แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 557 ฟางจั๋วเยวี่ยมีเรื่องหนักใจ
ตอนที่ 557 ฟางจั๋วเยวี่ยมีเรื่องหนักใจ
เมื่อทุกคนมาถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็สอบปากคำเหตุการณ์
หม่าเทาบอกว่า ตั้งแต่เขาหย่ากับเถาจืออวิ๋นมา พ่อแม่ของเขาก็ไม่เคยได้เจอฉีฉีอีกเลย จึงคิดถึงมาก ดังนั้นจึงให้เขาไปขอร้องให้เถาจืออวิ๋นพาลูกมาเจอกันกับพวกเขาสักครั้ง
แต่เถาจืออวิ๋นก็ปฏิเสธคำขอของพ่อหม่าแม่หม่าด้วยเหตุผลที่ว่าเขาไม่เคยสนับสนุนค่าเลี้ยงดูเลยสักเฟินเดียว
แม่หม่านั้นล้มป่วยไปด้วยความคิดถึงหลาน
เขาถึงได้ยอมเสี่ยงเพราะเข้าตาจน วิ่งไปโรงเรียนอนุบาลอุ้มฉีฉีหนีไป
แม้หลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นจะรู้ว่าที่หม่าเทาพูดทั้งหมดล้วนเป็นคำโกหก แต่เจ้าหน้าที่สันติบาลนั้นไม่รู้
ด้วยเหตุนี้จึงตำหนิหม่าเทาอย่างรุนแรง แล้วปล่อยเขาไป
เขาเป็นพ่อแท้ๆ ของฉีฉี ต่อให้จะพาตัวฉีฉีไปเจอกับคุณปู่คุณย่าของเขาสักครั้งก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร
แต่หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นกลับโกรธสุดขีด
ครั้งนี้หม่าเทาหนีรอดจากบทลงโทษของสันติบาลไปได้ง่ายดายขนาดนี้ ภายหลังจะต้องคิดวางแผนอะไรกับฉีฉีอีกแน่
หลินม่ายกำชับเถาจืออวิ๋นให้ระมัดระวังขึ้นอีกหน่อย
ตอนที่เธอขี่จักรยานพาโต้วโต้วจากไป หม่าเทาก็เพ่งมองแผ่นหลังของเธอด้วยสีหน้าถมึงทึง
ครั้งก่อนที่แม่หม่าก่อเรื่องที่โรงพยาบาล ถูกขังอยู่ในสถานีตำรวจแค่สิบวันก็ถูกปล่อยออกมา
ทุกวันนี้ที่หม่าเทาทั้งครอบครัวยังสามารถอยู่ที่เมืองเจียงได้ ล้วนต้องพึ่งพาเงินสิบกว่าหยวนที่พี่สาวทั้งสองคนที่แต่งออกไปแล้วส่งมาให้
ได้ใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ในเมืองมาจนเคยตัว ไม่ว่าอย่างไรครอบครัวสามคนของหม่าเทาก็ไม่ยอมกลับไปอยู่ชนบท
พ่อหม่าแม่หม่าต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอให้หม่าเทาไปโรงเรียนอนุบาลในวันนี้เพื่อแย่งฉีฉีกลับมาให้ได้
ขอเพียงฉีฉีอยู่ในมือของพวกเขา เถาจืออวิ๋นก็จะกลายเป็นกระปุกเงินที่ไม่มีวันหมดของพวกเขา
คนแก่ทั้งสองนั่งอยู่ในห้องเช่าโกโรโกโส รอให้หม่าเทาพาฉีฉีกลับบ้านมาอย่างมีความสุข
แต่กลับนึกไม่ถึงว่าหม่าเทาที่เฝ้ารออยู่นั้นจะกลับมามือเปล่าด้วยใบหน้าฟกช้ำดำเขียว
แม่หม่าถามอย่างตื่นตระหนก “ทำไมแกถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?”
หม่าเทาเล่าเรื่องที่ประสบพบเจอมาให้พวกเขาฟังอย่างหงุดหงิด
เขาทุบกำปั้นลงบนโต๊ะอาหารและพูดอย่างคับแค้น “ถ้าไม่ใช่เพราะนังเวรสกุลหลินนั่นมาชนผมล่ะก็ ผมคงพาฉีฉีกลับมาได้แน่”
ความจริงแล้วแม้หลินม่ายไม่ได้ลงมือ เขาก็ไม่สามารถพาฉีฉีกลับมาได้อยู่ดี รปภ.ของโรงเรียนอนุบาลไม่ได้กระจอกขนาดนั้นเสียหน่อย
แต่เขาจำเป็นต้องดึงใครสักคนมารับผิดแทน เพื่อแสดงว่าเขาไม่ใช่ขยะไม่ได้เรื่อง
คนคนนี้เป็นได้เพียงหลินม่ายเท่านั้น ใครใช้ให้เธอชอบมาทำให้ตนเสียเรื่องกันล่ะ!
