แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 605 ตัวตนจอมปลอม
ตอนที่ 605 ตัวตนจอมปลอม
หลินเพ่ยรู้สึกประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก หล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบุคคลผู้นี้มายืนอยู่ด้านหลังตนเองตั้งแต่เมื่อใด
สิ่งที่ทำให้หล่อนตื่นตระหนกยิ่งกว่าก็คือ พ่อไป๋และคนอื่น ๆ ต่างเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมพูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนาน
หลินเพ่ยได้แต่หวังว่าข่าวจะจบลงอย่างรวดเร็ว
แต่สิ่งต่าง ๆ กลับตาลปัตร ไป๋ลู่ซึ่งยืนอยู่เคียงข้างหล่อนได้ชี้ไปยังทีวีและกล่าวด้วยความประหลาดใจ “พ่อคะ แม่คะ มาดูนี่สิคะ น้องสาวของฉันได้ออกทีวีด้วย!”
เดิมทีพ่อและแม่ไป๋กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องงานสำคัญของหลินเพ่ย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้มุ่งความสนใจมายังข่าวบนทีวี
แต่เมื่อไป๋ลู่ร้องเรียก สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปยังทีวี
ข่าวการโกงข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยของหลินม่ายถูกถ่ายทอดทางทีวี เธอใช้กระดาษคำตอบเป็นเครื่องพิสูจน์และรายงานกับนักข่าวว่าเธอถูกอาจารย์ผู้คุมห้องสอบหญิงกลั่นแกล้ง
แม้ภาพข่าวนั้นจะมีความยาวไม่ถึงสามสิบวินาที แต่ก็ทำให้เห็นรูปร่างหน้าตาของหลินม่ายได้อย่างชัดเจน
ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างมีความสุข “ม่ายจื่อกำลังออกทีวี!”
แต่หลังจากเห็นข่าวแล้ว ทุกคนก็เงียบลงและมองไปยังหลินเพ่ยด้วยความสงสัย
เมื่อได้เห็นสายตาที่จับจ้องเหล่านั้น หลินเพ่ยก็แทบทรงตัวไม่อยู่
หล่อนสาปแช่งหลินม่ายให้ไม่ตายดีอยู่ในใจ
เธอไม่เพียงกล่าวหาว่าอาจารย์ผู้คุมสอบกระทำผิด แม้เธอจะแสวงหาความยุติธรรมให้กับตัวเอง แต่การเอะอะโวยวายกับนักข่าวก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก
นิสัยเสียอย่างไรก็นิสัยเสียอยู่อย่างนั้น!
เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว หล่อนจะได้แบกรับ…
ไป๋เซี่ยกล่าวขึ้นทันที “เธอเป็นใคร?”
หลินเพ่ยกล่าวพลางกัดฟันแน่น “ฉัน… ฉันชื่อหลินม่าย…”
ไป๋ลู่จ้องมองหล่อนอย่างใกล้ชิด “เธอคือหลินม่าย? แล้วคนที่ออกทีวีเมื่อครู่คือใคร?”
หลินเพ่ยใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อฝืนยิ้ม “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง…”
“เธอไม่รู้อย่างงั้นเหรอ?” ไป๋ลู่กล่าวเสียงเข้ม “ผู้หญิงในทีวีดูเหมือนเธอมากและเธอก็อยู่เจียงเฉิง แถมยังพูดภาษาอังกฤษได้อีก ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าหลินม่ายในทีวีเป็นคนที่ช่วยฉันไว้บนรถไฟ แต่เธอเป็นตัวปลอมเลยล่ะ?”
เหงื่อเย็นไหลลงมาจากหน้าผากของหลินเพ่ย
แม้ไป๋ลู่จะไม่เคยถามมาก่อน แต่หลินม่ายเคยบอกหล่อนบนรถไฟไม่ใช่เหรอว่าว่ามาจากเจียงเฉิง?
เธอจะกลายเป็นขอทานหากินไปทุกหนทุกแห่งได้อย่างไร?
