แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 571 ประชุมก่อนสิ้นปี
ตอนที่ 571 ประชุมก่อนสิ้นปี
อู๋เสี่ยวเถาต่อรองอย่างกล้าหาญ “ถ้าฉันยอมสารภาพความจริงทั้งหมด พี่จะยอมปล่อยฉันไปไหม?”
หลินม่ายชำเลืองมองหล่อน “แน่นอน”
ดวงตาอู๋เสี่ยวเถากลอกกลิ้งไปมา หลงเหลือเพียงความซื่อสัตย์ ยอมสารภาพด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
หล่อนอ้างว่าตัวเองจ้างนักเลงให้มาพ่นสีแดงและเขียนคำแช่งตัวใหญ่ที่ประตูโรงงานจริง แต่ทั้งหมดเป็นเพราะถูกอาเขยยุยงมาอีกที
หลินม่ายถามกลับ “อาเขยเธอเป็นใคร?”
อู๋เสี่ยวเถาตอบติด ๆ ขัด ๆ “เขา… เขาเป็นสามีของอู๋ซู่เฟิน แม่บ้านที่ถูกตัดสินจำคุกโทษฐานลักขโมยของในโรงงาน”
เมื่อชาติที่แล้วหลินม่ายไม่ค่อยได้ติดต่อกับญาติฝั่งตระกูลอู๋สักเท่าไร อีกทั้งอู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็ไม่เคยเล่าให้เธอฟังว่าเขามีญาติห่าง ๆ คนไหนบ้าง เธอรู้จักแค่ญาติสนิทของครอบครัวเขาแค่ไม่กี่คน
ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างประหลาดใจเมื่อได้ยินว่าอู๋ซู่เฟินก็เป็นญาติห่าง ๆ ของอู๋เสี่ยวเถา
เธอค่อนแขวะเย้ยหยันทันที “คนประเภทเดียวกันถึงอยู่ด้วยกันได้สินะ? คนตระกูลอู๋ของเธอคงถ่ายทอดความเลวกันทางพันธุกรรมกระมัง ไม่มีใครเลยที่เป็นคนดี”
อู๋เสี่ยวเถาโดนกระทบกระเทียบอย่างแรง แต่หล่อนกลับไม่แสดงท่าทีโกรธเคืองเลย
ตราบใดที่หลินม่ายเชื่อว่าอาเขยของหล่อนเป็นคนอยู่เบื้องหลัง ด้วยนิสัยของหลินม่าย เธอต้องตามไปล้างแค้นอาเขยของหล่อนอย่างแน่นอน
ส่วนอาเขยของหล่อนก็คงไม่นั่งอยู่เฉย ๆ รอคอยความตายคืบเข้ามาหา ทีนี้พอพวกเขาสองคนฉีกหน้ากันไปมา เป้าหมายของหล่อนในการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียวก็จะสำเร็จ
ในขณะที่หล่อนกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ภายในใจ หลินม่ายก็หันไปพูดกับติงไห่เฟิง “พาตัวยัยลูกหมานี่ไปหาอาเขยของหล่อนซะ อย่าลืมบอกอาเขยหล่อนด้วยล่ะว่าหล่อนทรยศเขายังไงบ้าง”
อู๋เสี่ยวเถาตกใจสุดขีดจนลืมทุกสิ่งอย่าง “พี่สัญญากับฉันแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าฉันสารภาพทุกอย่าง พี่จะยอมปล่อยฉันไป?”
หลินม่ายแสยะยิ้มดูถูก “แล้วคนอย่างเธอคู่ควรกับคำสัญญาของฉันหรือเปล่าล่ะ?”
