แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 622 ไป๋เซี่ยมาเยือนถึงหน้าประตู
ตอนที่ 622 ไป๋เซี่ยมาเยือนถึงหน้าประตู
ไป๋ซวงส่ายหัว “ไม่ต้อง!”
ไป๋เซี่ยถามแกมประชดประชัน “ทำไม? กลัวความผิดงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่! แต่เชื่อเสียงของศาสตราจารย์ฟางโด่งดังมาก ฉันกลัวว่าถ้าเปลี่ยนไปโรงพยาบาลอื่นแล้ว เขาก็จะยังเล่นตลบหลังอยู่ดี ไว้ใจอะไรในโรงพยาบาลที่เจียงเฉินไม่ได้หรอก!”
หลินม่ายถอนหายใจ ยกยิ้มและถามพ่อไป๋กับแม่ไป๋ “พวกคุณคิดว่าจั๋วหรานใหญ่ขนาดปิดฟ้าได้ด้วยมือข้างเดียวเลยเหรอคะ?”
แต่ก่อนที่พ่อไป๋จะพูดอะไร แม่ไป๋กลับโพล่งขึ้นว่า “เราจะพาซวงเอ๋อร์กลับไปตรวจสุขภาพที่ปักกิ่ง โรงพยาบาลที่ปักกิ่งเก่งกว่าที่นี่มาก”
หลินม่ายยิ้มอย่างมีเลศนัย “ที่คุณพูดมามันก็ถูกค่ะ”
จากนั้นจึงคิดได้ว่ามีธุระที่ต้องทำต่อ จึงบอกลาและจากไป
หลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นไปจัดแจงงานที่โรงงานสิ่งทอ และกลับออกมาพร้อมกัน
เธอจะปล่อยให้เรื่องผ้าล่าช้าไม่ได้อีกต่อไป และวางแผนจะไปซื้อเศษผ้าคุณภาพสูงที่กว่างโจวในเย็นวันนี้
เดิมทีเธอจะไปกว่างโจวเพียงลำพัง ทว่าเถาจืออวิ๋นยืนกรานที่จะไปกับเธอด้วย เพราะอีกฝ่ายมีความเชี่ยวชาญในการเลือกประเภทผ้ามากกว่าหลินม่าย
หลินม่ายคิดและพยักหน้าตอบตกลง อีกทั้งยังบอกหล่อนว่าไม่ต้องเข้าไปทำงานในช่วงบ่าย จะกลับบ้านไปเตรียมเสบียงสำหรับการเดินทาง
ทั้งสองบอกลากันที่ชั้นล่างของสำนักงาน
หลินม่ายขับรถส่วนตัวกลับไป ในขณะที่เถาจืออวิ๋นเดินกลับบ้าน
เมื่อเดินมาถึงมุมหนึ่ง หญิงวัยกลางคืนหน้าตาดีคนหนึ่งได้เข้ามาหยุดหล่อนไว้
เถาจืออวิ๋นจำหญิงวัยกลางคนผู้นี้ได้ดี หล่อนคือหวังเหวินฟางแม่ของฟางจั๋วเยวี่ย
หวังเหวินฟางเป็นฝ่ายถามด้วยถ้อยคำเย่อหยิ่ง “เธอเป็นเพื่อนกับหลินม่าย ชื่อเถาจืออวิ๋นที่ผ่านการหย่ามาสินะ”
เถาจืออวิ๋นรู้สึกอึดอัดมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น ขมวดคิ้วและถามว่า “คุณมาหาฉันมีเรื่องอะไรคะ?”
หวังเหวินฟางหัวเราะเหอะ ๆ “แน่นอนว่าอยู่ใกล้ชาดติดสีแดง อยู่ใกล้หมึกติดสีดำ เป็นเพื่อนกับหลินม่ายได้ แสดงว่าคงจะไร้การศึกษาเหมือนกันล่ะสิ!”
เถาจืออวิ๋นอยากจะโต้เถียงสักสองสามคำ แต่เพราะเห็นว่าหล่อนเป็นแม่แท้ ๆ ของฟางจั๋วเยวี่ย จึงทำได้เพียงระงับความโกรธเคืองเอาไว้ และตอกกลับอย่างเย็นชา “คุณจะมาขวางฉันทำไมคะ? ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็หลีกทางเถอะค่ะ”
หวังเหวินฟางเชิดหน้าขึ้นด้วยความอวดดี “ก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่อยากจะมาเตือนเธอหน่อยว่าอย่าไปหลอกลวงลูกชายฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้เธอได้เห็นดีแน่!”
