี แล้วเรียกพวกเขามาสอบสวน ฉันไม่เชื่อหรอกว่าตำรวจจะจัดการเรื่องนี้ไม่ได้!”
หลินสงยืนนิ่ง
ข้อแรก ภรรยาของเขาไม่อนุญาตให้เขาเข้าไปแทรกแซงข้อพิพาทระหว่างพ่อแม่ของเขากับหลินม่าย ข้อที่สอง เขารู้ดีแก่ใจว่าพ่อแม่ตัวเองกำลังใช้อุบายเพื่อใส่ร้ายศาสตราจารย์ฟาง
ศาสตราจารย์ฟางดูเป็นคนอ่อนโยนและใจดี ดูไม่เหมือนคนที่ชอบใช้ความรุนแรงเลยสักนิด
ถ้าเขาวิ่งโร่ไปแจ้งตำรวจ แล้วโดนข้อหาแจ้งความเท็จขึ้นมา ตำรวจต้องสั่งภาคทัณฑ์เขาแน่ ๆ
เมื่อเห็นว่าลูกชายยืนนิ่งไม่ไหวติง หลินเจี้ยนกั๋วก็โกรธจัด ถึงกับถอดรองเท้าข้างหนึ่งออกแล้วปรี่เข้าไปทุบตีเขา “ฉันสั่งให้แกไปแจ้งความ แต่แกกลับไม่ยอมไป ถ้าฉันหวังให้แกมาดูแลฉันในยามแก่เฒ่า แกไม่ปล่อยให้ฉันอดตายเชียวเหรอ ฉันจะฆ่าแกเดี๋ยวนี้ ไอ้ลูกอกตัญญู!”
ก่อนที่รองเท้าของเขาจะหวดลงมาปะทะร่างหลินสง เติ้งซิ่วจือก็รีบออกไปขวางสามีไว้ แบกรับความเจ็บปวดแทนสามีเต็ม ๆ
เมื่อเห็นว่าตัวเองเผลอทุบตีลูกสะใภ้โดยไม่ได้ตั้งใจ หลินเจี้ยนกั๋วก็รู้สึกผิดเล็กน้อย พูดพึมพำว่า “เธอวิ่งออกมาขวางทำไม?”
เมื่อเห็นว่าภรรยาของตัวเองโดนทุบตี หลินสงก็เสียใจมาก หันไปตำหนิผู้เป็นพ่อ “ต่อให้หล่อนจะวิ่งออกมาขวาง พ่อก็ไม่ควรทุบตีหล่อนหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นว่าลูกชายปกป้องภรรยาอย่างออกนอกหน้า หลินเจี้ยนกั๋วก็ถลึงตาใส่ด้วยความขุ่นเคือง
เติ้งซิ่วจือพูดขึ้นบ้าง “ที่ฉันวิ่งออกมา ก็เพราะต้องการบอกให้ทุกคนรู้ว่าแม่สามีฉันเป็นฝ่ายเล่นแง่ใส่ร้ายศาสตราจารย์ฟางต่างหาก”
ปอดของซุนกุ้ยเซียงแทบระเบิดออกเป็นเสี่ยง สาปแช่งด้วยความโมโห “ไร้สาระ!”
เติ้งซิ่วจื้อพูดอย่างจริงจัง “ฉันไม่ได้พูดไร้สาระ ฉันเห็นทุกอย่างกับตาของฉันเอง เมื่อกี้นี้คุณกระโจนออกไปขวางรถม่ายจื่อกับแฟนของหล่อน แล้วเรียกร้องเงินจากม่ายจื่ออีกหนึ่งหมื่นหยวนแต่ไม่สำเร็จ จากนั้นคุณก็แกล้งล้มลงไปนอนกับพื้น ศาสตราจารย์ฟางยังไม่ทันแตะต้องตัวคุณด้วยซ้ำ คุณจะได้รับบาดเจ็บได้ยังไงกัน? นี่ไม่ใช่ลูกไม้ตื้น ๆ ที่คุณสร้างขึ้นมาเองหรอกเหรอ?”
หลินม่ายมองไปทางเติ้งซิ่วจืออย่างใจเย็น
อีกฝ่ายถึงกับพูดโกหกเพื่อช่วยแก้ต่างให้พวกเขา จุดประสงค์ของหล่อนคืออะไรกัน?
