แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 589 เจอตัวผู้ร้องเรียนนิรนามแล้ว
ตอนที่ 589 เจอตัวผู้ร้องเรียนนิรนามแล้ว
ไม่นานหลังจากนั้น แม่เถาก็โบกมือแสดงความไม่พอใจ “ไม่ เขาเป็นพ่อที่ดีให้หนูไม่ได้หรอก! ครั้งล่าสุดตอนจั๋วเยวี่ยได้รับบาดเจ็บจนต้องนอนโรงพยาบาลเพราะช่วยชีวิตฉีฉี ยายเห็นว่าซุปนกพิราบที่พี่สะใภ้ของเขาทำให้ใส่เก๋ากี้ลงไปด้วย เกรงว่าไตเขาคงไม่ค่อยดี”
พี่สะใภ้ใหญ่เถาและพี่สะใภ้รองเถาก็เห็นด้วยว่าฟางจั๋วเยวี่ยไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี หลังจากได้ยินสิ่งที่แม่สามีพูด พวกหล่อนก็ให้การสนับสนุน “ผู้ชายไตไม่ดีไม่ผ่านการพิจารณา”
พี่ชายสองคนของเถาจืออวิ๋นต่างก็พยักหน้าหงึกหงักเช่นเดียวกัน สนับสนุนแม่และภรรยาอย่างเต็มที่
ใบหน้าเถาจืออวิ๋นแดงก่ำ กวาดสายตามองทุกคน “พวกคุณคิดมากเกินไปแล้ว จั๋วเยวี่ยน่ะหรือจะไตไม่ดี? หลินม่ายแค่ใส่เม็ดเก๋ากี้ลงไปในซุปเพื่อเพิ่มโภชนาการทางอาหารให้เขาต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นเก๋ากี้ ลำไย หรือตังกุยก็เหมือนกัน”
แม่เถาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ต่อให้ไตของจั๋วเยวี่ยจะปกติดี แต่ลูกก็ไม่เหมาะสมกับเขา เขายังหนุ่มแน่นไม่เคยผ่านการแต่งงาน แต่ลูกเคยแต่งงานแล้วครึ่งหนึ่ง แถมยังมีลูกติด ผู้ชายให้ความสำคัญกับความบริสุทธิ์ของผู้หญิงยิ่งกว่าอะไร ถึงจั๋วเยวี่ยจะเต็มใจแต่งงานกับลูก แต่ประวัติของลูกก็เป็นหนามในใจเขาอยู่ดี
ตราบใดที่ทั้งสองคนมีความสุข หนามในใจที่ว่าก็เล็กจนแทบมองไม่เห็น แต่เมื่อสามีภรรยาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันจะไม่มีข้อขัดแย้งกันเลยได้อย่างไร เมื่อถึงเวลานั้น หนามในใจของจั๋วเยวี่ยก็จะขยายใหญ่ขึ้นจนเขารับไม่ได้ บางทีชีวิตแต่งงานของลูกอาจจบลงด้วยการหย่าร้างอีกครั้ง เมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะหาเรื่องเข้าตัวทำไม สู้คบกับหมอหลิวที่เคยแต่งงานมาแล้วไม่ดีกว่าเหรอ ทั้งลูกกับเขาต่างก็มีสถานะหม้าย เขาคงไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้แน่”
พี่สะใภ้ใหญ่เถาพูดเสริมอีกว่า “หมอหลิวมีความเป็นผู้ใหญ่และมีหน้าที่การงานมั่นคงกว่า ถ้าเธอคบกับเขา เขาต้องรู้จักใส่ใจและดูแลเธอเป็นอย่างดี แต่ถ้าเธอคบพ่อหนุ่มน้อยที่ชื่อจั๋วเยวี่ย เธอต้องเป็นฝ่ายดูแลเขาเสียเอง บุคลิกเขาเหมือนเด็กไม่รู้จักโตยังไงก็ไม่รู้ คบเขาเหมือนเลี้ยงลูกชายสองคน เหนื่อยจะตายไป”
เถาจืออวิ๋นหัวเราะออกมา “พวกคุณก็เชื่อมโยงกันไปเรื่อย ฉันไม่สนใจพวกเขาทั้งคู่นั่นแหละ ฉันยังยืนยันคำเดิมว่าไม่คิดจะแต่งงานอีกเป็นครั้งที่สอง”
ถึงปากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ตกกลางคืนหล่อนกลับข่มตาหลับไม่ลง
ภาพของหลิวหย่งเจียงและฟางจั๋วเยวี่ยยังคงปรากฏขึ้นในใจ
หล่อนลองเปรียบเทียบผู้ชายสองคนนี้ดู ทันใดนั้นก็ตระหนักว่าฟางจั๋วเยวี่ยเป็นคนแรกในรายชื่อผู้สมัคร หากหล่อนต้องการแต่งงานใหม่จริง ๆ
หล่อนยอมให้ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตัวเองตั้งหลายปีอยู่ในรายชื่อแรกของคนที่ตัวเองจะยอมแต่งงานด้วยได้อย่างไรกันนะ?