ติงไห่เฟิงพาตัวอู๋เสี่ยวเถาไปที่บ้านของอู๋ซู่เฟินพร้อมกับสหายน้องชายอีกสองคน จากนั้นก็แจ้งให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวของอู๋ซู่เฟินรู้ว่าอู๋เสี่ยวเถาทรยศอาเขยตัวเองอย่างไร
อาเขยของอู๋เสี่ยวเถาโกรธมากจนอกแทบระเบิด เขาบอกติงไห่เฟิงว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนสั่งให้อู๋เสี่ยวเถาไปจ้างคนมาพ่นสีแดงและเขียนคำแช่งตัวใหญ่ที่ประตูโรงงานตัดเสื้อจิ่นซิ่ว เป็นอู๋เสี่ยวเถาต่างหากที่ใส่ร้ายเขา
ติงไห่เฟิงพูดยิ้ม ๆ “ถ้าอย่างนั้นคุณกับหลานสาวก็ไปไกล่เกลี่ยกันเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา” หลังจากพูดจบเขาก็เดินจากไป
หลินม่ายขอให้เขาส่งตัวอู๋เสี่ยวเถากลับไปให้อาเขยของหล่อน ก็เพราะอยากให้สุนัขหันมาแว้งกัดกันเอง ส่วนเธอจะรอดูหมากัดกันอยู่ห่าง ๆ
ติงไห่เฟิงและคนอื่น ๆ เดินจากไปไกล ปล่อยให้อาเขยของอู๋เสี่ยวเถาปิดประตูตีแมวอยู่ข้างหลัง พวกเขาทุบตีอู๋เสี่ยวเถาอย่างรุนแรง พร้อมกับโยนสัมภาระทั้งหมดของหล่อนออกไปจากตัวบ้าน
แค่นั้นยังไม่หนำใจ เขาปล่อยข่าวลือว่าอู๋เสี่ยวเถาไม่ใช่หญิงสาวใสซื่อมือสะอาด หลอกล่อผู้ชายมาแล้วนับไม่ถ้วน
ข่าวลือเหล่านี้ไปถึงหูนายจ้างของอู๋เสี่ยวเถาและภรรยาของเขาอย่างรวดเร็ว
ฝ่ายชายไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ฝ่ายหญิงกลับมองเห็นหล่อนเป็นศัตรู จึงไล่อู๋เสี่ยวเถาให้ออกจากงานไปทันที
อู๋เสี่ยวเถาต้องเดินร่อนเร่ไปตามถนนเหมือนสุนัขจรจัด เตร็ดเตร่อยู่ข้างทางเป็นเวลานาน
ท้ายที่สุดพอเสบียงสำหรับยังชีพไม่หลงเหลืออีกต่อไป หล่อนจึงต้องแบกหน้ากลับไปชนบทอย่างไม่มีทางเลือก
ก่อนวันขึ้นปีใหม่ หลินม่ายได้เรียกประชุมสรุปงานช่วงสิ้นปี
ในการประชุมครั้งนี้ เธอเชิญโจวฉายอวิ๋นและหลี่หมิงเฉิงให้เข้าร่วมเป็นพิเศษ
โจวฉายอวิ๋นและหลี่หมิงเฉิงเดินเข้าไปนั่งข้างกัน พร้อมกันนั้นก็กระซิบกระซาบไปด้วยว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมการประชุมแบบนี้ด้วยซ้ำ แล้วหลินม่ายเรียกพวกเขามาทำไม?
เมื่อถึงเวลานัดหมาย หลินม่ายก็เดินเข้ามาในห้อง
เธอหันไปพูดประโยคแรกกับเฉินเฟิง บอกเขาว่าวันนี้อย่ารีบร้อนกลับไปก่อน
หลังจากนั้น ทุกคนก็รายงานเกี่ยวกับงานที่ตัวเองรับผิดชอบตามปกติ
เฉินเฟิงรายงานความคืบหน้าของแต่ละโครงการอย่างรวบรัดภายในไม่กี่ประโยค
หลินม่ายถาม “ชาวบ้านที่ถูกรื้อถอนจากหมู่บ้านซั่งเฉวียนพอใจบ้านหลังใหม่หรือเปล่า?”
“พวกเขาต้องพอใจแน่อยู่แล้ว ทางเราจัดหาที่อยู่ใหม่ให้ แถมยังรับผิดชอบด้านการขนย้ายด้วย พวกเขาจะยังจู้จี้จุกจิกอะไรอีก”
หลินม่ายถามต่อ “มีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบบ้างไหม?”
