แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 615 ฉันมาช่วยเธอ
ตอนที่ 615 ฉันมาช่วยเธอ
หลังครอบครัวของแม่ไป๋กินและดื่มจนอิ่มหนำสำราญที่บ้านของตระกูลฟางแล้ว พวกเขาก็เดินกลับไปยังเกสต์เฮาส์
ไป๋ลู่อดไม่ได้ที่จะกล่าว “อาหารที่ม่ายจื่อทำอร่อยมาก ขนาดอิ่มจนยัดไม่ไหวแล้วฉันยังรู้สึกอยากกินต่ออยู่เลย!”
ไป๋เซี่ยพูดอย่างเขินอายเล็กน้อย “ฉันด้วย ฉันไม่อยากวางตะเกียบเลย มันอร่อยมากจริง ๆ!”
เมื่อไป๋ซวงเห็นว่าพี่ชายพี่สาวทั้งสองของหล่อนชมเชยหลินม่าย ก็รู้สึกไม่พอใจมาก กระซิบขึ้น “อาหารของม่ายจื่ออร่อยก็จริง แต่ฉันบอกหล่อนไปก่อนหน้านี้แล้วว่าฉันมีอาการแน่นหน้าอกและกินอาหารรสเผ็ดไม่ได้ แต่หล่อนกลับทำอาหารที่มีพริกมาตั้งเยอะแยะ”
หล่อนมองไปที่พ่อไป๋และแม่ไป๋ด้วยความคับแค้นใจ
ทันใดนั้นดวงตาของไป๋เซี่ยก็ฉายแววเย็นชา “เธอมีอาการแน่นหน้าอก แต่ไม่ใช่ว่าม่ายจื่อไม่ดูแลเธอ ม่ายจื่อทำอาหารรสจืดมากมายวางไว้ตรงหน้าเธอเลยไม่ใช่เหรอ? เธอเองต่างหากที่ไม่ยอมกินอาหารเหล่านั้นและยังจะกินอาหารเผ็ดๆ แล้วทำไมต้องคิดจะโทษม่ายจื่อ เธอไม่ต้องการให้พ่อแม่รักใคร่ม่ายจื่อ นั่นคือเหตุผลที่เธอพูดแบบนี้ใช่ไหม?”
ไป๋ซวงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเมื่อโดนจี้ใจดำ ขณะที่กำลังจะแก้ตัว ไป๋ลู่ก็พูดขึ้นมาอีกคน
หล่อนวิพากษ์วิจารณ์ไป๋ซวงด้วยความไม่พอใจ “ต่อให้เธอจะมีอาการแน่นหน้าอก เธอก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าการกระทำแบบไหนที่จะกระตุ้นให้อาการกำเริบ แต่เธอกลับยังเลือกกินอาหารที่มีพริก ผู้คนในหูเป่ยชอบอาหารรสเผ็ด ดังนั้นจึงต้องคำนึงถึงรสชาติที่คุณปู่ฟางชื่นชอบเมื่อปรุงอาหาร เธอไม่ควรเห็นแก่ตัวเพื่อเรียกร้องให้คนอื่นตามใจเธอทุกอย่าง เราเป็นแขกในบ้านของคนอื่น ที่นั่นไม่ใช่บ้านของเรา”
ไป๋ซวงได้ยินดังนี้ก็รู้สึกเสียใจมาก แต่ความเสียใจนั้นก็ไม่ได้แสดงออกมาผ่านสีหน้า
หล่อนมีสีหน้าเศร้าหมอง “พี่ชายพูดเหมือนกับว่าฉันจงใจจะใส่ร้ายม่ายจื่อ พี่บังคับให้ฉันชอบหล่อน แต่ฉันไม่ชอบนี่ ฉันไม่ได้เห็นแก่ตัวอย่างที่พี่สาวพูด และไม่ได้ต้องการให้ทุกคนตามใจฉัน ฉันแค่คิดว่าม่ายจื่อมีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย เวลามีแขกมาที่บ้าน เราควรปรับให้เข้ากับรสนิยมของแขกไม่ใช่เหรอ? ฉันบอกม่ายจื่ออย่างเจาะจงว่าพวกเราชาวเมืองหลวงกินอาหารรสเผ็ดไม่ได้ แต่หล่อนก็ยังทำอาหารเผ็ดหลายอย่าง ฉันบอกหล่อนด้วยว่าฉันไม่ชอบกินเครื่องในสัตว์ แต่หล่อนกลับทำเครื่องในสัตว์ให้ฉันกินมากมาย แม้จะมีอาหารที่ทำให้ฉันเป็นพิเศษ แต่แค่ฉันมองก็แทบจะอาเจียน ตักเข้าปากไม่ได้เลย ฉันบอกหล่อนไปแล้วแต่หล่อนกลับไม่ทำตามที่บอก ฉันเลยรู้สึกเหมือนหล่อนจงใจ ฉันกลัวว่าหล่อนกับหลินเพ่ยจะใจร้ายเหมือนกัน เพราะทั้งคู่โตมาด้วยกัน สวมถุงเท้าคู่เดียวกัน หากคนหนึ่งเท้าเหม็น อีกคนจะไม่เหม็นได้ยังไงคะ?”