แล้วเขาล่ะมีใครในใจแล้วหรือยัง?
เป็นไปไม่ได้หรอก จากที่แม่ของหล่อนว่าไว้ก่อนหน้านี้ หล่อนเป็นผู้หญิงที่ผ่านการแต่งงานและมีลูกแล้ว
ฟางจั๋วเยวี่ยเป็นหนุ่มน้อยที่ไม่เคยแต่งงานด้วยซ้ำ หล่อนไม่อยากฉุดรั้งอนาคตเขาลงมาจริง ๆ
เถาจืออวิ๋นพยายามปัดภาพฟางจั๋วเยวี่ยออกจากห้วงความคิดของตัวเอง จากนั้นก็ผล็อยหลับไปอย่างสงบ
พอถึงวันจันทร์ หนิวลี่ลี่ก็เอาเทปเสียงบันทึกการสนทนาของผู้อ่านนิรนามคนนั้นมาให้หลินม่ายถึงบ้าน
หลินม่ายลองเปิดเล่นเทปดู หลังจากฟังเพียงครั้งเดียวก็จำได้อย่างรวดเร็วว่าเจ้าของเสียงนี้คือหวังเหวินฟาง
เธอนึกเย้ยหยันในใจ ถ้าเป็นหวังเหวินฟางก็สมควรแล้วที่หล่อนพยายามทำลายชื่อเสียงเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
ถึงเธอกับหวังเหวินฟางจะไม่เคยตั้งตนเป็นศัตรูกันโดยตรง แต่ครอบครัวของหวังเหวินฟางล้วนเป็นศัตรูกับเธอทั้งนั้น ไม่แปลกใจเลยที่หวังเหวินฟางพยายามแก้แค้นอยู่ในมุมมืด
ไม่แน่ว่าคนที่แจ้งร้องเรียนตลาดสดฝูตัวตัวครั้งก่อนว่าเธอขายสินค้าเลี่ยงภาษีก็อาจเป็นหล่อนเช่นเดียวกัน
แต่หลังจากรู้แล้วว่าเป็นหล่อน หลินม่ายกลับไม่วางแผนจัดการอีกฝ่ายด้วยตัวเอง
ถึงอย่างไรหล่อนก็มีสถานะเป็นแม่แท้ ๆ ของฟางจั๋วเยวี่ย ตีสุนัขต้องดูเจ้าของก่อน
ถ้าจัดการกับหวังเหวินฟางโดยตรง อาจเป็นการไม่ไว้หน้าฟางจั๋วเยวี่ยเกินไป
ตอนเย็นของวันยี่สิบเจ็ดเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ ในที่สุดวิดีโอโฆษณาอาคารชุดในเขตชุมชนบนถนนชิงเหนียนก็ได้ฤกษ์ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น
หลินม่ายจ่อรออยู่หน้าจอโทรทัศน์เพื่อดูโฆษณาหลายครั้ง รู้สึกพึงพอใจมากกับภาพรวมของโฆษณา
ถึงอย่างนั้นหลังจากผ่านไปหลายวัน จำนวนลูกค้าที่สนใจแวะเข้ามาเยี่ยมชมห้องตัวอย่างกลับไม่เพิ่มขึ้นเลย เรียกได้ว่าลดลงด้วยซ้ำ จนซุนอวิ้นหงกระวนกระวายมากเหมือนมดบนเตาไฟ