ในเวลานั้นหล่อนถูกหลอกด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำของหลินเพ่ย โดยอีกฝ่ายอ้างว่าเรื่องที่พูดบนรถไฟเป็นเพียงเรื่องโกหก
เหตุผลที่หล่อนไม่พูดความจริงเพราะต้องการป้องกันตัวจากคนแปลกหน้า
ในเวลานั้นพ่อแม่และแม่ไป๋ต่างก็ชมเชยหล่อนว่าฉลาด
เธอยังคงหัวเราะเยาะกลุ่มคนงี่เง่าของตระกูลไป๋อยู่ในใจ ว่าพวกเขาช่างหลอกง่ายเหลือเกิน
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้โง่เขลา?
ไป๋ลู่รับรู้ได้ทันทีว่าหล่อนคือตัวปลอมจากการดูข่าวเพียงไม่ถึงนาที
หลินเพ่ยแอบชำเลืองมองไป๋ซวงด้วยสายตาชั่วร้าย
ไป๋ซวงสับสนเป็นอย่างมากต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงหันมองพ่อไป๋ ก่อนจะเบี่ยงสายตาไปยังแม่ไป๋
หัวใจของหล่อนเต็มไปด้วยความสุข
นับตั้งแต่หลินเพ่ยมาถึงบ้านหลังนี้ ความรักที่หล่อนควรได้รับก็ถูกพรากไป
ทุกคนในครอบครัวต่างมุ่งความสนใจไปยังหลินเพ่ยราวกับว่าหล่อนเป็นดวงอาทิตย์และพวกเขาเป็นดาวเคราะห์
แม้แต่ไป๋เซี่ยที่ไม่เคยมองหล่อนในแง่ดีเลยกลับทักทายหลินเพ่ยอย่างเป็นมิตร
ทุกการกระทำและทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ไป๋ซวงเกลียดชังหลินเพ่ยเป็นอย่างมาก และภาวนาตลอดเวลาให้ตัวตนของอีกฝ่ายถูกเปิดเผย
แต่ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่หล่อนภาวนาจะเห็นผลเร็วเช่นนี้ เพียงไม่กี่วันหลินเพ่ยก็ไม่อาจปิดซ่อนตัวตนที่แท้จริงได้อีกต่อไป
ขณะที่กำลังรู้สึกปลาบปลื้มในใจ หล่อนก็รู้สึกถึงสายตาของหลินเพ่ย
หล่อนมองอย่างระมัดระวังและเข้าใจความหมายในดวงตาของหลินเพ่ยทันที
หล่อนไม่ต้องการช่วยหลินเพ่ย และหวังว่าอีกฝ่ายจะถูกพ่อแม่ไป๋ขับไล่ออกจากบ้านโดยเร็ว
แต่หลินเพ่ยเตือนหล่อนด้วยสายตาว่าหากไม่ยอมช่วยเหลือ หล่อนจะทำลายชื่อเสียงของตนทันที
ไป่ซวงกัดฟันด้วยความเกลียดชังในใจ แต่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามที่หลินเพ่ยขอ
หล่อนพูดกับไป๋ลู่อย่างไร้เดียงสา “พี่สาวรอง ทำไมถึงบอกว่าม่ายจื่อเป็นตัวปลอมล่ะคะ? ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีคนสองคนที่มีชื่อเดียวกันและหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันไม่ใช่เหรอคะ?”
ไป๋ลู่ส่ายศีรษะอย่างแน่วแน่ “แม้สิ่งที่เธอพูดจะมีความเป็นไปได้ แต่ฉันก็มั่นใจว่านี่ไม่ใช่ม่ายจื่อตัวจริง!”
หล่อนชี้ไปยังหลินเพ่ย พลางกล่าวขึ้น “นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ฉันได้เห็นเธอ ฉันก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ทุกครั้งที่ฉันพยายามค้นหาว่ามีอะไรผิดปกติ ฉันก็มักจะถูกหันเหความสนใจ จนกระทั่งเมื่อได้เห็นข่าวนี้ ฉันถึงได้รู้ว่ามีอะไรผิดปกติ และฉันก็แน่ใจทันทีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นตัวปลอม”
พ่อและแม่ไป๋ถามอย่างรวดเร็ว “ลูกเห็นถึงสิ่งผิดปกติอะไร?”