หวังเหวินฟางได้แอบตามสืบเรื่องราวของเถาจืออวิ๋นลับ ๆ ตั้งแต่เห็นฟางจั๋วเยวี่ยอยู่กับแม่ลูกเถาจืออวิ๋นเมื่อครั้งก่อน
หากไม่ตามสืบดูก็คงไม่รู้ และยิ่งสืบดูก็ยิ่งตกใจ
เถาจืออวิ๋นเป็นเพื่อนสนิทกับหลินม่าย ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่ผ่านการหย่าร้างและมีลูกมาแล้ว
หล่อนโมโหแทบตาย และรู้สึกว่าลูกชายของตนต้องมาพบปะกับเถาจืออวิ๋นก็เพราะหลินม่าย
แต่ภายหลังหล่อนก็พบว่าเถาจืออวิ๋นมีแฟนหนุ่มแล้ว และไม่ต้องการอยู่กับลูกชายของตน หล่อนจึงไม่ได้ไปตามด่าถึงหน้าประตูบ้าน แต่มายืนขวางทางเถาจืออวิ๋นกลางท้องถนน และพูดตักเตือนอีกฝ่ายสองสามคำ
หวังเหวินฟางรู้เรื่องที่ฟางจั๋วเยวี่ยเข้าไปติดพันเถาจืออวิ๋นทั้งหมด
ลูกชายของหล่อนทั้งสูง หล่อ ยังหนุ่มยังแน่น หล่อนจึงกลัวว่าเถาจืออวิ๋นจะล่อลวงลูกชายให้มาอยู่ด้วยกัน
ดังนั้นหล่อนจึงอยากจะล้อมคอกก่อนวัวหาย และสั่งให้เถาจืออวิ๋นสลัดความคิดนั้นทิ้งไปเสีย
เดิมทีเถาจืออวิ๋นอยากจะทำให้เรื่องเงียบ ๆ ทว่าหวังเหวินฟางกลับทำตัวก้าวร้าว หล่อนจึงไม่อยากทนอีกต่อไป
และพูดด้วยสีหน้ามืดมนว่า “ฉันไปล่อลวงลูกชายคุณงั้นเหรอ? เพราะว่าเขามีแม่อย่างคุณไง ต่อให้เอาเงินห้าล้านหยวนมาวางกองให้ฉัน ฉันก็ไม่แม้แต่จะแลเขาหรอก อย่าว่าแต่ไปล่อลวงเขาเลย! คุณเองก็ดูแลลูกชายตัวเองให้ดีซะ อย่าให้ตามมารังควานฉันอีก”
หล่อนพูดและจงใจขมวดคิ้วแน่น “คุณบอกว่าจะทำให้ฉันเห็นดีใช่ไหม? คุณเองก็ผ่านการหย่าและถูกลดตำแหน่งลงไม่ใช่หรือไง จะมาทำให้ฉันเห็นดีอะไรอีก?และขอแนะนำให้คุณหัดพูดจาให้มันน้อย ๆ หน่อย จะได้ไม่มีเวลามาหัวเราะเยาะใครได้อีก!”
เถาจืออวิ๋นพูดจบและหันหลังกลับไป ก่อนจะเห็นฟางจั๋วเยวี่ยยืนอยู่ข้างหลัง
หล่อนรู้สึกตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง ฟางจั๋วเยวี่ยคงได้ยินคำพูดหล่อนหมดแล้ว และมันคงกระทบใจเขาน่าดู
แต่หลังจากคิดดูแล้ว ก็คิดว่าให้ยาแรงกับเขาแบบนี้ก็ดีไปอย่าง เขาจะได้ยอมแพ้ไปเสียที
เถาจืออวิ๋นเดินผ่านฟางจั๋วเยวี่ยไปด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง
หวังเหวินฟางนึกไม่ถึงว่าลูกชายจะมาบังเอิญเห็นขณะที่หล่อนกำลังคุยกับเถาจืออวิ๋นอยู่
ภายในใจรู้สึกผิดและประหลาดใจ “ลูกมาที่นี่ทำไม?”