หลังจากฟังคำพูดของไป๋ซวง แม่ไป๋ก็หวนนึกถึงตอนหลินม่ายพบครอบครัวของพวกเขาครั้งแรก ใบหน้าของเธอดูไม่มีความสุข ทั้งไม่อ่อนน้อมแล้วยังวางท่า
ลูกสาวมีท่าทางนิ่งเฉยเช่นนี้ยามพบกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดได้อย่างไร?
ควรจะตื่นเต้นจนแทบลมจับไม่ใช่เหรอ?
สิ่งนี้แสดงให้เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้เลือดเย็นและไม่สนว่าบุคคลตรงหน้าเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอ
แน่นอนว่าเด็กเลือดเย็นเช่นนั้นจะไม่จดจำคำพูดของไป๋ซวง นับประสาอะไรกับการปรุงอาหารให้ตรงตามรสนิยมของพวกเขา แน่นอนว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้
แม่ไป๋ปลอบใจไป๋ซวงและพูดกล่าว “การกระทำของม่ายจื่ออาจดูใจร้าย แต่ซวงเอ๋อร์อย่าไปใส่ใจเลยนะลูก ลูกแก่กว่าม่ายจื่อสองวันและมีฐานะเป็นพี่สาว ดังนั้นอย่าถือโทษโกรธน้องเลย”
ไป๋ซวงกัดฟันด้วยความโกรธ
หลินม่ายไม่รู้จักตระกูลไป๋อย่างเป็นทางการ และแม่ไป๋ก็อยากปล่อยหล่อนไป แน่นอนว่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดก็ไม่ดีเท่ากับลูกของพวกเขาเอง
หล่อนพยักหน้าอย่างเชื่องช้า “หนูรู้ค่ะ หนูพยายามอย่างมากที่จะไม่ถือสาม่ายจื่อ หนูเลยยอมกินข้าวเปล่าๆโดยไม่พูดอะไรสักคำยังไงล่ะคะ”
พ่อไป๋กล่าวว่า “ม่ายจื่อเติบโตในสภาพแวดล้อมแบบนั้น หล่อนย่อมมีข้อบกพร่องบางอย่างที่เรารับไม่ได้ เมื่อไหร่ที่หล่อนกลับมาที่บ้าน เราจะอบรมสั่งสอนหล่อนอย่างดี”
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินม่ายตื่นขึ้นมาทำอาหารเช้า ขณะที่ฟางจั๋วหรานไปยังเกสต์เฮาส์เพื่อเชิญครอบครัวไป๋มารับประทานอาหารเช้าที่บ้าน
ตระกูลไป๋น่าจะเป็นญาติของหลินม่าย ในฐานะลูกเขย เขาต้องประพฤติตัวดีและสร้างความประทับใจให้กับพ่อและแม่ไป๋
เมื่อคืนครอบครัวไป๋พูดคุยกัน และพวกเขาไม่ได้เข้านอนจนกระทั่งดึกดื่น
เมื่อฟางจั๋วหรานมาถึงเกสต์เฮาส์ ทั้งครอบครัวก็ยังไม่ตื่น
ตอนที่คุณแม่ไป๋และคนอื่น ๆ มารับประทานอาหารเย็นที่บ้านพักเมื่อวานนี้ พวกเขาก็ได้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายอย่างชัดเจน