พ่อหม่าแม่หม่าได้ยินดังนั้น ทั้งหมดก็ด่าทอต่อว่าหลินม่ายเป็นหมาอยากจับหนูยุ่งไม่เข้าเรื่อง และยังถามหม่าเทาว่า ต่อจากนี้จะทำอย่างไร?
หม่าเทาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “ไม่ให้ผมไปเอาตัวฉีฉีที่โรงเรียนอนุบาล แล้วผมจะหมดหนทางจะเอาตัวฉีฉีไปแล้วงั้นเหรอ? นังสารเลวสองคนนั่นคิดง่ายเกินไปแล้ว!”
……
ตอนที่หลินม่ายพาโต้วโต้วกลับมาถึงบ้าน ก็เป็นเวลาเกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว
ในฤดูหนาวฟ้ามืดเร็ว ในยามนี้จึงมืดสนิทไปนานแล้ว ไฟถนนสลัวๆ บนถนนใหญ่ล้วนสว่างขึ้นมา
สองแม่ลูกยังไม่ทันถึงหน้าประตูวิลล่า อาหวงก็เห่าโฮ่งๆๆ พร้อมกับวิ่งนำออกมาก่อนแล้ว
คุณปู่คุณย่าฟางเองก็เดินออกมาจากในบ้านด้วยเช่นกัน
คุณย่าฟางเอ่ยถามขึ้นแต่ไกล “ม่ายจื่อ ทำไมดึกขนาดนี้เพิ่งกลับมาล่ะ?”
หลินม่ายอุ้มโต้วโต้วลงจากจักรยานแล้วเล่าต้นสายปลายเหตุให้ผู้อาวุโสทั้งสองฟัง
คุณปู่ฟางหัวเราะลั่นแล้วพูด “หลานนี่โชคร้ายเสียจริง แค่ไปรับลูกก็ยังเกิดเรื่องไม่คาดฝันมากมายขนาดนี้”
คนหนึ่งกลุ่มบวกหมาหนึ่งตัวเดินเข้าไปในบ้าน
หลินม่ายเห็นฟางจั๋วหรานไม่อยู่ มีแต่ที่ฟางจั๋วเยวี่ยกำลังนั่งดัดแปลงรถของเล่นที่ไม่ได้ใช้ไฟฟ้าคันหนึ่งให้กลายเป็นรถไฟฟ้าอยู่
เขาทำงานนี้ เพราะมีครั้งหนึ่งคุณย่าฟางสองผู้อาวุโสไปรับโต้วโต้วที่โรงเรียนอนุบาล ได้ยินพ่อเถาแม่เถาบอกว่า โทรทัศน์ที่บ้านพวกเขาเสียแล้ว คุณย่าฟางจึงจัดการให้ไปซ่อมให้เขาถึงบ้าน
เขาเจอกับฉีฉีที่บ้านพ่อเถาแม่เถาโดยบังเอิญ
ฉีฉีเห็นเขาซ่อมโทรทัศน์ของบ้านคุณตาของเขาได้อย่างรวดเร็วง่ายดาย ก็รู้สึกชื่นชมอย่างท่วมท้น
จึงหยิบรถยนต์ของเล่นที่ทำได้เพียงใช้มือไถลล้อไปกับพื้นคันหนึ่งของตัวเองออกมาถามเขา ว่าสามารถเปลี่ยนรถของเล่นของเขาให้เป็นรถไฟฟ้าได้ไหม
ฟางจั๋วเยวี่ยรู้ดีว่า นี่เป็นการหาเรื่องให้ตัวเองโดยใช่เหตุ แต่ก็กลับยังตอบตกลงไปแบบปากอย่างใจอย่าง
เฮ้อ อยากจะตัดขาดการติดต่อกับพี่เถาอย่างสิ้นเชิง แต่ก็เด็ดบัวเหลือใยอยู่เรื่อย ฟางจั๋วเยวี่ยนั้นรู้สึกทุกข์ใจอย่างมาก
หลินม่ายถาม “พี่ชายคุณล่ะ?”