เติ้งซิ่วจื่อไม่มีจุดประสงค์อื่นใด หล่อนทำไปแค่เพราะอยากกอดต้นขาทองคำของหลินม่ายเท่านั้น
ทันทีที่คำพูดของเติ้งซิ่วจือหลุดออกมา ทุกคนก็พากันด่าทอซุนกุ้ยเซียงกับสามีของนางอีกครั้ง
ไม่ว่าซุนกุ้ยเซียงและสามีจะพยายามพูดอะไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีใครเชื่อคำพูดของพวกเขาแม้แต่คนเดียว
ลูกสะใภ้พวกเขาถึงกับออกหน้าเป็นพยานขนาดนี้ แม้แต่ลูกชายแท้ ๆ ก็ไม่ยอมไปแจ้งความ นี่ก็สามารถอธิบายทุกอย่างได้แล้ว
หัวหน้าหมู่บ้านสกุลหวังรีบออกมาดูเหตุการณ์หลังจากได้ยินข่าว แล้วตักเตือนซุนกุ้ยเซียงกับสามีอย่างรุนแรง
จากนั้นเขาก็หันไปสั่งชาวบ้านทุกคน
เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นว่าพ่อแม่ของหลินม่ายมาสร้างปัญหาให้กับหลินม่ายอีก ให้พวกเขาจัดการห้ามปรามอีกฝ่ายได้ตามสมควร
ไม่อย่างนั้น ตราบใดที่หลินม่ายยังคงถูกพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองรังควานอยู่เนือง ๆ อาจทำให้เธอไม่อยากกลับมาที่หมู่บ้านสกุลหวังอีก ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจเลวร้ายกว่านั้น
ถ้าหลินม่ายไม่กลับมาเหยียบหมู่บ้านสกุลหวัง หมายความว่าชาวบ้านในหมู่บ้านสกุลหวังจะไม่ได้รับการส่งเสริมทางอาชีพจากเธออีกต่อไป
มีชาวบ้านคนไหนในหมู่บ้านสกุลหวังอยากให้เป็นแบบนั้นบ้าง?
ชาวบ้านหลายคนรีบวิ่งไปข้างหน้า จับตัวซุนกุ้ยเซียงและสามีโยนออกไปให้พ้นทางทันที
นอกจากนี้พวกเขายังรุมชี้หน้าด่าทั้งคู่ ข่มขู่ว่าจากนี้ถ้าตัวเองเห็นพวกเขาล่วงเกินหลินม่ายอีกรอบหนึ่งละก็ อย่าได้กล่าวโทษหากพวกเขาใช้กำลัง
ซุนกุ้ยเซียงและสามีถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานขึ้นไปนั่งในรถตามเดิม ขับรถเข้าไปในตัวหมู่บ้าน
เติ้งซิ่วจือนึกอยากเรียกหลินม่ายให้หยุด แต่หลังจากคิดทบทวนดูแล้วก็ล้มเลิกความคิดนั้นไปเสีย
หล่อนอยากโบกเรียกหลินม่ายให้จอด แล้วบอกจุดประสงค์ไปตรง ๆ ว่าอยากให้อีกฝ่ายรับตัวเองกับสามีเข้าทำงานปลูกผักเรือนกระจก
แต่เมื่อครู่นี้ตนเพิ่งจะออกหน้าแก้ต่างว่าซุนกุ้ยเซียงเล่นแง่ใส่ร้ายศาสตราจารย์ฟางไปหมาด ๆ ตอนนี้กลับขอร้องให้หลินม่ายรับพวกเขาสองสามีภรรยาเข้าทำงาน ถ้าชาวบ้านรู้เข้าจะคิดอย่างไร?