มันไม่เหมือนกับที่ฟางจั๋วเยวี่ยพูดไว้ ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองยังไม่ใช่สามีภรรยา แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักที่ไม่ได้แต่งงาน
ตอนนี้ในฐานะว่าที่ลูกเขย ฟางจั๋วหรานเชิญทั้งครอบครัวรับประทานอาหารเช้าด้วยความเคารพ ซึ่งทำให้แม่ไป๋ประทับใจอย่างมาก
นี่คือทัศนคติที่ลูกเขยควรมีต่อครอบครัวของแม่ยาย
หล่อนยิ้มและขอให้ฟางจั๋วหรานนั่งที่ล็อบบี้ชั้นล่างสักครู่ พวกเขาจะไปที่วิลล่ากับเขาเพื่อรับประทานอาหารเช้าหลังจากอาบน้ำเสร็จ
ขณะฟางจั๋วหรานกำลังจะหันกลับมาและกล่าว
แม่ไป๋ก็พลันถามขึ้น “เรื่องที่คุณมาที่นี่แต่เช้าเพื่อมารับเราไปกินอาหารที่บ้านของคุณ ม่ายจื่อรู้เรื่องนี้ไหมคะ?”
สมาชิกในตระกูลไป๋เหล่านี้น่าจะเป็นญาติของแฟนเขาในอนาคต ฟางจั๋วหรานจึงต้องการให้ตระกูลไป๋มีความประทับใจที่ดีต่อม่ายจื่อเป็นธรรมดา
หลังจากที่ม่ายจื่อจำพวกเขาได้ พวกเขาก็จะปฏิบัติกับเธออย่างดี
เขาตอบด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าม่ายจื่อรู้เรื่องนี้ หล่อนเป็นคนส่งผมมารับพวกคุณเพื่อร่วมกันรับประทานอาหารเช้าเองล่ะครับ”
ไป๋ซวงถามด้วยเจตนาซ่อนเร้น “ทำไมม่ายจื่อไม่มารับเราเองล่ะ?”
ฟางจั๋วหรานระงับความรังเกียจในใจของเขาและกล่าว “เพราะหล่อนกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่”
ก่อนที่ไป๋ซวงจะมาถึงเจียงเฉิง หล่อนได้ยินมาว่าชาวเจียงเฉิงไม่คุ้นเคยกับการทำอาหารเช้าที่บ้าน
พวกเขามักจะออกไปกินข้าวนอกบ้านในตอนเช้า
หล่อนคิดว่าครอบครัวฟางร่ำรวยมาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำอาหารเช้าที่บ้าน
แน่นอนว่าการว่าจ้างผู้ขนหรือซื้ออาหารจากข้างนอกมารับรองแขกไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขา
หล่อนจึงไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลินม่ายจะทำอาหารเช้าด้วยตัวเองตั้งแต่เช้าตรู่
ดังนั้นหล่อนจึงถามฟางจั๋วหรานว่าทำไมหลินม่ายจึงไม่มาเชิญครอบครัวของพวกเขาด้วยตัวเอง เพื่อให้พ่อไป๋กับแม่ไป๋เข้าใจผิดคิดว่าหลินม่ายไม่ได้ให้คุณค่ากับครอบครัวของพวกเขา และความรู้สึกแย่ ๆ ที่มีต่อหลินม่ายจะยิ่งลึกลงไปอีก
แต่กลอุบายของหล่อนในตอนนี้กลับทำให้พ่อและแม่ไป๋เห็นความตั้งใจของหลินม่ายแทน
หลังจากที่ฟางจั๋วหรานจากไป ไป๋เซี่ยก็เยาะเย้ยไป๋ซวง “นี่น่ะเหรอคือสิ่งที่เธอบอกว่าม่ายจื่อไม่ใส่ใจเรา? ถ้าหล่อนไม่ใส่ใจเรา คู่หมั้นของหล่อนจะมารับเราไปกินอาหารเช้าทำไม? ถ้าหล่อนไม่จริงใจกับเรา หล่อนจะตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมาทำอาหารเช้าให้เราในวันที่อากาศร้อนแบบนี้ไหม?”