ฟางจั๋วเยวี่ยติดตั้งแบตเตอรี่ในรถของเล่นที่เพิ่งดัดแปลงเสร็จ กดสวิตช์ แล้วรถของเล่นก็เริ่มวิ่งไปบนโต๊ะกาแฟ
ลามไปถึงโต้วโต้วที่หัวเราะร่าพร้อมวิ่งเข้าไปหยิบรถยนต์ของเล่นคันนั้นขึ้นมาเล่น
ฟางจั๋วเยวี่ยเงยหน้าขึ้นพูดกับหลินม่าย “พี่ชายผมเห็นว่าดึกขนาดนี้แล้วคุณกับโต้วโต้วยังไม่กลับมา เลยออกไปรับพวกคุณที่โรงเรียนอนุบาลแล้ว”
หลินม่ายได้ยินดังนั้น ก็วิ่งไปที่ข้างหน้าต่างมองออกไปข้างนอก
เตาผิงในห้องนั่งเล่นติดไฟเอาไว้ ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่จึงอบอุ่น
คุณย่าฟางพูดขึ้นด้านหลังเธอ “เข้ามาผิงไฟเถอะจ้ะ ขี่จักรยานมาคงหนาวแน่แล้ว ไม่ต้องห่วงจั๋วหรานหรอก เขาไม่เห็นเธอกับโต้วโต้ว ก็ต้องกลับมาอยู่แล้ว”
ผ่านไปประมาณ 15 นาที ฟางจั๋วหรานก็กลับมา
ทันทีที่เข้ามาเขาก็ถามหลินม่ายแม่ลูกว่ากลับมาตอนไหน
หลินม่ายตอบ “ก่อนคุณจะกลับมา 15 นาทีค่ะ”
ฟางจั๋วหรานไปล้างมือในห้องน้ำ และเตรียมจะกินข้าว แล้วจึงถามเธอสองแม่ลูกถึงเห็นเหตุผลที่กลับมาช้าขนาดนี้
หลินม่ายบอกเรื่องที่เคยเล่าให้คุณปู่คุณย่าฟางฟังแล้วให้กับเขาอีกรอบหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ตอนที่หลินม่ายพูดเรื่องพวกนี้เธออยู่ข้างนอก ฟางจั๋วเยวี่ยจึงไม่ได้ฟังด้วย
ตอนนี้ได้ยินแล้ว ก็ถามขึ้นมาอย่างอดกลั้นความเป็นห่วงไว้ไม่ได้ “ฉีฉีไม่เป็นไรใช่ไหม ไม่ได้ล้มถลอกปอกเปิกใช่ไหม”
หลินม่ายส่ายหน้าพูด “ฤดูหนาวหิมะตกหนัก แถมใส่เสื้อผ้าอย่างกับก้อนสำลี จะล้มบาดเจ็บได้ยังไง!”
คุณปู่ฟางคุณย่าฟางนั้นยกอาหารขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้ว และเรียกให้ทุกคนมากินด้วยกัน
ทุกคนกินข้าวกันพร้อมหน้า
โต้วโต้วอยากกินหมูผัดถั่วลันเตา และกับข้าวจานนั้นก็อยู่ใกล้กับฟางจั๋วเยวี่ยมากที่สุด
เธอเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว “อาเล็กคะ หนูอยากกินหมูผัดถั่วลันเตา”
แต่ฟางจั๋วเยวี่ยกลับไม่สนใจฟัง
คุณย่าฟางใช้ตะเกียบเคาะจานหมูผัดถั่วลันเตาจานนั้นเบาๆ “โต้วโต้วอยากกินหมูผัดถั่วลันเตา ทำไมหลานไม่ขยับเล่า?”
เมื่อนั้นฟางจั๋วเยวี่ยถึงราวกับตื่นจากภวังค์ เขายกหมูผัดถั่วลันเตาจานนั้นขึ้น แล้วเทลงให้ถ้วยเล็กโต้วโต้วเล็กน้อย จากนั้นจึงวางลง
เขากลัวเผ็ด แต่ตะเกียบกลับยื่นไปคีบพริกชี้ฟ้าลายเสือที่ใช้พริกในภูเขามาย่าง แล้วเอาเข้าปากคำหนึ่ง
หลังจากเคี้ยวไปสองสามครั้ง ก็เผ็ดจนกระโดดเต้นแร้งเต้นกา
คุณปู่คุณย่าฟางมองเขาอย่างหมดคำจะพูด “กินเผ็ดไม่ได้ ก็ยังจะกินพริกชี้ฟ้าลายเสืออีก!”
ฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายเหลือบมองฟางจั๋วเยวี่ยอย่างแปลกประหลาดเล็กน้อย
เจ้าหมอนี่ไม่รู้ว่าไปเจอเรื่องอะไรมา ถึงได้กินข้าวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้
กินข้าวเสร็จ หลังจากเก็บถ้วยล้างชามแล้ว หลินม่ายก็เอาของขวัญที่ซื้อมาจากอเมริกามอบให้ฟางจั๋วเยวี่ยและโต้วโต้ว
โต้วโต้วได้รับกล่องดนตรีกล่องหนึ่งและตุ๊กตาพูดได้อีกตัวหนึ่ง หล่อนดีอกดีใจแทบไม่ไหว
ฟางจั๋วเยวี่ยได้รับเครื่องบันทึกเทปขนาดเล็กและนาฬิกาแบรนด์เนมเรือนหนึ่ง แต่กลับเอ่ยขอบคุณออกมาอย่างไร้ความจริงใจ
หลินม่ายเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพียงแค่รู้สึกว่าเย็นวันนี้ผิดปกติเป็นพิเศษ
หลังจากแจกของขวัญแล้ว เธอก็ขึ้นชั้นบนไปเรียนหนังสือ
ยังเรียนไปได้ไม่เท่าไหร่ ฟางจั๋วเยวี่ยก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา
หลินม่ายวางปากกาในมือลง แล้วถาม “มีอะไรเหรอ?”
ใบหน้าของฟางจั๋วเยวี่ยแดงเหมือนกับมะเขือเทศ เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง แล้วพูดอย่างเขินอาย “พี่สะใภ้ คุณแนะนำเพื่อนผู้หญิงให้ผมสักคนได้ไหมครับ?”
หลินม่ายอึ้งไปเล็กน้อย เธอยิ้มออกมาโดยทันที “อยากจะมีความรักเหรอ?”
ฟางจั๋วเยวี่ยพยักหน้าด้วยความเขินอายอย่างเห็นได้ยาก
คิดในใจ ถ้าเขายังไม่หาผู้หญิงมาเป็นแฟนสักคน ทั้งหัวสมองเขาคงจะมีแต่เงาร่างของเถาจืออวิ๋นแน่
เขาไม่เชื่อหรอกว่าชายหนุ่มอย่างตนจะเกิดความรักกับเถาจืออวิ๋นขึ้นมาได้
เขาสงสัยว่าตัวเองคงขาดความอบอุ่นจากแม่ ดังนั้นจึงเกิดความรู้สึกดีๆ กับเถาจืออวิ๋นขึ้นมา
นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว เป็นเรื่องผิดปกติ เขาจะต้องทำให้ตัวเองกลับมาเป็นปกติ
หลินม่ายครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ผู้หญิงดีๆ ที่ฉันรู้จักก็มีเคอจื่อฉิงกับหนิวลี่ลี่ คุณคิดว่าคนไหนเหมาะสมกับคุณล่ะ?”
ฟางจั๋วเยวี่ยถามอย่างกระวนกระวาย “ไม่มีคนที่สามให้เลือกหรอกเหรอ?”
ผู้หญิงสองคนนี้เขาไม่ได้ชอบเลยสักคน
เคอจื่อฉิงต่อสู้เก่งเกินไป เขากลับว่าคบกับเธอแล้วจะมีแต่ถูกตี
หนิวลี่ลี่ก็ชอบแย่งอาหารเขาตลอด คงทำให้เขาสูญเสียความสุขในชีวิตไปมาก
หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่มี~”
ฟางจั๋วเยวี่ยนิ่งคิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนพูดอย่างไม่เต็มใจ “งั้นหนิวลี่ลี่ก็แล้วกัน”
หนิวลี่ลี่กับเขากินเก่งเหมือนกัน ต่อไปซื้อของอร่อยมาก็ซื้อเพิ่มขึ้นอีกสักชุดก็ได้แล้ว ขัดแย้งกันก็ยังสามารถคลี่คลายได้
แต่สาวสวยป่าเถื่อนอย่างเคอจื่อฉิงนั้นเกินวาสนาจะเสวยสุขจริงๆ
หลินม่ายพยักหน้า “งั้นอีกสองสามวันฉันจะถามหนิวลี่ลี่ ว่าหล่อนอยากจะทำความรู้จักกับคุณไหม”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หม่าเทานี่ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหมเนี่ย ตามรังควาญเขาไม่จบไม่สิ้นเลย
จั๋วเยวี่ยหนักใจเรื่องความรักนี่เอง การรู้สึกชอบใครสักคนมันไม่แปลกหรอกค่ะ
ไหหม่า(海馬)