แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 580 เดินทางถึงมองโกเลียใน
ตอนที่ 580 เดินทางถึงมองโกเลียใน
ในวันออกเดินทาง หลินม่ายบอกฟางจั๋วหรานว่า “ที่จริงคุณไม่ต้องไปมองโกเลียกับฉันก็ได้ เดี๋ยวคุณจะเสียงานเปล่า ๆ”
ฟางจั๋วหรานพันผ้าพันคอให้หลินม่าย ตอบกลับอย่างอ่อนโยน “ผมทำงานมาทั้งปีแล้ว ไม่เคยหยุดพักร้อนประจำปีเลยสักครั้ง ผมเองก็อยากไปท่องเที่ยวและพักผ่อนเหมือนกันนะ”
ทั้งสองเดินทางด้วยรถไฟสีเขียวแบบดั้งเดิม มุ่งหน้าไปยังมองโกเลีย
ตอนแรก ทั้งสองแยกนอนกันคนละฝั่ง
แต่พอรถไฟมุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือ สภาพอากาศก็เริ่มหนาวเย็นลง
ขนาดตอนกลางวัน ถึงสวมใส่เสื้อแจ็คเก็ตกำมะหยี่บุขนเป็ดที่ซื้อมาจากอเมริกาแล้วยังทนหนาวแทบไม่ไหว
ตกกลางคืน ถึงแม้จะนอนซุกอยู่ใต้ผืนผ้านวม ก็ยังรู้สึกเหมือนนอนในถ้ำน้ำแข็ง
ความอบอุ่นที่มีไม่เพียงพอให้หญิงสาวเอวบางร่างน้อยอย่างหลินม่ายนอนหลับสนิทตลอดคืน
ฟางจั๋วหรานรู้สึกเป็นทุกข์เมื่อเห็นเธอตื่นนอนขึ้นในตอนเช้าโดยที่รอบดวงตาดำคล้ำ
พอตกกลางคืนอีกครั้ง เขาก็ถือวิสาสะมุดเข้าไปอยู่ในผ้าห่มนวมผืนเดียวกับเธอ
หลินม่ายพยายามขัดขืนอย่างรุนแรง แต่ร่างกายของฟางจั๋วหรานสามารถเพิ่มความอบอุ่นให้เธอได้จริง ๆ
นอกจากเธอจะไม่ผลักไสเขาลงจากเตียงอีกต่อไป ยังแอบซุกเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วย
คืนแรกผ่านไป หลินม่ายรู้สึกเขินอายมาก ถึงแม้ทั้งคู่จะนอนหลับไปโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ตาม
น่าเสียดายที่ไม่มีคืนที่สอง ทันทีที่ตื่นนอน ทั้งสองก็กินอาหารแห้งที่พกติดมาด้วยเพื่อรองท้อง ในที่สุดก็มาถึงเมืองโฮฮอตในเวลาเที่ยงตรง
ทั้งสองคนลงจากรถไฟพร้อมกระเป๋าเดินทาง ลมเย็นที่หนาวเหน็บแต่ให้ความรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษพัดผ่านมาปะทะใบหน้า ทำให้จมูกที่บอบบางของหลินม่ายเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะความหนาวเย็น
ฟางจั๋วหรานรีบหยิบหน้ากากอนามัยเกรดการแพทย์ออกมาและสวมให้หลินม่าย
หน้ากากอนามัยเกรดการแพทย์ในยุคนี้ เป็นหน้ากากซึ่งทำจากผ้าก๊อซที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์ จึงมีความหนาพอสมควร สามารถให้ความอบอุ่นได้ดี
ทันใดนั้นหลินม่ายก็รู้สึกหายใจสะดวกมากขึ้น เธอจับแขนฟางจั๋วหรานไว้ แล้วเดินออกจากสถานีรถไฟไปพร้อมกับเขา
โฮฮอตเป็นเมืองหลวงของมองโกเลียในก็จริง แต่หลังออกมาจากสถานีรถไฟได้แล้ว หลินม่ายกลับก็ไม่เจอทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตาอย่างที่จินตนาการไว้ในตอนแรก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฝูงวัวและฝูงแกะภายใต้ท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาว หรือแม้กระทั่งคนเลี้ยงสัตว์ที่กำลังควบม้าในทุ่งหญ้า
ถึงอย่างนั้นแสงแดดในเมืองโฮฮอตก็เข้าท่าทีเดียว ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายได้มาก ท้องฟ้าก็เป็นสีฟ้าครามสดใส