ไป๋ซวงตกตะลึงจนพูดไม่ออก
หล่อนเห็นว่าพ่อและแม่ไป๋เงียบไป และทุกคนก็มองมาที่หล่อนอย่างเงียบงันด้วยสายตาครุ่นคิด
หล่อนอดไม่ได้ที่จะประหม่าเพราะกลัวว่าพวกเขาจะฟังคำพูดของไป๋เซี่ย และสงสัยว่าหล่อนมีเจตนาร้ายต่อหลินม่าย
เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของพ่อไป๋และแม่ไป๋ หล่อนจึงแสร้งทำเป็นมีอาการแน่นหน้าอก ค่อย ๆ ล้มลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดบนใบหน้า
เมื่อเห็นเช่นนี้ พ่อไป๋และแม่ไป๋จึงไม่มีเวลาคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ไป๋เซียพูด พวกเขารีบไปช่วยไป๋ซวงและส่งหล่อนไปยังห้องฉุกเฉินทันที
ทั้งครอบครัวรีบไปยังล็อบบี้ของเกสต์เฮาส์ด้วยความตื่นตระหนก
ฟางจั๋วหรานกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟา แล้วเขาก็เห็นพ่อไป๋อุ้มไป๋ซวง ขณะที่แม่ไป๋และคนอื่น ๆ วิ่งตามมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เขาวางหนังสือพิมพ์ลง เร่งรีบเดินไปหาพวกเขาและถามอย่างจริงจัง “ไป๋ซวงป่วยอีกแล้วเหรอครับ?”
พ่อไป๋พยักหน้าอย่างกังวล “เรากำลังจะส่งหล่อนไปที่ห้องฉุกเฉินตอนนี้”
ฟางจั๋วหรานชำเลืองมองไป๋ซวงและจงใจกล่าว “อาการของไป๋ซวงแย่มาก กว่าจะถึงห้องฉุกเฉินอาจไม่ถึงเวลา รีบวางหล่อนลงบนโซฟาและทำการเจาะเลือดทั้งสิบนิ้วของเพื่อช่วยให้พ้นขีดอันตรายก่อนเถอะครับ แล้วค่อยเดินทางไปหาหมอ”
เมื่อเห็นว่าเขาพูดอย่างจริงจัง พ่อไป๋ก็ตื่นตระหนกและรีบทำในสิ่งที่เขาพูด เขาวางไป๋ซวงบนโซฟาทันที
ฟางจั๋วหรานขอมีดจากบริกรที่เกสต์เฮาส์
ไป๋ซวงตกใจมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขากำลังจะใช้มีดกรีดนิ้วทั้งสิบของหล่อนจนเลือดออก ช่างน่าเจ็บปวดเหลือเกิน!
ฟางจั๋วหรานหยิบมีดขนาดเล็กที่ฆ่าเชื้อแล้วขึ้น เตรียมทำการเจาะเลือดบนนิ้วทั้งสิบนิ้วของไป๋ซวง
ทันทีที่ปลายมีดสัมผัสปลายนิ้วของหล่อน หล่อนก็ลืมตาขึ้น
มุมปากของฟางจั๋วหรานยิ้มเยาะอย่างดูถูก
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มารยานักนะนังไป๋ซวง เจอพี่หมอนี่แหละมวยถูกคู่แล้ว
ไหหม่า(海馬)