หล่อนคิดว่าแผนการโฆษณาของตัวเองคงล้มเหลว จนนำไปสู่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแน่แล้ว
ซุนอวิ้นหงจึงรีบโทรหาหลินม่าย แล้วรายงานเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง
จากนั้นก็ขอคำแนะนำจากเธอว่ายังมีวิธีส่งเสริมการขายอะไรอีกบ้าง
หลินม่ายปลอบโยนให้หล่อนสงบสติอารมณ์ลงด้วยรอยยิ้ม
วันนี้เป็นวันขึ้น 29 ค่ำ เดือนสิบสอง ทุกคนต่างยุ่งวุ่นวายอยู่กับการซื้อข้าวของต้อนรับเทศกาลปีใหม่ ใครจะมีเวลาเหลือเฟือพอไปเยี่ยมชมบ้านกัน นับประสาอะไรกับการตัดสินใจซื้อ
เธอเชื่อมั่นว่าในช่วงวันหยุดเทศกาลฤดูใบไม้ผลิทั้งเจ็ดวัน ฝ่ายขายประจำอาคารจะเริ่มทำงานกันมือเป็นระวิงแน่
เมื่อเห็นว่าเธอดูมีความมั่นใจสูงมาก ซุนอวิ้นหงก็ทำได้เพียงยอมเชื่อเธอเท่านั้น
ช่วงสิ้นปี สมาชิกของครอบครัวผู้ป่วยจำนวนมากมักแวะเวียนเอาของขวัญมามอบให้กับฟางจั๋วหราน
ฟางจั๋วหรานพยายามปฏิเสธอย่างเต็มที่ ยอมรับของขวัญจากญาติผู้ป่วยที่ฐานะไม่ขัดสนเท่านั้น
แต่ถ้าเป็นของขวัญจากญาติผู้ป่วยที่มีสภาพทางการเงินย่ำแย่ เขาจะปฏิเสธไม่รับไว้โดยเด็ดขาด ไม่ว่าของขวัญเหล่านั้นจะเป็นเพียงไข่ตะกร้าหนึ่งหรือเนื้อแดดเดียวสองชั่งก็ตาม
เขาเลือกรับของขวัญจากผู้ป่วยที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐมีสภาพครอบครัวที่ดี ของขวัญเล็กน้อยที่อีกฝ่ายมอบให้เขา ย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อครอบครัวพวกเขาแน่นอน
ถ้าฟางจั๋วหรานยืนกรานไม่ยอมรับของขวัญจากอีกฝ่ายท่าเดียว เจ้าหน้าที่รัฐอาจเข้าใจผิดคิดว่าเขาเย่อหยิ่งเกินไป ซึ่งดูไม่ดีเหมือนกัน
กลับกัน เนื้อแดดเดียวหรือไข่ไก่ที่ญาติของผู้ป่วยยากไร้เหล่านั้นอุตส่าห์นำมามอบให้เขา อาจเป็นวัตถุดิบอย่างดีที่สุดสำหรับมื้ออาหารค่ำในวันส่งท้ายปีเก่าก็ได้ แล้วเขาจะยอมรับมันได้อย่างไร?