ถึงลมแรงจะโชยมาเป็นระยะ แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิจากดวงอาทิตย์ ความหนาวเย็นโดยรอบดูเหมือนเป็นแค่บรรยากาศเพียงพื้นผิว
ทันทีที่ทั้งสองออกจากสถานีรถไฟ สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือหาร้านอาหารสำหรับพักกินมื้อกลางวัน
ช่วงสามวันสองคืนที่ผ่านมาบนรถไฟ พวกเขาไม่ได้กินอาหารอร่อย ๆ เลย ได้กินแต่อาหารแห้งที่เย็นจืดซึ่งมีรสชาติจำเจ
หลินม่ายอยู่ในสภาพหิวโซ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้เธอต้องหาอาหารอุ่น ๆ รสชาติดีลงท้องให้ได้
จากประสบการณ์ พวกเขาไม่ควรหาร้านอาหารที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟจนเกินไป เพราะจะถูกเจ้าของร้านมองเป็นแกะอ้วนพร้อมปอกลอกทันที
ทั้งสองเดินทอดน่องชมทิวทัศน์ไปตลอดทาง
ตามท้องถนนมีชายชราและหญิงชรานั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ๆ กำลังพูดคุยสัพเพเหระ
ใบหน้าที่ปกคลุมด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นเสมือนร่องน้ำแสดงให้เห็นถึงความผันผวนในชีวิตที่พวกเขาเคยได้ประสบ ถึงอย่างนั้นกลับเผยให้เห็นอารมณ์อันสงบและพึงพอใจ อย่างน้อยผู้คนที่นี่ก็ไม่พร่ำบ่นถึงความยากลำบากในชีวิตตัวเอง
หลังจากนั่งรถไฟมาหลายวัน การเดินจึงกลายเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง
ทั้งคู่มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงดี สามารถเดินไปตามทางนานกว่าสองชั่วโมงโดยที่ไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป
แต่ฟางจั๋วหรานกลัวว่าหลินม่ายจะปวดขา จึงถามไถ่เธอหลายครั้งตลอดทาง
ตอนแรก หลินม่ายมักจะตอบกลับว่าเธอไม่เหนื่อย
ฟางจั๋วหรานอาสาสะพายสัมภาระของเธอไว้บนไหล่ ขณะเธอถือกระเป๋าสัมภาระเบา ๆ แค่ไม่กี่อย่าง รวมถึงกระเป๋าสตางค์และของมีค่าที่ซ่อนไว้ตามร่างกาย
รับผิดชอบของแค่ไม่กี่ชิ้น แล้วจะเหนื่อยได้อย่างไร!
พอฟางจั๋วหรานถามเธอว่าเหนื่อยไหมอีกครั้ง หลินม่ายก็ก้าวเข้าไปใกล้เขาอย่างซุกซน “ถ้าฉันบอกว่าเหนื่อย คุณจะแบกฉันไว้บนหลังหรือเปล่า”
ฟางจั๋วหรานยิ้มอย่างมีเลศนัย “ผมแบกคุณไว้บนหลังไม่ได้แน่ เพราะบนหลังผมสะพายกระเป๋ายีนส์ใบใหญ่เอาไว้อยู่ แต่ถ้าคุณจะขึ้นมาขี่คอผมก็ไม่ติด”
หลินม่ายรีบส่ายหน้า “ไม่ดีกว่า ฉันต้องรู้สึกไม่ดีแน่ถ้าตัวเองอยู่สูงกว่าหัวคุณ”
ฟางจั๋วหรานรู้สึกประทับใจมากเมื่อได้ยินแบบนี้
ทั้งสองเดินต่อไปอีกสักพัก ก็เจอเข้ากับร้านอาหารหนึ่งที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย
ทันทีที่ทั้งสองเดินเข้าไป ไอร้อนก็พุ่งเข้าปะทะใบหน้าพวกเขาพร้อมกลิ่นเนื้อแกะที่เป็นเอกลักษณ์
ความจริงหลินม่ายเกลียดกลิ่นคาวของเนื้อแกะมาก แต่น่าแปลกที่ตอนนี้สูดดมกลิ่นเข้าไปจนเต็มปอดแล้วกลับไม่รู้สึกขยะแขยงเลย หรือเป็นเพราะความหิวที่มีอำนาจมากกว่ารสนิยมกัน?