“เสียงค่ะ” ไป๋ลู่กล่าว “เสียงของม่ายจื่อหวานมาก แต่เสียงของนักต้มตุ๋นคนนี้กลับธรรมดามาก เสียงหลินม่ายในทีวีคือเสียงในความทรงจำของหนู หล่อนคือคนในครอบครัวของเรา ”
หลินเพ่ยตื่นตระหนกทันที
หล่อนรู้ดีว่าน้ำเสียงของหลินม่ายนั้นไพเราะ แม้ว่าเสียงของหล่อนจะไม่ดีเท่าหลินม่าย แต่ก็ยังเลียนแบบกิริยาอาการได้แนบเนียนอยู่
หล่อนคิดว่าเสียงของพวกเธอไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ไป๋ลู่กลับยังรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง
พ่อไป๋จ้องมองหลินเพ่ยที่ดูเหมือนหลินม่ายและกล่าวขึ้น “สิ่งที่ลู่ลู่กล่าวเป็นเพียงการคาดเดา ดังนั้นพรุ่งนี้เราจะทำการตรวจเลือดของม่ายจื่อ หากเป็นเลือดกรุ๊ปโอก็อาจเป็นลูกของเรา แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะส่งหล่อนไปสถานีตำรวจ”
หลินเพ่ยตกตะลึงโดยสมบูรณ์
หล่อนไม่ได้มีเลือดกรุ๊ปโอ หล่อนรู้ดีในเรื่องนี้
หล่อนเคยตรวจเลือดเมื่อนานมาแล้วและรับรู้ว่าตนเองมีเลือดกรุ๊ปบี
หากพรุ่งนี้ต้องตรวจเลือดจริง นั่นคงเป็นหายนะสำหรับหล่อนอย่างแน่นอน
การหลบหนีจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดในตอนนี้
ในยามดึกสงัด ขณะทุกคนในครอบครัวไป๋หลับใหล หลินเพ่ยก็เก็บกวาดข้าวของทั้งหมดที่สามารถเก็บได้แบกไว้บนหลัง และเปิดประตูเพื่อหนีออกไป
แต่เมิ่อได้เห็นร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่นอกประตู หล่อนก็รู้สึกกลัวจนก้าวขาไม่ออก
ร่างนั้นหันกลับมาอย่างเชื่องช้าและพูดประชดประชัน “ฉันไม่คิดเลยนะว่าเธอจะเป็นตัวปลอมจริง ๆ เพราะถ้าไม่ใช่เธอก็คงไม่หนีไปกลางดึกแบบนี้”
หลินเพ่ยจำเสียงของไป๋เซี่ยได้
เมื่อนึกถึงการดูแลของไป๋เซี่ยในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หล่อนจึงขอร้องด้วยความหวังอันริบหรี่ “คุณปล่อยฉันไปได้ไหม?”
ไป๋เซี่ยดึงสัมภาระมากมายที่อีกฝ่ายแบกไว้บนบ่าออก “อย่ามาแอบอ้างว่าตัวเองเป็นน้องสาวของฉัน เธอคิดจะมาฉวยโอกาสใช้ผลประโยชน์จากบ้านของเรา ฉันปล่อยเธอไปไม่ได้หรอก!”
หลินเพ่ยยังคงอ้อนวอน แต่ไปเซี่ยรู้สึกรังเกียจจนไม่อยากได้ยินเสียงของเธออีก
เขาต่อยหน้าหล่อนไปหมัดหนึ่ง “ลองพูดอีกคำสิ คราวนี้ฉันต่อยเธอฟันหักแน่!”