“มีสิ เมื่อวานนี้คณะกรรมการพรรคของเทศมณฑลลงพื้นที่มาตรวจสอบ พวกเขาต่างก็ชื่นชมการทำงานของเรา”
หลินม่ายพยักหน้าด้วยความโล่งใจ ตราบใดที่คณะกรรมการพรรคของเทศมณฑลพึงพอใจ นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถดีลโครงการก่อสร้างของรัฐได้อีกในอนาคต
เขตชุมชนบนถนนชิงเหนียนไม่ได้มีแค่อาคารหนึ่งถึงสองตึกที่ชาวบ้านเหล่านั้นเพิ่งย้ายเข้าไปอาศัยอยู่ ยังมีอาคารชุดอีกหลายตึกที่ต้องขายเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อการพาณิชย์
หลินม่ายจึงถามเรื่องการขายอาคารชุด
เฉินเฟิงส่ายหน้า “มีคนแวะมาดูบ้าง แต่ยังไม่มีใครตัดสินใจซื้อ”
หลินม่ายเคาะโต๊ะสองสามครั้ง “หรือว่าเรายังประชาสัมพันธ์ไม่มากพอ?”
เธอหันหน้าไปหาซุนอวิ้นหงแล้วมอบหมายงาน “คุณคงต้องทำงานร่วมกับคุณเฉินในการทำโฆษณาแล้วล่ะ”
ซุนอวิ้นหงพยักหน้าแล้วพูดว่า “แต่ฉันคิดว่าต่อให้เราจะประชาสัมพันธ์กันอย่างหนักแค่ไหน ก็คงไม่ส่งผลเท่าไหร่นักหรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะ?” หลินม่ายถาม
“คุณลองคิดดูสิคะ หน่วยงานของรัฐที่ไหนไม่มอบสวัสดิการที่อยู่อาศัยให้พนักงานของพวกเขา แถมที่อยู่ที่พวกเขาจัดสรรให้ก็ไม่ต้องเสียเงินเช่าซื้อ ผู้ที่ได้รับสวัสดิการบ้านพักจากหน่วยงานคนไหนจะยอมควักเงินซื้อบ้าง? นอกจากนี้ ห้องชุดขนาดหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่นที่เล็กที่สุดของเรายังมีราคาถึงสามพันหยวน จะมีสักกี่ครอบครัวที่สามารถซื้อห้องชุดด้วยเงินสามพันหยวนได้?”
ทันทีที่เธอเสนอความคิดเห็นแบบนั้นออกมา หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติงานหลายคนต่างก็พยักหน้า เพราะสิ่งที่หล่อนพูดมาก็มีเหตุผล
หลินม่ายพยักหน้า “หลักการวิเคราะห์ของคุณถูกต้อง แต่คุณคงลืมพิจารณาไปว่าห้องชุดหลายแห่งแออัดยัดเยียดแค่ไหน คุณไปดูสถิติได้เลย แปดสิบเปอร์เซ็นต์จากพนักงานรัฐทั้งหมดได้รับสวัสดิการห้องพักกันคนละหนึ่งห้อง แต่ห้องเล็ก ๆ นั้นกลับอาศัยอยู่กันทั้งครอบครัว แค่ขยับตัวยังลำบาก คนเหล่านี้จะไม่อยากซื้อบ้านเพื่อพัฒนาคุณภาพที่อยู่อาศัยของตัวเองเชียวเหรอ? ต่อให้หน่วยงานจะจัดสรรบ้านเป็นหลังให้ แต่ใช่ว่าจะทุกคนจะได้มาง่าย ๆ ซะเมื่อไหร่? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพนักงานอาวุโสหลายคนที่อายุเกินสามสิบแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรแม้แต่ห้องพัก คนประเภทนี้หรือจะไม่อยากซื้อบ้าน?”