เถ้าแก่เนี้ยเจ้าของร้านท่าทางแข็งแรงโพกผ้าไว้บนศีรษะ สวมชุดพื้นเมืองเป็นลายดอกไม้สีแดงตัดกับพื้นสีเขียว ดูสวยงามสะอาดตา
เมื่อเห็นแขกเดินเข้ามาในร้าน หล่อนก็รีบเข้ามาทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม ถามหลินม่ายว่าต้องการสั่งอะไรเป็นภาษาจีนกลาง
หญิงสาวชาวมองโกเลียอีกคนเหลือบมองชายหนุ่มรูปหล่ออย่างฟางจั๋วหรานด้วยความเขินอาย พลางหยิบผ้าขี้ริ้วขึ้นมาเช็ดโต๊ะให้สะอาด
ฟางจั๋วหรานส่งยิ้มให้หญิงสาวชาวมองโกเลียคนนั้น ไม่ลืมกล่าวขอบคุณ ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะตัวนั้นกับหลินม่าย
หนึ่งยิ้มคู่ควรเมือง สองรอยยิ้มคงทำให้ประเทศเบิกบาน
หญิงสาวหน้าแดงก่ำ รีบวิ่งหลบเข้าไปอยู่ในครัวทันที
ฟางจั๋วหรานหันกลับมาพูดกับเถ้าแก่เนี้ย “มีเมนูหรือเปล่าครับ ผมขอดูเมนูก่อนจะได้สั่งถูก”
“มีสิ มีสิ อยู่บนผนังร้าน”
เถ้าแก่เนี้ยชี้ไปที่ผนังร้านด้วยความกระตือรือร้น
ฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายหันมองไปพร้อมกัน
เมนูเหล่านั้นมีทั้งแกะหัน หม้อไฟเนื้อแกะ ซุปเครื่องในแกะ ซี่โครงแกะต้ม…
หลินม่ายแอบบ่นในใจว่าชาวมองโกเลียคงชอบกินแกะกันมากจริง ๆ ไม่ว่าเมนูไหนก็เป็นเนื้อแกะทั้งสิ้น
น่าแปลกอยู่อย่าง ทำไมถึงไม่มีเนื้อวัวเลยนะ?
ฟางจั๋วหรานหันไปถามความเห็นหลินม่าย จากนั้นก็สั่งหม้อไฟเนื้อแกะกับขนมจีบ
หลังจากนั้นไม่นาน หม้อไฟทองแดงก็ถูกยกมาเสิร์ฟบนโต๊ะพร้อมกับเนื้อแกะหั่นชิ้น
การจัดเตรียมเนื้อแกะของคนที่นี่ไม่ต่างจากร้านอาหารในจีน แต่ละชิ้นค่อนข้างหนา ไม่มีการหั่นหรือแล่เนื้อแกะให้บางเท่ากับกระดาษ
หลังจากคีบเนื้อแกะทั้งหมดลงไปต้มในหม้อเรียบร้อยแล้ว พอสุกก็กินคู่กับน้ำจิ้ม กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งปาก
ขนมจีบของที่นี่ก็แตกต่างจากขนมจีบในเจียงเฉิง อย่างแรกที่เห็นได้ชัดที่สุดคือตัวไส้ที่ต่างกัน ไส้ขนมจีบทำจากเนื้อแกะ รสชาติดีมาก
ถึงอาหารทั้งสองอย่างจะอร่อยมาก แต่พวกมันก็ทำมาจากเนื้อแกะทั้งคู่ ทั้งยังเป็นเนื้อแกะที่มีลายไขมันแทรก กินมาก ๆ แล้วชวนให้รู้สึกเลี่ยน
แม้ว่าจะมีชานมมาเสิร์ฟแก้เลี่ยน แต่หลินม่ายกลับรู้สึกว่ามันยังไม่เพียงพอ
เธอหันไปหยิบถุงชาออกมาจากกระเป๋าเดินทาง
ถุงชาใบนี้เป็นตัวอย่างสำหรับการโปรโมต แต่ตอนนี้เธอขอยืมมาใช้เพื่อแก้เลี่ยนก่อนก็แล้วกัน ถึงยังไงเธอก็พกถุงชามาด้วยมากกว่าหนึ่งโหล
ทันทีที่ชงชากับน้ำร้อน ทั้งร้านอาหารก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจากใบชา
หลินม่ายค่อย ๆ จิบชาอย่างมีความสุข
เถ้าแก่เนี้ยเดินเข้ามาหา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ชาของพวกคุณกลิ่นหอมดีจังเลยค่ะ”
ชาทั้งหมดของหลินม่ายเป็นชาอวิ๋นวู่จากเขาอิงซาน ซึ่งเป็นแหล่งปลูกชาที่มีชื่อเสียงของมณฑลหูเป่ย ดังนั้นจึงมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์
หลินม่ายก้มลงไปหยิบถุงชาตัวอย่างอีกถุงหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสัมภาระ แล้วมอบให้เถ้าแก่เนี้ยโดยตรง
เถ้าแก่เนี้ยอึ้งงัน ชาถุงใหญ่แบบนี้มีมูลค่าสูงเกินเอื้อมสำหรับพวกเขา
เถ้าแก่เนี้ยปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า “มันมีราคาแพงเกินไป ฉันรับเอาไว้ไม่ได้จริง ๆ ค่ะ!”