วันนี้ ของขวัญทั้งหมดที่เขาได้รับเป็นอาหารเสริมเสียส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรังนก เห็ดหูหนูขาว หรือลำไยที่ภรรยาของเจ้าหน้าที่รัฐอาวุโสหลายคนส่งมาให้
หลังจากเลิกงานในตอนเที่ยง เขาก็กลับบ้านพร้อมกับอาหารเสริมเหล่านั้น
ช่วงฤดูหนาวที่อากาศแห้งแบบนี้ เห็ดหูหนูขาวและเม็ดบัวล้วนเป็นยาบำรุงธาตุไฟชั้นดี เขาว่าจะขอให้น้าหวงเอาพวกมันไปตุ๋นซุปสำหรับดื่มทั้งครอบครัว
โดยเฉพาะม่ายจื่อ เขาจะคะยั้นคะยอให้เธอดื่มหลาย ๆ ถ้วย
ตอนที่เขาไปเที่ยวมองโกเลียใน เขาสังเกตว่าผิวพรรณของแฟนสาวขาดความชุ่มชื้นเล็กน้อยเนื่องจากถูกกระแสลมแรงที่นั่นโกรก การดื่มซุปเห็ดหูหนูขาวและเม็ดบัวบ่อย ๆ สามารถช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิวได้
พอฟางจั๋วหรานคิดถึงหลินม่ายขึ้นมา มุมปากเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว
ขณะที่เขากำลังเดินออกจากประตูโรงพยาบาลอย่างอารมณ์ดี ก็เผอิญเหลือบไปเห็นหลินเพ่ยยืนอยู่ไม่ไกล และเอาแต่จ้องมองมาทางเขา
นัยน์ตาคู่นั้นประหนึ่งคนโลภ พอเห็นเขาถือของอร่อยชั้นดีเต็มมือก็น้ำลายไหล
หากหลินเพ่ยไม่ได้แต่งตัว สภาพหล่อนคงน่าเกลียดพิลึก เมื่อผนวกรวมกับสีหน้าท่าทางแบบนั้นแล้ว มองยังไงก็น่าขยะแขยง
ผู้คนที่เดินผ่านไปมารีบเดินออกห่างจากหล่อนอย่างรวดเร็ว ด้วยกลัวว่าถ้าตัวเองเผลอมองรูปร่างหน้าตาของหล่อนนานเข้าจะพานกินข้าวมื้อกลางวันไม่ลง แต่หลินเพ่ยกลับไม่รู้ตัวเลย
ฟางจั๋วหรานชำเลืองมองหล่อนด้วยสีหน้าเฉยเมย ก่อนจะอ้อมผ่านหล่อนราวกับเห็นหล่อนเป็นอุจจาระเหม็น ๆ กองหนึ่ง
หลินเพ่ยรีบเดินตามหลังเขาไปสองก้าว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงมาดร้าย “คนแซ่ฟาง ถ้าคุณอยากรู้อะไรบางอย่างก็ตามฉันมาซะ ไม่งั้นคุณนั่นแหละที่ต้องเสียใจ!”
สีหน้าของฟางจั๋วหรานยังคงสงบนิ่ง แต่ในใจลอบกัดฟันก่นด่าหล่อนไม่หยุด
ผู้หญิงสำส่อนคนนี้ชักจะสำคัญตัวเองเกินไปแล้ว กล้าดียังไงถึงพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแบบนั้น อยากรนหาที่ตายมากหรือไง?