จากนั้น เธอก็หยิบยกกรณีตัวอย่างทางการตลาดอันแสนคลาสสิกจากชาติที่แล้วมาเล่า
บริษัทหนึ่งมอบหมายให้พนักงานขายสองคนเดินทางไปยังเกาะเขตร้อนเพื่อขายรองเท้าพร้อมกัน
พนักงานขายคนหนึ่งเห็นสถานการณ์ในท้องถิ่นแล้ว ก็ย้อนกลับมาที่บริษัทด้วยความสลดใจ
หัวหน้ารีบถามเขาทันทีว่าทำไมถึงได้กลับมาเร็วนัก
พนักงานขายคนนั้นตอบว่าชาวบ้านที่นั่นเดินเท้าเปล่ากันหมด ไม่สวมรองเท้า จึงตีตลาดขายรองเท้าไม่ได้
แต่พนักงานขายอีกคนกลับส่งโทรเลขมาหาหัวหน้าของตัวเองทันที รายงานด้วยความปลาบปลื้มว่า ชาวบ้านที่นี่ไม่สวมรองเท้ากันเลยสักคน ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่
ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปี ชาวบ้านเกือบทุกคนที่นั่นต่างก็สวมใส่รองเท้าที่พนักงานคนนั้นหอบไปเสนอขาย
หลังจากเล่าเรื่องแล้ว หลินม่ายก็กวาดสายตามองทุกคน “จากกรณีนี้แสดงให้เห็นอะไร?”
ทุกคนรีบตอบ “เราจะต้องมีสายตาที่เฉียบแหลมถึงจะสามารถเจาะกลุ่มตลาดได้”
หลินม่ายพยักหน้าเห็นด้วย “เป็นคำตอบที่ถูกต้อง”
ซุนอวิ้นหงเป็นคนเดียวที่คิดไปอีกทางหนึ่ง “แต่การซื้อบ้านไม่เหมือนการซื้อรองเท้านะคะ การซื้อบ้านต้องใช้เงินจำนวนมาก”
หลินม่ายอธิบายยิ้ม ๆ “อย่าลืมว่าผู้คนเองก็มีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน ต่อให้บ้านจะราคาแพงแค่ไหน คนที่อยากได้ก็จะพยายามทำทุกทางแม้แต่ยืมเงินคนอื่นมาซื้อ ถึงคนแบบนี้จะมีไม่มากแต่ใช่ว่าไม่มี ตราบใดที่การประชาสัมพันธ์ทำได้ดี คนที่อยากปรับปรุงคุณภาพที่อยู่อาศัยจะต้องมาซื้อบ้านกับเราแน่ ตั้งแต่มีการปฏิรูปและเปิดประเทศ มีแรงงานอิสระจำนวนมากเกิดขึ้น ผู้ประกอบอาชีพอิสระเหล่านี้มีเงินเก็บ ทั้งยังเป็นลูกค้าที่มีศักยภาพของเราอีกด้วย ดังนั้นแทบไม่ต้องกังวลเลยว่าบ้านจะขายไม่ออก ควรกังวลว่าบ้านจะไม่พอขายดีกว่า”
ในใจซุนอวิ้นหงไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของหลินม่าย แต่ก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง รับปากว่าหล่อนจะทำงานด้านประชาสัมพันธ์ให้ดีที่สุด
หลินม่ายสั่งให้หล่อนทำโฆษณา โดยจะต้องเน้นย้ำให้ตรงจุดว่าการซื้อบ้านนั้นคุ้มค่าแค่ไหน และราคาสมเหตุสมผลอย่างไรบ้าง
ขืนรอต่อไปอีกสักสองสามปีค่อยซื้อบ้าน คราวนี้ราคาบ้านจะไม่ได้อยู่ที่ตารางเมตรละหนึ่งร้อยหยวนอีกต่อไป
ซุนอวิ้นหงแอบค่อนแขวะในใจไม่ได้ ถ้าราคาบ้านยังสูงขึ้นกว่านี้ คงไม่มีใครอยากซื้อกันพอดี
พอถึงคราวของจ้าวเลี่ยงที่ต้องรายงาน เขาก็รายงานสถานการณ์สำคัญ ๆ ให้หลินม่ายทราบ