หลินม่ายเกลี้ยกล่อมแกมบังคับ “สำหรับเราแล้วมันไม่ได้มีมูลค่าแพงอะไรเลยค่ะ คุณรับมันไว้เถอะ”
เถ้าแก่เนี้ยปฏิเสธไม่ยอมรับไว้ท่าเดียว แต่เมื่อฟางจั๋วหรานเรียกให้คิดเงินค่าอาหาร หล่อนถึงรับถุงชาไว้โดยปฏิเสธไม่ยอมรับเงิน
ถ้ายื้อยุดกันไปมาอยู่อย่างนี้ ไม่นานอีกฝ่ายคงโกรธแน่ ดังนั้นหลินม่ายกับฟางจั๋วหรานจึงต้องยอมตามนั้น
ถุงชาที่เหลือของหลินม่ายอยู่ระหว่างการจัดส่ง คาดว่าจะมาถึงที่นี่ภายในสองวันนี้
เธอตั้งใจว่าจะหาโรงแรมเพื่อเข้าพักระหว่างรอสินค้ามาถึง
เถ้าแก่เนี้ยรู้แบบนั้นก็ออกตัวอย่างตรงไปตรงมา ตบหน้าอกตัวเองพลางพูดว่า “พวกคุณไม่ต้องไปหาโรงแรมที่อื่นพักหรอก ค้างคืนที่บ้านของฉันนี่แหละ สามีกับลูกชายฉันออกไปเลี้ยงแกะ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ บ้านก็เลยมีห้องว่างอยู่พอดี”
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานชำเลืองมองกันและกัน ก่อนจะพูดกับเถ้าแก่เนี้ยว่า “ถ้าคุณเรียกเก็บเงินค่าที่พักอาศัยและค่าอาหาร เราอาจจะพักอยู่ที่บ้านของคุณ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะออกไปหาโรงแรมนอนกันเอง”
เถ้าแก่เนี้ยพยายามปฏิเสธในตอนแรก แต่พอเห็นว่าหลินม่ายกับฟางจั๋วหรานตั้งท่าจะเดินออกไป หล่อนก็รีบตกลง
หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานยิ้มแย้มยินดี ฝากสัมภาระไว้ที่บ้านของเถ้าแก่เนี้ยก่อน จากนั้นก็จับจูงมือกันออกไปเดินเล่น
พวกเขาวางแผนว่าจะอยู่ที่โฮฮอตแค่ไม่เกินสองวัน
สองวันหลังจากนี้ ทันทีที่ใบชามาถึง พวกเขาก็จะเดินทางต่อไปยังมองโกเลียนอกเพื่อขายใบชา แล้วเอาเงินมาซื้อเนื้อวัวและเนื้อแกะ จากนั้นก็กลับเมืองจีน หมายความว่าจะไม่มีเวลาเที่ยวเล่นอีก
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ได้ช่องทางขายสินค้าแห่งใหม่แล้วล่ะสิ ไปที่ไหนก็ไปลงตลาดที่นั่น
ไหหม่า(海馬)