ถ้าเป็นอย่างหลัง เขาจะสนองความปรารถนาให้หล่อนเอง
เขาหันกลับมามองหลินเพ่ยอย่างเย็นชา
หลินเพ่ยแสยะยิ้มอย่างมีชัย
หล่อนรู้อยู่แล้วว่าฟางจั๋วหรานต้องหลงกลคำพูดโน้มน้าวของตัวเองแน่
หล่อนหันหลังกลับ เดินนำฟางจั๋วหรานไปยังที่แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ทั้งสองเดินไปตามทางเป็นเวลานาน ในที่สุดก็มาถึงสถานที่ซึ่งอยู่ห่างไกลสายตาผู้คน
หลินเพ่ยมองย้อนกลับไปที่ฟางจั๋วหรานพลางส่งยิ้มอย่างมีนัยแอบแฝง แล้วเดินนำเขาเข้าไปในป่ารกร้างเล็ก ๆ ข้างทาง
ฟางจั๋วหรานเดินตามไปโดยไม่ลังเล
หลินเพ่ยยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น
เมื่อเดินไปจนถึงส่วนลึกของป่า หล่อนก็หันกลับมาและตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วหมัดหนัก ๆ ของฟางจั๋วหรานก็พุ่งเข้าชกใบหน้าของหล่อนเข้าเต็มเปา จนหล่อนมองเห็นดาวระยิบระยับตอนกลางวัน
หลินเพ่ยมึนงงเล็กน้อยกับหมัดของอีกฝ่าย นี่มันอะไรกัน ทำไมคนแซ่ฟางถึงได้เปิดฉากชกหล่อนแบบนี้ล่ะ?
แต่ฟางจั๋วหรานยังคงระดมต่อยและเตะหล่อนอย่างรุนแรง ทำให้หล่อนไม่มีจังหวะเปิดปากถาม
พอฟางจั๋วหรานหยุดใช้กำลังกับหล่อน หลินเพ่ยที่เจ็บเจียนตายก็รีบโพล่งถาม “คุณทำแบบนี้กับฉันทำไม?”
ฟางจั๋วหรานวางอาหารเสริมในมือลงกับพื้น เพื่อให้ตัวเองลงมือทุบตีหล่อนอย่างถนัดมากขึ้น ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “เพราะฉันเกลียดขี้หน้าเธอ”
หลินเพ่ยพูดเย้ยหยันอย่างอ่อนแรง “เกลียดขี้หน้าฉันงั้นเหรอ? คนอย่างฉันต่างกับหลินม่ายตรงไหน นังนั่น…”
ยังไม่ทันที่หล่อนจะพูดจบ ฟางจั๋วหรานก็ออกแรงถีบหล่อนจนหงายหลังตกลงไปในบ่อน้ำเล็ก ๆ “เก็บปากเธอไว้อมของเสียเถอะ อย่ามาพูดจาไร้สาระ เธอกับม่ายจื่อไม่มีวันเหมือนกัน เธอมันเศษสวะ แต่ม่ายจื่อของฉันคือสมบัติล้ำค่า!”
พูดจบแล้วเขาก็หยิบของขึ้นมาตั้งท่าจะจากไป
ถึงเขาจะทุบตีหลินเพ่ยอย่างรุนแรง แต่เขากลับไม่กลัวว่าหล่อนจะโร่ไปแจ้งความด้วยซ้ำ
ที่แห่งนี้ไม่มีพยานบุคคลที่สาม ตราบใดที่เขายืนยันว่าตัวเองไม่ได้ทุบตีหล่อน ตำรวจก็จะตัดสินว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินเพ่ยกระเสือกกระสนคลานขึ้นมาจากบ่อน้ำ พอขึ้นฝั่งได้ก็เปล่งเสียงตะโกนด้วยแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ไล่หลังฟางจั๋วหรานไป “หลินม่ายเป็นสมบัติล้ำค่าตรงไหน หล่อนก็เกิดใหม่เหมือนกันกับฉันนี่แหละ!”
ฟางจั๋วหรานเดินจ้ำอ้าวออกจากป่าโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง
เขาเป็นนักวัตถุนิยมโดยแท้ จะเชื่อเรื่องไร้สาระที่ออกจากปากหลินเพ่ยได้อย่างไร!
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เดี๋ยวรอให้ยัยป้าแซ่หวังมันแพ้ภัยตัวเองก็พอค่ะ ไม่ต้องยื่นมือมาจัดการหรอก เดี๋ยวติดเสนียด
โดนหมัดสอยดาวพี่หมอไปเคลิ้มเลยไหมล่ะหลินเพ่ย ม่ายจื่อเกิดใหม่แล้วไง เรื่องนี้จะทำอะไรพี่หมอได้?
ไหหม่า(海馬)