ฟางจั๋วเยวี่ยแวะมาที่นี่เพราะห้องแช่เย็นขนาดเล็กในตลาดสดฝูตัวตัวเกิดปัญหา จ้าวเลี่ยงจึงโทรเรียกเขาให้มาซ่อม
เขาผ่านมาทางนี้และบังเอิญเห็นหวังเหวินฟางขวางทางเถาจืออวิ๋นเอาไว้ จึงค่อย ๆ ย่องเข้าไปดูว่าแม่ตนเองมาตามหาเถาจืออวิ๋นทำไม
สีหน้าของเขามืดมนลง “ถ้าผมไม่บังเอิญเดินผ่านมาทางนี้ ผมคงไม่รู้เลยสินะว่าแม่เข้ามาเจ้ากี้เจ้าการชีวิตผมยังไงบ้าง!”
เขาพูดและเดินจากไป
หวังเหวินฟางรีบร้องตะโกนไล่หลัง “แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อตัวแกนะ ผู้หญิงที่ชื่อเถาจืออวิ๋นจะคู่ควรกับแกได้ยังไง?”
“หล่อนคู่ควรกับผมทุกอย่าง แต่ผมไม่คู่ควรกับหล่อนต่างหาก! ถ้าแม่ยังมายุ่งกับชีวิตผมอีก ผมจะตัดขาดความเป็นแม่ลูกซะ”
หวังเหวินฟางกระทืบเท้าด้วยความโกรธจัดที่ไม่สามารถทำอะไรฟางจั๋วเยวี่ยได้
หลินม่ายขับรถไปที่ตลาดสดฝูตัวตัวก่อนหน้านี้
เมื่อวานนี้เฉินเฟิงบอกว่าเคอจื่อฉิงอยากกินลิ้นจี่ เธอจึงโทรหาจ้าวเลี่ยง ฝากให้เก็บลิ้นจี่ลูกสวย ๆ และสดใหม่เอาไว้ให้เธอสักหนึ่งกิโลกรัม และเธอจะส่งมันไปให้เคอจื่อฉิง
สมาชิกครอบครัวของเคอจื่อฉิงไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ถึงแม้ว่าจะมีพ่อแม่สามีอยู่ แต่ทั้งหมดล้วนมาจากต่างถิ่น
นอกจากเฉินเฟิงแล้ว รอบตัวหล่อนไม่มีใครช่วยดูแลหล่อนสักคน
และเธออยากจะดูแลอีกฝ่ายในฐานะเพื่อนคนสนิทให้มากขึ้น
หลังจากที่เฉินเฟิงกับเคอจื่อฉิงแต่งงานกัน พวกเขาก็อาศัยอยู่ในบ้านพักตากอากาศบนถนนเส้นเดียวกับบ้านของหลินม่าย
เคอจื่อฉิงกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในบ้าน หล่อนมีความสุขมากเมื่อเห็นหลินม่ายเดินเข้ามาพร้อมกับลิ้นจี่ และขอให้อีกฝ่ายมาร่วมรับประทานอาหารกันอย่างอบอุ่น
หลินม่ายยิ้มและพูดติดตลกว่า “เธอกับเฉินเฟิงทำอาหารไม่เป็นทั้งคู่ แต่ดันขอให้ฉันมากินข้าวด้วยเนี่ยนะ!”
เคอจื่อฉิงปอกลิ้นจี่กิน “ถึงเราสองคนจะทำอาหารไม่เป็น แต่ป้าแม่บ้านที่เราจ้างมาทำอาหารอร่อยมากนะ”
หลินม่ายโบกมือปฏิเสธและสอบถามสถานการณ์ของหล่อน ซึ่งเคอจื่อฉิงบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีและทุกอย่างอยู่ในความสงบ
และทันทีที่ขับรถมาถึงลานบ้าน ใบหน้าอันหล่อเหลาของไป๋เซี่ยก็ปรากฏขึ้นนอกกระจกรถ
หลินม่ายถามด้วยความประหลาดใจ “มาหาฉันมีอะไรเหรอคะ?”
ไป๋เซี่ยพยักหน้าเบา ๆ
หลินม่ายค่อนข้างประทับใจในตัวเขา จึงพูดเชิญชวนว่า “เข้าไปกินข้าวด้วยกันก่อนสิคะ กินไปด้วยคุยไปด้วย”
ไป๋เซี่ยแสดงสีหน้าท่าทางอึดอัดราวกับท้องผูก “ฉันไม่อยากให้คนอื่นได้ยินเรื่องที่ฉันจะคุยกับเธอน่ะ”
หลินม่ายพูดตอบ “นายอยากพูดอะไรก็พูดมาเลยเถอะ”
บนท้องถนนแห่งนี้มีผู้คนอยู่ไม่มากนัก และตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ทำให้คนน้อยลงไปอีก หากต้องการจะพูดอะไรเป็นการส่วนตัวไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะมีใครมาแอบฟัง
ไป๋เซี่ยจึงปริปากพูด “เธอเต็มใจให้ไป๋ซวงอยู่ในบ้านสกุลไป๋ไหม?”