ทั้งหัวหน้าหมู่บ้านหวังจากหมู่บ้านสกุลหวัง และหัวหน้าหมู่บ้านหลี่จากหมู่บ้านของหลี่หมิงเฉิง ต่างก็ซื้อวัสดุอุปกรณ์สำหรับสร้างเรือนกระจกไว้ตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้ว
หลินม่ายขอความร่วมมือให้ผู้คนทั้งสองหมู่บ้านมารวมตัวกัน เพื่อสอนวิธีการสร้างเรือนกระจก
ขั้นตอนแรกต้องดัดกระบอกไม้ไผ่ให้มีลักษณะเป็นครึ่งวงกลม จากนั้นก็สร้างโครงต่อกันจนกลายเป็นหลังคาครึ่งวงกลมครอบเหนือแปลงผัก แล้วใช้แผ่นฟิล์มพลาสติกคลุมโครงไม้ไผ่ครึ่งวงกลมเอาไว้
สุดปลายด้านล่างของแผ่นฟิล์มต้องใช้ดินปิดให้สนิท ไม่ควรเหลือช่องว่างให้อากาศลอดผ่านเด็ดขาด มิฉะนั้นจะไม่สามารถรักษาอุณหภูมิเอาไว้ได้
เวลาเดินเข้าออกจากเรือนกระจกไม่ควรล่าช้าเกินไป เพราะอาจทำให้อากาศเย็นจากภายนอกแทรกผ่านเข้ามา จนทำให้อุณหภูมิภายในเรือนกระจกลดต่ำลง
หลินม่ายคอยแนะนำชายหนุ่มทั้งสี่คนระหว่างการสร้างเรือนกระจก พร้อมกับพูดคุยเกี่ยวกับข้อควรระวังไปด้วย
ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง โรงเรือนที่คลุมด้วยแผ่นฟิล์มพลาสติกก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ชาวบ้านโดยรอบต่างตกตะลึง
ในความคิดของพวกเขาตอนแรก เรือนกระจกดังกล่าวดูมีลักษณะลึกลับซับซ้อน ในเมื่อมันสามารถใช้ปลูกผักนอกฤดูได้ หมายความว่าต้องมีขั้นตอนการสร้างที่ยุ่งยากมากแน่นอน ไม่คาดคิดว่าจะสร้างขึ้นได้อย่างง่ายดายแบบนี้
หลังจากหลินม่ายสาธิตเสร็จ เธอก็ขอให้หัวหน้าหมู่บ้านพาชาวบ้านที่ได้รับการว่าจ้างมาเริ่มสร้างเรือนกระจกทันที
ทันใดนั้นเอง ชาวบ้านวัยสี่สิบเศษก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาด้วยความกระวนกระวาย หันไปหาฟางจั๋วหรานแล้วพูดด้วยความร้อนรนใจเป็นอย่างยิ่ง “คุณหมอฟาง วัวของลุงอาการแย่แล้ว หมอช่วยผ่าตัดทำคลอดลูกวัวออกมาจากท้องแม่วัวหน่อยได้ไหม?”
หลังจากที่คุณลุงพูดจบ เขาก็มองไปยังฟางจั๋วหรานด้วยแววตาคาดหวัง
หลินม่ายถึงกับสะดุ้ง “เอ่อ… คุณลุงคะ จั๋วหรานไม่ใช่สัตวแพทย์…”
ลุงพยักหน้าหงึกหงัก “ลุงรู้ว่าเขาไม่ใช่สัตวแพทย์ แต่เป็นศัลยแพทย์ เมื่อก่อนเมียลุงคลอดลูกเองไม่ได้ ลุงก็เลยพาหล่อนจึงไปโรงพยาบาลประจำเทศมณฑลเพื่อผ่าคลอด คุณหมอนำลูกออกมาจากท้องหล่อนได้สำเร็จ คุณหมอฟางใช้มีดผ่าตัดเป็นเหมือนกัน ลุงเลยคิดว่าเขาน่าจะผ่าเอาลูกวัวออกมาจากท้องแม่วัวได้ ได้โปรดช่วยวัวของลุงด้วยเถอะ มันเป็นสัตว์ที่มีค่าที่สุดสำหรับครอบครัวเรา”
ฟางจั๋วหรานเห็นว่าคุณลุงแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาอยู่แล้ว จึงตอบรับว่า “งั้นลุงช่วยพาผมไปดูหน่อยครับ”
คุณลุงดึงแขนเขาออกไปทันที พร้อมกับพูดพล่ามไปตลอดทาง “คุณหมอฟาง หมอต้องช่วยรักษาชีวิตทั้งแม่วัวและลูกวัวให้รอดทั้งคู่เลยนะ ถ้าตัวใดตัวหนึ่งตาย ครอบครัวลุงคงประสบความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง”
ฟางจั๋วหรานตอบกลับ “ผมจะพยายามให้เต็มที่”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อย่ามาหาเรื่องม่ายจื่ออีกนะ ไม่อย่างนั้นจะโดนชาวบ้านถวายยำพระบาทให้ทั้งหมู่บ้านแน่
ไหหม่า(海馬)