หลายหมู่บ้านในเมืองซื่อเหม่ยที่ไม่ได้รับการว่าจ้างจากหลินม่าย เริ่มหันมาปลูกผักเรือนกระจกกันด้วยตัวเองแล้ว
จ้าวเลี่ยงเป็นกังวลว่าถ้าหมู่บ้านอื่น ๆ แห่แหนกันปลูกผักเรือนกระจกเสียหมด อาจจะส่งผลกระทบต่อยอดขายผักเรือนกระจกของหลินม่าย
แต่หลินม่ายไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น “ถ้าใครอยากปลูกผักเรือนกระจกก็ปล่อยให้พวกเขาปลูกเถอะ”
การปลูกผักเรือนกระจกในพื้นที่เมืองหูไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคพิเศษมากนัก
อีกทั้งเรือนกระจกยังสามารถสร้างขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ง่ายกว่าการสร้างกระท่อมมุงจากเสียอีก
ที่นี่ไม่เหมือนทางเหนือที่มีอากาศหนาว การปลูกผักเรือนกระจกจึงจำเป็นต้องขุดฝังเครื่องทำความร้อนไว้ใต้พื้นเพื่อทำให้อุณหภูมิร้อนขึ้น ไม่ต้องพูดถึงต้นทุนที่สูง ยังต้องมีการสนับสนุนทางเทคนิคด้วย
ด้วยเหตุนี้เธอเลยไม่คิดจะห้ามให้หมู่บ้านอื่นปลูกผักเรือนกระจก
ในเมื่อห้ามไม่ได้ งั้นก็ถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีเสียเลย
ตอนนี้โรงเรือนปลูกผักของเธอเริ่มผลิตผักไม่เพียงพอต่อปริมาณการขายของตลาดสดทั้งสองแห่ง
ดังนั้นก็ให้คนของจ้าวเลี่ยงไปตระเวนรับซื้อผักเรือนกระจกที่ชาวบ้านเหล่านั้นปลูกเอง เพื่ออุดช่องว่างในส่วนนี้
หลินม่ายถามจ้าวเลี่ยงถึงเหตุความวุ่นวายที่อดีตพนักงานของตลาดสดถนนต้าซิงมาสร้างปัญหา
จ้าวเลี่ยงขมวดคิ้วและพูดว่า “โอ้! อย่าพูดถึงมันเลย คนพวกนั้นดูไม่เหมือนพนักงานที่เพิ่งจะถูกเลิกจ้างตรงไหน พวกเขาเป็นตั้งใจมาสร้างปัญหาชัด ๆ วันนั้นพอพวกเขาเห็นว่าคุณไม่ยอมออกมาพบง่าย ๆ พวกเขาก็วิ่งกรูเข้าไปพังข้าวของในตลาด ทำให้ลูกค้ากลัวจนเตลิดหนีไป พนักงานจากหน่วยงานรัฐอื่นที่เราเพิ่งจ้างมาเห็นแบบนั้นก็ไม่อยู่เฉย เพราะกลัวตลาดจะถูกพังราบจนพวกเขาต้องตกงานอีกรอบ ก็เลยต่อสู้กับคนพวกนั้น ผมกับสหายน้องชายทั้งหลายเกือบระงับสถานการณ์ไว้ไม่ได้ โชคดีที่ตำรวจมาทันเวลา จับกุมผู้ก่อเหตุได้ทั้งหมด
“ผมคิดว่าเรื่องจะจบลงแค่นั้น ไม่คาดคิดว่าสมาชิกในครอบครัวของอดีตพนักงานของตลาดสดต้าซิงจะตามมาสร้างปัญหาอีกครั้งในช่วงบ่าย กล่าวหาว่าเราทำให้คนของพวกเขาถูกจับ และทำให้ครอบครัวของพวกเขาสูญเสียแหล่งรายได้ ก็เลยเรียกร้องให้เรารับผิดชอบดูแลพวกเขา”
เถาจืออวิ๋นแค่นเสียงด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “อดีตพนักงานที่ถูกเลิกจ้างพวกนั้นไม่มีงานทำด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาจะกลายเป็นแหล่งรายได้ยังไง? นี่ไม่ใช่การขู่กรรโชกเอาจากเราหรอกเหรอ?”