หลินเพ่ยหุบปากด้วยความหวาดกลัว
ไป๋เซี่ยลงมือใช้เชือกมัดตัวหล่อนและใช้ถุงเท้ากลิ่นเหม็นของตนยัดปากหล่อนไว้
จากนั้นเขาก็โยนหล่อนไปที่มุมห้อง ก่อนจะหอบหิ้วสัมภาระของหญิงสาวกลับเข้าไปในห้องนอนของเขาแล้วนอนต่อ
เช้าวันต่อมา แม่ไป๋ได้มาหาหลินเพ่ย จ้องมองรูปร่างหน้าตาของหล่อนแล้วจึงเอ่ยถามเรื่องราวทั้งหมด
ไป๋เซี่ยดื่มนมถั่วเหลืองอย่างใจเย็นขณะกินเซาปิ่งงา แล้วตอบกลับ “ผมเป็นคนทำเอง”
พ่อแม่ของแม่ไป๋เป็นผู้มีอำนาจ และแน่นอนว่าหล่อนก็ได้รับการสืบทอดอำนาจรวมถึงภูมิปัญญามาจากพ่อแม่
สามีภรรยาสูงวัยคู่นี้มีความสามารถด้านการแปลหนังสือภาษาเยอรมันและอื่น ๆ ที่หลากหลาย โดยเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในเวลานั้นมีหนังสือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเยอรมันหลายเล่มที่ได้รับการแปลโดยสามีภรรยาคู่นี้ ดังนั้นแน่นอนว่าทายาทของพวกเขาก็ต้องได้รับการฝึกปฏิบัติเช่นเดียวกัน
เหล่าพี่น้องตระกูลไป๋ได้เรียนรู้จริยวัตรอย่างหนึ่งจากบุพการีของพวกเขา นั่นก็คืออย่าเอาทองไปลู่กระเบื้อง หรืออย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
ตั้งแต่นั้นมา บรรดาพี่น้องตระกูลไป๋ก็ดำเนินชีวิตอย่างใจกว้าง หลีกเลี่ยงที่จะสร้างศัตรูกับใครๆ
แม้หลินเพ่ยจะเป็นเพียงมดปลวกในสายตาของพวกเขา แต่แม่ไป๋ก็ไม่ต้องการให้หล่อนอับอาย
หลังจากยืนยันว่าหล่อนไม่ใช่เลือดเนื้อของตระกูลไป๋ก็เพียงส่งหล่อนไปที่สถานีตำรวจเพื่อจบเรื่อง เหตุใดต้องทรมานหล่อน?
เมื่อเห็นว่าไป๋เซี่ยยัดถุงเท้าเหม็นเข้าไปในปากของหลินเพ่ยและมัดหล่อนไว้ แม่ไป๋จึงกล่าวด้วยความไม่พอใจ “หล่อนกำลังจะถูกส่งไปที่สถานีตำรวจอยู่แล้ว ทำไมถึงทำกับหล่อนแบบนี้?”
ไป๋เซี่ยบอกแม่ไป๋ว่าหลินเพ่ยเตรียมตัวจะหลบหนีกลางดึก แต่ถูกเขาจับไว้ได้เสียก่อน
“ถ้าผมไม่มัดหล่อนไว้ หล่อนคงหนีไปแล้ว ผมยัดถุงเท้าเข้าปากเพราะกลัวว่าหล่อนจะเอะอะโวยวายเสียงดังจนรบกวนเพื่อนบ้าน”
สิ่งที่ลูกชายพูดนั้นสมเหตุสมผล แม่ไป๋จึงไม่ได้พูดอะไร
ไป๋เซี่ยกัดเซาปิ่งงาอย่างแรงและบอกทุกอย่างกับแม่ไป๋ จนตอนนี้ทุกคนได้รู้แล้วว่าหลินเพ่ยต้องการหลบหนีเมื่อกลางดึกของคืนที่ผ่านมา และวางแผนที่จะกวาดเอาทุกอย่างไปได้
แม่ไป๋กล่าวด้วยความประหลาดใจ “เธอเป็นหัวขโมยด้วยสินะ!’
หล่อนวิ่งไปที่ห้องของลูกชายและนับสิ่งของที่หลินเพ่ยขโมยไป รวมถึงอั่งเปาที่ญาติ ๆ มอบให้ และสร้อยคอทองคำที่แม่ไป๋ซื้อให้หล่อน
นับตั้งแต่คืนที่รู้ว่าหลินเพ่ยเป็นตัวปลอม แม่ไป๋ก็ตกตะลึงและทำอะไรไม่ถูกจนลืมไปว่าอีกฝ่ายเคยได้รับอั่งเปาและสร้อยคอทองคำกับมือตัวเอง
โชคดีที่หลินเพ่ยถูกลูกชายขัดขวางไว้ หากยังต้องมาถูกยกเค้าโดยหญิงจอมปลอมคนนี้อีก หล่อนคงต้องหัวใจวายอย่างแน่นอน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โป๊ะจนได้นังเพ่ย บอกแล้วเธอเสวยสุขได้ไม่นานหรอก
ไหหม่า(海馬)