หลินม่ายยิ้มและพูดว่า “ถ้านายไม่อยากให้ไป๋ซวงอยู่ในบ้านสกุลไป๋ เรื่องนี้ก็ง่ายนิดเดียว ไป๋ซวงบอกว่าหลังจากกลับไปที่ปักกิ่งแล้วหล่อนจะเข้ารับการตรวจอีกครั้งไม่ใช่เหรอ? ถ้าตอนนั้นนายเปิดโปงหล่อนได้ ลุงไป๋ป้าไป๋ก็อาจจะผิดหวังในตัวหล่อน ส่วนนายก็แค่เติมเชื้อเพลิงให้ลุงไป๋ป้าไป๋ส่งหล่อนกลับไปอยู่กับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แบบนี้หล่อนจะได้ถูกไล่ออกจากบ้านสกุลไป๋ไปไม่ใช่หรือไง?”
ไป๋เซี่ยขมวดคิ้ว “แต่แผนกรักษาโรคหัวใจที่ดีที่สุดในปักกิ่งอยู่ในโรงพยาบาลฉือซิน ไป๋ซวงไปหาหมอที่โรงพยาบาลฉือซินตลอด และทุกครั้งที่วินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบขั้นรุนแรง พ่อแม่ถึงได้ดูแลหล่อนทุกวิถีทาง ฉันสงสัยว่าหล่อนกำลังติดสินบนแพทย์ในห้องปฏิบัติของทางโรงพยาบาล แล้วแบบนี้ฉันจะเปิดโปงหล่อนได้ยังไง?”
“เรื่องนี้จัดการง่ายมาก ก็แค่เปลี่ยนให้หล่อนไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลอื่นซะ แต่นายต้องระวังให้ดี เพราะถ้าหล่อนติดสินบนผลตรวจร่างกายกับโรงพยาบาลฉือซินมาตั้งแต่อายุสิบเอ็ดสิบสองปี ต่อให้ย้ายไปโรงพยาบาลอื่นก็อาจจะใช้กลอุบายเดิม ๆ อีก นายจะต้องคอยจับตาดู อย่าเปิดโอกาสให้หล่อนหรืออย่าให้หล่อนแสดงตัวได้เด็ดขาด ด้วยวิธีการนี้เท่านั้นนายถึงจะเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของหล่อนให้พ่อแม่นายเห็นได้”
ไป๋เซี่ยพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ฉันกลัวว่าถ้าฉันเปิดเผยความจริงของไป๋ซวงได้แล้ว แม่จะเอาแต่ปกป้องหล่อนท่าเดียวน่ะสิ ถึงตอนนั้นความพยายามของฉันคงเปล่าประโยชน์”
“แค่ทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอยู่ที่ฟ้าลิขิต” หลินม่ายเอ่ยถามด้วยความงุนงง “ทำไมป้าไป๋ถึงรักไป๋ซวงมากขนาดนี้?”
ไป๋เซี่ยครุ่นคิด “น่าจะเป็นเพราะหล่อนร่างกายไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ถึงได้ทุ่มเททุกอย่างเพื่อหล่อนมาก เพราะงั้นต่อให้ไป๋ซวงจะทำตัวไม่ดีแค่ไหน พ่อแม่ก็ยังชอบหล่อนมาก”
หลินม่ายถอนหายใจเบา ๆ หลังจากได้ยินเช่นนั้น
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ก่อนจะด่าใครน่ะดูตัวเองก่อนนะยัยป้า สภาพป้าก็ไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่หรอก ต่างกันตรงที่เขารู้จักปรับปรุงตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้นเท่านั้นแหละ
เรื่องตระกูลไป๋นี่แล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิตแล้วกันนะ บางทีอาจมีเหตุทำให้ยัยไป๋ซวงออกจากบ้านตระกูลไป๋โดยที่ไม่ต้องลงมือทำอะไรก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของมัน
ไหหม่า(海馬)