จ้าวเลี่ยงตอบกลับ “ไม่ว่าคนพวกนั้นจะมาขู่กรรโชกเราจริงไหม แต่ผมแจ้งตำรวจให้มาจับกุมพวกเขาทั้งหมดไปแล้ว เรื่องก็เลยจบลงง่าย ๆ”
หลินม่ายถาม “หลังจากนั้นพวกเขายังมาสร้างปัญหาอีกหรือเปล่า?”
“พวกเขาทั้งหมดถูกควบคุมตัวอยู่ในศูนย์กักกันสองถึงสามวัน ถูกอบรมข้อกฎหมายอีกสองวัน ถ้ายังกล้ามาสร้างปัญหาอีกก็เกินไปแล้ว!”
หลังจากคุยเรื่องงานเสร็จแล้ว หลินม่ายก็กำชับให้เฉินเฟิง เถาจืออวิ๋น โฮ่วซินอี้ เหรินเป่าจู เจิ้งซวี่ตง โจวฉายอวิ๋น และหลี่หมิงเฉิงรออยู่ในห้อง
จากนั้นก็ยกกล่องขนาดเล็กที่สามารถเข้าถือได้ด้วยมือข้างเดียวออกมาวางบนโต๊ะประชุม
แล้วพูดกับทุกคนว่า “ในกล่องนี้มีกุญแจบ้านอยู่ทั้งหมดเจ็ดดอก กุญแจบ้านแต่ละดอกคือกุญแจของห้องชุดขนาดเล็กแบบสองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่นในอาคารทั้งสามตึกของเขตชุมชนถนนชิงเหนียน มีตั้งแต่ชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่ห้า พวกคุณลองสุ่มดวงเอาแล้วกัน ไม่ว่าพวกคุณจะได้กุญแจดอกไหม ห้องชุดหลังนั้นจะเป็นของพวกคุณทันที”
ทุกคนโห่ร้องและขอบคุณหลินม่าย ที่เธอใจกว้างแจกโบนัสเป็นห้องชุดคนละหลัง
หลินม่ายโบกมือ “นี่ไม่ใช่ของขวัญ แต่เป็นรางวัล เป็นการขอบคุณทุกคนสำหรับการอุทิศตนเพื่อบริษัท พวกคุณสมควรได้รับมันแล้ว ตอนแรกฉันอยากมอบรางวัลนี้ให้พวกคุณก่อนช่วงปีใหม่ แต่เพราะยังติดปัญหาด้านการตกแต่งภายใน ฉันจึงมอบรางวัลให้พวกคุณล่วงหน้า ทุกคนจะได้ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้ในการตกแต่ง แล้วย้ายเข้าภายในปีนี้ ถือเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ในวันปีใหม่”
แต่ละคนเริ่มล้วงมือเข้าไปควานหากุญแจ หลายคนต่างหลีกทางให้กัน
ให้สุภาพสตรีเป็นคนสุ่มก่อน
หลังจากเถาจืออวิ๋นและสาว ๆ อีกสามคนสุ่มกุญแจเสร็จ ก็ถึงคิวของสุภาพบุรุษ
ทุกคนต่างมีความสุขมาก ไม่ว่าพวกเขาจะสุ่มได้กุญแจห้องชุดที่ถูกใจหรือไม่ถูกใจก็ตาม
พนักงานส่วนใหญ่ในโรงงานของรัฐไม่ได้รับสวัสดิการเป็นห้องชุดแบบสองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่นด้วยซ้ำ มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาต้องจู้จี้จุกจิกด้วย?
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แจกโบนัสพนักงานโหดมากบริษัทนี้ อยากได้บ้างจังเลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)